ห้องผู้ป่วย SS-5092 (นางสาวศิรินันท์ วัลพิทักษ์วงศ์ษา)
“อาต้องขอบคุณหลานมากนะที่หาหมอเก่ง ๆ มาช่วยน้อง”
อัฐหรืออัฐธา วัลพิทักษ์วงศ์ษา ประธานบริษัทผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าพูดพร้อมกับมองลูกสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความห่วงใย แต่เขาไม่รู้เลยว่าเสียงพูดของตัวเองทำให้ร่างบางของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรำคาญใจ
[ใครมาพูดอะไรตรงนี้เนี่ย รำคาญคนจะนอน]
“ไม่เป็นไรครับคุณอา มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วที่ต้องหาหมอเก่งมาช่วยผู้ป่วย”
[หมอเหรอ...อะไร หมอผีอีกหรือเปล่า อย่าบอกนะว่ายายพาหมอผีมาที่บ้านอีกแล้ว ยายนะยาย...แต่ว่าทำไมเธอถึงไม่มีเสียงพูดออกมาเลยล่ะ แล้วทำไมตาของเธอถึงได้พร่ามัวแบบนี้]
“แค่ก ๆ น้ำ ขอ...น้ำหน่อย” เสียงแหบแห้งของคนที่อยู่บนเตียงทำให้ชายต่างวัยสองคนที่คุยกันอยู่หันไปมอง
“คุณอาอย่าเพิ่งครับ น้องยังดื่มตอนนี้ยังไม่ได้” ชายหนุ่มที่ความรู้ทางการแพทย์มาบ้างรีบห้าม ก่อนจะกดกริ่งเรียกหมอกับพยาบาลเมื่อเห็นว่าคนไข้ฟื้นขึ้นมา
“ซอลเป็นยังไงบ้าง มันเกิดอะไรขึ้นเล่าให้พ่อฟังสิลูก?”
คนที่ถูกเรียกก็ลืมตาขึ้นมองช้า ๆ ตอนนี้ตาของเธอพร่ามัวไปหมดจนไม่เห็นใคร ราวกับว่าไม่ได้ใช้สายตามาเป็นเวลานาน
ซอล...ชายแก่คนนี้ทำไมถึงเรียกเธอว่าซอล?
เธอชื่อรินต่างหากจะเรียกผิดก็เรียกชื่ออื่นไม่ได้เหรอ แล้วมาเรียกตัวเองว่าพ่อกับฉันอีก พ่อของเธอตายไปตั้งแต่ตอนที่อายุได้ 10 ปีแล้ว
“พวกคุณเป็นใคร แล้วทำไมตาฉันถึงมองไม่เห็นอะไรแบบนี้?”
คำถามของคนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับงง รอยส์ลองเลือกที่จะโบกมือไปมาตรงหน้าหญิงสาว แต่เหมือนเธอจะมองไม่เห็นจริง ๆ
“คุณอาเดี๋ยวผมรบกวนออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ขอให้หมอตรวจคนไข้สักหน่อย” รอยส์เห็นหมอเดินเข้ามาก็รีบบอกญาติผู้ป่วยทันที
“ฝากน้องด้วยนะรอยส์”
อัฐพูดด้วยความเป็นห่วง หลังจากเห็นอาการแปลก ๆ ของลูกสาว ที่มองมาหาตัวเองอย่างว่างเปล่าราวกับว่าไม่รู้จัก ให้มองแบบแต่ก่อนที่เต็มไปด้วยความตัดพ้อยังดีซะกว่า
“เอาล่ะครับ เรามาเริ่มตรวจกันเลยดีกว่า คนไข้จำชื่อตัวเองได้หรือเปล่าครับ” หมอเจ้าของคนไข้พยายามที่จะสังเกตความผิดปกติของคนตรงหน้า ส่วนรอยส์ที่ยืนกอดอกมองก็ได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย
[เธอกำลังเล่นละครอะไรอีกหรือเปล่า?]
“ริน…รินดา เวียงผาสุข เกิดวันที่ 8 เมษายน พ.ศ.2542 อายุ 25 ปี หมู่เลือด A อาชีพ นักแสดง พ่อกับแม่ตายตั้งแต่อายุ 10 ปีเลยอยู่กับยายมาตั้งแต่เด็ก แต่ว่าคุณหมอทำไมตาฉันถึงมองเห็นไม่ชัดคะ?”
เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่หญิงสาวเล่าก็เป็นอีกครั้งที่รอยส์ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย แต่ก็เงียบจนหมอตรวจอาการดวงตาเธอเสร็จ
“เธอจำฉันได้ไหม ฉันรอยส์ไง?”
“เรารู้จักกันด้วยเหรอ ตั้งแต่โตมาฉันไม่เคยรู้จักคนชื่อนี้”
จู่ ๆ ก็เหมือนมีกระแสไฟดูดที่สมองทำให้คนไข้ที่เพิ่งฟื้นตัวได้ไม่นานถึงกับต้องกุมหัวตัวเองไว้กับความเจ็บปวดที่ได้รับ
“ซอลเป็นยังไงบ้าง?” รอยส์รีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วง
“ฉันชื่อรินไม่ได้ชื่อซอล คุณอย่ามาเปลี่ยนชื่อของคนอื่นตามใจชอบ แล้วก็รบกวนช่วยติดต่อญาติของฉันให้ที”
รอยส์ไม่ได้พูดอะไรต่อในเรื่องนี้ แต่เขายืนฟังหมอเจ้าของคนไข้ตรวจอาการต่อจนเสร็จ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินออกจากห้องให้คนไข้พักรักษาตัวต่อ
“คุณพยาบาลช่วยดูแลคนไข้ด้วยนะ เดี๋ยวผมกับคุณหมอจะไปคุยกับญาติคนไข้สักหน่อย”
“ได้ค่ะคุณรอยส์”
รอยส์หันกลับไปมองประตูห้องที่เพิ่งเดินออกมาอีกครั้ง พอเห็นอาการของคนที่อยู่ด้านในห้องเมื่อกี้ก็ถึงกับต้องถอนหายใจยาว
[ความจำเสื่อมเหรอ!?]
แต่ตามผลตรวจไม่ได้รับการกระทบกระเทือนทางด้านสมองและดูเหมือนว่าคนไข้จะจำเรื่องของคนอื่นได้ดีกว่าตัวเองด้วยซ้ำ
ราวกับเป็นเรื่องราวของตัวเอง
“หมอขอสรุปอาการคนไข้นะครับ ตอนนี้ดูเหมือนว่าตาจะได้รับการกระทบกระเทือนเลยทำให้พร่ามัว แต่ไม่ถึงกับตาบอด พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตามการดูแลของหมอผู้เชี่ยวชาญก็จะกลับมามองเห็นเป็นปกติเหมือนเดิม และอีกเรื่องที่อยากจะแจ้งคือ คนไข้กำลังเป็นโรคบุคลิกภาพหรือศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่าโรคฮิสทีเรีย ตอนนี้คนไข้น่าจะอยู่ในสภาวะที่สองคือ Histrionic Personality Disorder หรือเรียกสั้น ๆ ว่า HPD คนที่เป็นโรคนี้ส่วนมากจะเกิดจากสภาวะขาดความรักอย่างมาก อาจเป็นปมฝังใจตั้งแต่วัยเด็ก หรือพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้ผิดหวังมากจนอยากจะเป็นคนอื่นที่มีบุคลิกภาพตามที่ตัวเองเคยวาดฝันไว้ว่าอยากเป็นแบบนั้นสักครั้งครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ เพียงแค่ครอบครัวให้ความรักอย่างเพียงพอ คนไข้อาจจะกลับไปเป็นปกติ เหมือนเดิม เรื่องนี้อาจจะต้องมีหมอทางจิตเวชเข้ามาทำการรักษาเพิ่มเติมนะครับ”
หมอวิเคราะห์อาการก่อนจะแจ้งเรื่องให้พ่อของผู้ป่วยทราบถึงเรื่องผิดปกติและอาการของคนป่วยที่ห้องทำงาน
