เข้าสู่ระบบ‘เกิดอะไรขึ้น!?’
“ซินเอ๋อร์ เป็นอะไร” หนิงถงไท่ตกใจหน้าถอดสี เขาหันไปเร่งหมออีกครั้ง “หมอ นางเป็นอันใดไปอีกแล้ว!”
หมอสูงวัยกุลีกุจอเข้ามา ไม่ทันจับชีพจรอีกครั้งหลี่เสวี่ยซินก็ยกมือปราม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ คงเพราะเพิ่งฟื้นไม่นานร่างกายเลยยังไม่ชิน”
หลี่เสวี่ยซินรู้สึกว่าร่างกายใหม่นี้อ่อนแอเกินไป เมื่อครู่ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ปรากฏเป็นเพราะใบหน้าของคนผู้หนึ่งล่องลอยเข้ามา นั่นไม่ใช่ความทรงจำของนาง ทว่าเป็นของหนิงเสวี่ยซิน
‘ฮั่วเหวินหลง เขาต้องมีเรื่องผิดปกติแน่ ท่านหญิงถึงได้โมโหเช่นนี้’
“แล้วเอ่อ…ท่านพี่ฮั่วไปที่ใดแล้วเจ้าคะ”
“ฝ่าบาทเรียกตัวเข้าเฝ้า น่าเสียดายที่พี่เขามาครู่เดียวเจ้าก็หมดสติไปก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้รั้งอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน” หนิงเข่อเหรินตอบ
ใบหน้าของหลี่เสวี่ยซินกระตุก รอยยิ้มของนางเริ่มประหลาดโดยไม่รู้ตัว เพราะเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างหนิงเสวี่ยซินกับฮั่วเหวินหลงกลายเป็นปริศนาในคลังสมองของนางเป็นที่เรียบร้อย
ความทรงจำที่หลงเหลือไว้เกี่ยวกับชายผู้นั้นในตอนนี้ก็คือ เขาเป็นบุตรชายจากจวนป๋อ เขาสอบได้จอหงวน [1] เมื่อหนึ่งปีก่อน ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาคือคู่หมั้นของหนิงเสวี่ยซิน
“เจ้าอยากพบพี่เขาหรือ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็คงได้เจอ ตอนที่เจ้าหมดสติไปนานพี่เขาเฝ้าแวะเวียนมาเยี่ยมเจ้าทุกวันเชียวนะ” หนิงเข่อเหรินปลอบประโลม นางกำลังเข้าใจผิด เพราะคิดว่าบุตรสาวผิดหวังที่ไม่เห็นคู่หมั้นของตนอยู่ตรงหน้า
หลี่เสวี่ยซินยิ้มตาปิด “ลูกไม่ได้อยากพบเจ้าค่ะ”
หนิงถงไท่ถอนหายใจ หนึ่งปีก่อนเหมือนเด็กทั้งสองจะมีปากเสียงกัน หนิงถงไท่ไม่อยากฟื้นฝอยหาตะเข็บให้ลูกสาวต้องเจ็บปวดในตอนนี้ เขารีบตัดบท “ฮูหยิน ให้ลูกพักผ่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ”
เนื่องจากได้เวลาสำรับเย็นแล้ว หม่าเซียวกับหลิวอี้จึงขอตัวไปเตรียมอาหารและโอสถ ครั้นกลับมาถึงห้องของเจ้านายพวกนางก็ถึงขั้นอุทานเสียงหลง เมื่อพบว่าคนในห้องลุกเดินไปมาด้วยเท้าเปลือยเปล่า
“ตายจริง ท่านหญิงทำอันใดเจ้าคะ พื้นเย็นมากประเดี๋ยวป่วยอีกนะเจ้าคะ” หม่าเซียวและหลิวอี้วางถาดอาหารและโอสถลงบนโต๊ะ พร้อมใจกันถลาเข้ามาหน้าตื่น
“ตกใจอะไรกัน ข้าดีขึ้นแล้ว ก็แค่เดินเท้าเปล่าสร้างภูมิคุ้มกัน เท้าของข้าไม่ได้สัมผัสพื้นนานแล้ว คิดจะให้ข้าเป็นง่อยหรือ”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง หลิวอี้กล่าว “แต่ทำเช่นนี้ไม่เหมาะนะเจ้าคะ มาเจ้าค่ะสวมถุงเท้าก็ยังดี”
“ได้ ๆ” หลี่เสวี่ยซินกลับไปนั่งอย่างว่าง่าย
หลิวอี้ช่วยสวมถุงเท้าให้อย่างคล่องมือ จากนั้นจึงถาม “ว่าแต่ท่านหญิงกำลังหาสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”
“บันทึกของข้าน่ะ ข้าจำได้ว่าเก็บไว้ตรงนี้ แต่หาอย่างไรก็หาไม่เจอ”
หลี่เสวี่ยซินนึกขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนหนิงเสวี่ยซินมักจดบันทึกกิจวัตรประจำวันของตนเอาไว้ บางทีในนั้นอาจมีคำตอบว่าเหตุใดนางจึงไม่อยากแต่งงานกับฮั่วเหวินหลง
หม่าเซียวใคร่ครวญครู่หนึ่ง “อ้อ...ตอนนั้นท่านหญิงบอกว่ามันหายไปแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ อีกอย่างผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้วด้วย พวกเราเก็บกวาดห้องท่านหญิงทุกวันไม่เคยพบบันทึกเล่มนั้นเลยเจ้าค่ะ”
หลี่เสวี่ยซินหน้าม่อยคอตก “เช่นนี้เอง น่าเสียดายจัง”
หลิวอี้สงสัย “แล้วท่านหญิงจะหาไปทำไมหรือเจ้าคะ”
“ข้าหลับไปนาน เรื่องบางเรื่องก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เลยคิดว่าบันทึกเล่มนั้นอาจช่วยได้บ้าง”
หม่าเซียว “เช่นนั้นพวกบ่าวเล่าให้ฟังก็ได้นะเจ้าคะ บางทีอาจช่วยได้บ้าง”
หลี่เสวี่ยซินยิ้มออก “จริงด้วย เหตุใดข้าถึงคิดไม่ได้นะ ขอบใจมากนะอาเซียว”
หม่าเซียวหน้าแดงก่ำ ยากยิ่งนักกว่าท่านหญิงของนางจะเอ่ยปากชมสักหน ได้สติคราวนี้หม่าเซียวรู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้านิสัยไม่ชวนอึดอัดคล