ดูเหมือนว่าโรคของคนไข้ที่หมอกำลังเล่าให้พ่อของเธอฟังเหมือนจะทำให้ท่านกังวลไม่น้อยเลย
“แล้วโรคนี้มันทำให้ลูกสาวผมความจำเสื่อมจนจำผมไม่ได้เหรอครับคุณหมอ?” คนเป็นพ่อถามด้วยอาการร้อนรนใจ
“คือ...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับถ้าคำพูดที่ออกมาอาจจะทำให้ญาติคนไข้เสียใจ แต่เรื่องนี้ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะตัวคนไข้เองอยากลืมเรื่องทุกอย่างที่ผ่านมา ไม่อยากจำ ไม่อยากจดจำหรืออยากจะเป็นคนใหม่ไปเลยนะครับ”
“รอยส์! น้องคงจะเกลียดอามากสินะ แต่ก็สมควรแล้ว พ่อที่ไม่ได้ความใครมันจะไปอยากมี”
น้ำเสียงของชายวัยกลางคนบอกถึงความเสียใจและความเหนื่อยล้า นั่นทำให้รอยส์อดที่จะถอนหายใจยาว ๆ ออกมาไม่ได้
แม้ว่าครอบครัวพวกเขาจะสนิทสนมกันพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้เรื่องในตระกูลวัลพิทักษ์วงศ์ษา เพราะอย่างนั้นคนเป็นหมออย่างเขาคงได้แต่รักษาโรคภายนอก
ส่วนโรคที่เกิดจากปัญหาทางจิตใจคงต้องพึ่งจิตแพทย์และคนในครอบครัวช่วยกันอย่างที่หมอบอกเท่านั้น
4 เดือนต่อมากองถ่ายซีรี่ย์Write Love"ฉันขอโทษเทีย...ฉันขอมอบความตายนี้ให้กับเธอ ที่มอบซื่อสัตย์กับคำว่าเพื่อนของเราตลอด""ไม่นะแอล อย่าทำอะไรโง่ๆ เด็ดขาด!!"ไม่คำใดๆ ออกจากปากของแอลมีเพียงแค่รอยยิ้มที่ตอนเด็กพวกเธอเคยยิ้มให้กันครั้งแรกส่งมา เทียพยายามจะก้าวขาเข้าไปหาเพื่อนที่อยู่ขอบหน้าต่างของโรงพยาบาล ตอนนี้เธอให้อภัยแอลแล้วเพียงแค่ช่วยเพื่อนได้เธอยอมลืมเรื่องราวทั้งหมด"ม่ายยยยยยย!!"ดูเหมือนคำพูดของเธอจะไม่ส่งถึงเพื่อนเลยสักนิดเพราะร่างเล็กตอนนี้เดินถอยหลังไปอีกนิดก่อนจะทิ้งตัวลงไปกับอากาศ"ฉันรักเธอนะเทีย แต่ถ้าชาติหน้ามีจริงเธออย่ามาเจอเพื่อนเลวๆ อย่างฉันเลย...ขอให้รักกันนานๆ " ไม่นานร่างที่ลอยอยู่บนอากาศก็ร่วงลงสู่พื้น ร่างที่กระแทกอาบไปด้วย ดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยน้ำตาค่อยดับวูบลงไปกลายเป็นร่างที่ไร้วิญญาณและจิตใจ"คัตตตตต!! ปิดกองได้""เฮ้~"เสียงโห่ร้องอย่างดีใจของทีมงานและเหล่ารักแสดงที่ร่วมกันทำให้ซีรี่ย์เรื่องนี้ดังขึ้นเมื่อผู้กำกับสั่งปิดกอง"ซอลยินดีที่ได้ร่วมทำการแสดงกับทุกคนนะคะ"ซอลที่กำลังยืนให้ทีมงานในกองถ่ายเช็ดเลือดปลอมที่ใช้ประกอบฉากออก พูดกับผู้กำกับและนักแสดง
ยังไม่ทันที่ศิวาจะได้ตอบโต้อะไรตอบ ก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมาทำเอาเขาตกใจมากยิ่งเห็นว่าคุณที่พูดคือนักข่าวที่ตัวเองเพิ่งเจอไปเมื่อวาน"ซอลทำไมถึงมีคนอื่น นี่หลอกพี่มาเหรอฮะ!!"ศิวาที่กำลังตกใจและโกรธหันไปเล่นงานซอลแทน ทำเอาดีดี้รีบเข้าไปขวางเพราะกลัวว่าดาราหนุ่มจะทำอะไรไม่ดีเข้า"มะ...ไม่ใช่นะคะ ซอลไม่คิดแบบนั้นฮืออออ" ซอลแสร้งทำเป็นตกใจจับชายเสื้อของดีดี้ด้วยมือที่สั่นเทา"น้องซอลไม่ได้คิดจะทำแบบที่คุณพูดเลยสักนิด ที่เชิญนักข่าวมาก็เพราะจะลบเรื่องในที่คลับ แต่ทุกอย่างมันจบแล้วคุณศิวา ดูท่าทางคุณนักข่าวจะได้สิ่งที่จะเอาไปตีพิมพ์ต่อสาธารณชนแล้ว" ดีดี้พูดอย่างหมั่นไส้ ตัวเองเลวแท้ๆ กับจะมาให้น้องซอลของเธอรับผิดชอบ"ผมขอตัวเลยนะครับ ถ้าวันหลังผมคงจะมีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณใหม่นะครับ" พูดจบนักข่าวก็เดินออกไปทันที ส่วนศิวาก็ตกใจแล้วรีบวิ่งตามออกไป"เดี๋ยวครับคุณนักข่าว อย่าลงเลยนะครับ คุณต้องการเท่าไหร่เดี๋ยวผมเซ็นเช็คให้เลย""จะติดสินบนผมเหรอคุณดาราคนดัง แต่ผมไม่ค่อยชอบเงินเท่าไหร่ ขอตัวครับ"ดูเหมือนว่าการเจรจาครั้งนี้จะล้มเหลว เขาเลยเลือกจะเดินกลับมาในห้องเพื่อขอร้องให้ซอล แต่พอเข้ามาเห็นเธอก
แสงแดดยามสายทำให้ร่างบางของคนที่ถูกกอดไว้ทั้งคืนค่อยขยับตัว เธอค่อยๆ ดึงแขนใหญ่ที่กอดตัวเองออกจากตัวเบาๆ เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่น พอหลุดจากแขนแล้วเธอก็เดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระคาบเหงื่อไคลจากกิจกรรมหนักหน่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา"อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ""ตื่นแล้วเหรอคะ ซอลทำให้พี่รอยส์ตื่นหรือเปล่า""ไม่เลยครับ...นี่ก็แปดโมงแล้วเดี๋ยวพี่ขออาบน้ำก่อนแล้วจะพาไปส่งที่บ้านนะครับ""งั้นเดี๋ยวซอลโทรศัพท์หาคุณพ่อดีหน่อย ป่านนี้ท่านคงเป็นห่วงแล้ว""เมื่อคืนตอนซอลหลับพี่โทรไปบอกท่านแล้วครับว่าซอลจะได้ตรวจกับหมอตอนเช้าเลยนอนที่โรงพยาบาล"หน้าตาเรียบเฉยของคนเจ้าแผนการทำเอาซอลอดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้"คนจอมวางแผน"ติ้ง!! ยังไม่ทันที่จะได้ตอบโต้กันต่อเสียงข้อความโทรศัพท์ของซอลก็ดึงความสนใจ เธอเดินไปหยิบมาเปิดดูพอเห็นว่าเป็นชื่อใครก็ถึงกับยิ้มมุมปากอย่างพอใจ"เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อนนะครับ""ค่ะ"Siwa : ซอลครับช่วยพี่หน่อย ตอนนี้พี่กำลังเดือดร้อน พี่ขอโทษเรื่องตอนนั้นSiwa : อ่านแล้วตอบหน่อยครับ ซอลจะช่วยพี่ไหมนะครับ ถ้ามีอะไรให้พี่ทำ พี่ยอมทำตามทุกอย่างที่ซอลบอกข้อความที่ปรากฏทำให้ซอลถึงกับยิ้มออกมาอย่างพ
“อ๊ะ... อ๊า” เสียงครางลั่นไปทั่วห้องนอนกว้างแขนของซอลยกขึ้นมาโอบรอบคอของร่างสูงพร้อมกับขยุ้มเส้นผมสีดำเพื่อระบายความเสียว ดวงตาหวานหยาดเยิ้มที่มีความปรารถนาไม่ต่างกันจ้องมองกันและกัน“จ๊วบบบ จ๊วบบ!”รอยส์ก้มลงไปหยอกเย้ากับยอดอกสวยสลับซ้ายขวาอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เขาต้องอดทนตั้งแต่ตอนอยู่ห้องนั่งเล่นแล้ว ไม่สิต้องบอกว่าอยู่ในรถแล้วต่างหากและตอนนี้มันก็อยากระบายเต็มที“อือ อ๊า ยะ...อย่าแกล้งกันสิคะ” เมื่อโดนคนที่คร่อมอยู่ด้านบนปลุกปั่นอารมณ์โดยการหยอกล้อเล่นกับยอดอก ร่างเล็กก็เริ่มกระตุกเล็กน้อยแผ่นหลังบางแอ่นขึ้นรับเมื่อถูกตวัดลิ้นโลมเลียไปรอบๆ ยอดอก รอยส์ไล่ริมฝีปากของเขาพรมจูบไปตามร่างกายของคนที่ตัวเองรักทุกสัดส่วนไม่ว่าจะเป็นลำคอ ไหล่ อก ลงมาจนถึงหน้าท้องขาวเนียน ก่อนจะเลื่อนลงต่ำครอบครองกลีบสวยไว้ด้วยปากตัวเอง“อ๊ะ...อ๊า...พี่รอยส์”ซอลปรือตาขึ้นมองรอยส์ด้วยความเสียวซ่าน ใบหน้าของคนตรงหน้าทำให้รอยส์ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทำไมเขาถึงหลงเด็กคนนี้มากมายขนาดนี้กันนะ มันเป็นคำถามที่รอยส์ไม่สามารถให้คำตอบตัวเองได้ ปากจูบไล่ซึมซับความหอมหวานไปตามร่างกายหอมหวานมันทำให้เขาแทบคลั่ง .. มันช
คฤหาสน์ตระกูลศิลาวรรณรัตน์ซอลมองคฤหาสน์หลังใหญ่ตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ที่นี่ใหญ่กว่าบ้านของซอลอีก เหมือนบ้านในละครที่เธอเคยแสดงเลย“จำที่นี่ได้หรือเปล่าครับ”“ไม่ค่ะ”รอยส์พยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาไม่ได้ถามอะไรต่อเพราะขนาดครอบครัวตัวเองเธอยังแทบจำไม่ได้ คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องของที่นี่“พ่อกับแม่ของพี่น่าจะยังไม่เดินทางไปสนามบิน เราไปไหว้ท่านก่อนดีกว่า”“ค่ะ...ว่าแต่คุณพ่อกับคุณแม่ของพี่รอยส์จะไปไหนเหรอคะ?”“เห็นว่าจะบินไปงานแต่งลูกสาวเพื่อนสนิท คงจะพรุ่งนี้ถึงกลับ” พอพูดถึงเวลาแล้วรอยส์ก็มองคนข้าง ๆ ด้วยแววตาบางอย่างทำเอาซอลถึงกับเบือนหน้าหนี เขาที่เห็นคนทำท่าทางเฉไฉก็ยิ้มกว้างออกมาด้วยความเอ็นดู “งั้นเราลงกันเลยไหมครับ”เขาเลือกที่จะเดินลงจากรถก่อนแล้วอ้อมมาเปิดประตูฝั่งตรงข้าม จากนั้นเขาก็พาแขกที่ตัวเองอยากรับเชิญมากที่สุดเข้าไปในบ้านเป็นจังหวะเดียวกับพ่อ แม่ของเขากำลังจะออกไปข้างนอก“พ่อกับแม่จะไปแล้วเหรอครับ”“อ้าวรอยส์พอดีว่าเลื่อนไฟลต์บินเข้ามาเร็วขึ้นนะ...ตายแล้วหนูซอลเหรอลูก” เพียงฟ้ามองคนที่เดินตามลูกชายมา พอเห็นว่าเป็นใครก็รีบทักทายด้วยความดีใจ“สวัสดีค่ะคุณลุง คุณป้า” ซอลรีบยกมือ
เช้าวันถัดมาบรรยากาศภายในห้องอาหารของบ้านเต็มไปด้วยความตึงเครียด ถ้าจะมีใครอารมณ์ดีคงจะมีแค่ซอลคนเดียว“พิการก็ไปอยู่ในที่ของตัวเองสิ” พิ้งค์ที่ยังโกรธเรื่องที่ถูกแย่งห้องนอนไปอดพูดแขวะไม่ได้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ทำให้อีกฝ่ายสนใจเธอเลยสักนิด มีแค่แม่ของเธอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ รีบสะกิดไว้เพราะกลัวพ่อเลี้ยงเดินเข้ามาได้ยิน“คุณพยาบาลวันนี้มีอะไรให้กินบ้างคะ”“วันนี้มีข้าวต้มกุ้ง กะหล่ำปลีทอดน้ำปลา ทอดมันกุ้งแล้วก็ผัดคะน้าหมูกรอบค่ะ” พยาบาลพิเศษที่ถูกส่งมาดูแลพูดรายการอาหารที่อยู่บนโต๊ะทุกเมนูอย่างละเอียด“อ่า~ วันหลังคงต้องให้พ่อสั่งให้เชฟเพิ่มเมนูปลาเข้าไปเยอะ ๆ แล้วเผื่อจะมีคนฉลาดขึ้นมาหน่อย”“อี!!”พิ้งค์ที่ได้ยินคำเหน็บแนมถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ นอกจากพิ้งค์แล้วริสาและพีชก็แปลกใจไม่ต่างกัน ปกติพี่สาวคนนี้ไม่ได้มินิสัยที่จะต่อปากต่อคำกับใครนิ ดูเหมือนว่าที่แม่กับพี่พิ้งค์บอกเธอว่าพี่ซอลไม่เหมือนเดิมคงจะเป็นเรื่องจริง[ถ้าเปลี่ยนไปแล้วรู้จักปกป้องตัวเองมากขึ้นคงดี]“มีเรื่องอะไรกันเหรอ”ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในบ้านหลังนี้จะทำให้สงครามเล็กๆ ที่กำลังปะทุสงบลงได้ทันที“เป
“คุณคะ! พิ้งค์บอกไม่ได้ทำ คุณก็เชื่อลูกหน่อยเถอะค่ะ ลูกเครียดแล้วนะคะคุณ” ริสาที่เห็นลูกสาวตัวสั่นด้วยความกลัวก็รีบปกป้องทันที เธอสะกิดลูกสาวถ้าเห็นท่าทางไม่ดีก็คงต้องใช้แผนเดิมเพื่อเรียกความสงสารจากสามี“แต่ซอลไม่ได้โกหกนะคะพ่อ พ่อก็รู้ว่าซอล...ไม่ใช่คนแบบนั้นอึก! ฮืออออออ”“ไม่ร้องนะลูก ริสาพาพิ้งค์ออกไปก่อนส่วนเรื่องห้องนอนยังไง พิ้งค์ก็ไปนอนข้างห้องพีชนั่นแหละ”“กรี๊ดดดดดดดด!!”เสียงร้องของพิ้งค์ดังขึ้น ความจริงเธอก็ไม่ได้อยากทำแบบนี้ต่อหน้ารอยส์หรอกเพราะกลัวเขามองไม่ดี แต่เธอก็ไม่อยากแพ้ยัยซอล“คุณอัฐลูกชักแล้ว รีบบอกว่าจะไม่แย่งห้องไปให้ซอลสิคะ”“พอ!! ไม่มีใครแย่งอะไรทั้งนั้นแหละ ดีเลยรอยส์ก็อยู่อาฝากหาหมอเก่ง ๆ รักษาพิ้งค์หน่อยนะ พาไปรักษาตัวมันจะดีกว่ามาแย่งห้องนอนกันไปมาคุณว่าอย่างนั้นไหมริสา...ซอลเดี๋ยวพ่อพาไปห้องลูกนะ” อัฐช้อนร่างของลูกสาวไปนั่งบนรถวิวแชร์ที่รอยส์เตรียมไว้ให้ ก่อนจะพาออกไปข้างนอกโดยไม่สนใจภรรยากับลูกเลี้ยงอีก“คุณอาริสาตอนนี้ดูท่าทางอาการน้องพิ้งค์น่าจะดีขึ้นแล้ว แต่ผมจะส่งหมอที่เก่งสุดมารักษาให้นะครับ...ผมขอตัว”รอยส์พูดจบก็เดินตามเจ้าของบ้านกับลูกสาวออกไ
“ทำอะไรกันอยู่เหรอลูก”อัฐที่เปิดประตูเดินเข้ามาเห็นรอยส์ทำกำลังทำท่าเหมือนประคองลูกสาวเลยทำด้วยความสงสัย“คือหนูไม่อยากทำตัวเป็นภาระ เลยตั้งใจให้พี่รอยส์ลองประคองเดินดูน่ะค่ะพ่อ”“โถ่~ ลูกหนูไม่ใช่ภาระเลย เดี๋ยวอีกสักหน่อยแม่บ้านคงจัดห้องเสร็จ ตอนนี้พักอยู่ที่นี่ไปก่อนลูก รอยส์มีเรื่องจะคุยกับอาใช่ไหมไปคุยกันที่ห้องทำงานอาดีกว่า พอดีอามีเอกสารโครงการเกี่ยวกับคนตาบอดให้ดูด้วย...ซอลอยู่คนเดียวได้หรือเปล่าลูก” อัฐหันไปถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง“ได้ค่ะพ่อ”“งั้นเดี๋ยวพ่อรีบกลับมานะลูก”หลังจากที่พ่อกับรอยส์เดินออกไป ซอลก็รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดูข่าวช่วงนี้ไม่ว่าจะสื่อไหนก็เล่นข่าวของเธอทั้งนั้น ยิ่งโดยเฉพาะการตามหาตัวคนที่วางยาเธอถึงขั้นพาดพิงดาราหลายคนจนต้องออกมาปฏิเสธ แต่ทำไมไม่มีใครสงสัยศิวาบ้างนะก็นะวงการนี้มันก็ประมาณนี้อยู่แล้ว ใครแสนดีต่อหน้าหน่อยก็คิดว่าเขาเป็นคนดี เธอก็ไม่ได้เหมารวมทุกคนหรอกบางคนก็ดีจริง แต่บางคนก็เลวโดยสันดาน“คงต้องปั่นข่าวขึ้นมาก่อนลงคลิปเสียงแล้วแบบนี้”……………“ผมต้องขอบคุณ คุณอาแทนผู้ป่วยทุกคนด้วยนะครับ ที่ช่วยจัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือผู้พิการทางสายตา”
ตระกูลวัลพิทักษ์วงศ์ษา“สวัสดีครับคุณอาริสา”พอรอยส์กับซอลที่นั่งอยู่บนรถเข็นเห็นว่าแม่เลี้ยงของหญิงสาวมายืนรออยู่หน้าบ้านเขาก็รีบยกมือไว้ทันที“ไหว้พระเถอะรอยส์...ซอล!! เป็นยังไงบ้างลูก โถ่~คนดีถึงจะตาบอดแต่แม่ก็จะอยู่ข้างๆ หนูนะ ถ้ามีอะไรให้แม่ช่วยบอกแม่ได้เลยหนูก็เหมือนลูกสาวของแม่คนหนึ่ง”ริสาพูดพร้อมกับตีหน้าเศร้าทำเหมือนห่วงซอลจริงๆ แต่คำพูดของแม่เลี้ยงทำให้คนที่อยู่ในร่างของลูกเลี้ยงอดขำไม่ได้[แสดงได้ห่วยทั้งแม่ ทั้งลูกเลย]“ขอบคุณคุณแม่นะคะ”พอถูกเรียกว่าแม่ริสาถึงกับถลึงตามองตาอย่างไม่พอใจ เธอเกลียดเด็กคนนี้เข้าไส้เพราะเด็กคนนี้ถึงทำให้ของที่เป็นของลูกสาวไม่ได้เท่าที่จะควร แต่ถึงจะไม่ชอบยังไงเธอก็พยายามเก็บอารม์[มันน่าจะตายตามแม่ของมันไป ขอให้แกตาบอดไปชั่วชีวิต]“ซอลมาแล้วเหรอลูก รอยส์อาขอบใจนะที่ช่วยเป็นธุระพาน้องกลับบ้าน”“ไม่เป็นไรเลยครับ เรื่องแค่นี้เองอีกอย่างผมมีเรื่องจะปรึกษาคุณอาด้วยครับ”ซอลขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัยเพราะเธอกำลังคิดว่าเรื่องที่รอยส์จะปรึกษาพ่อคืออะไรกัน คงจะไม่ใช่เรื่องเขาเคยพูดกับเธอหรอกนะ“ได้หลาน เดี๋ยวอาพาน้องไปพักที่ห้องก่อนนะ”“ครับ”“คุณพ่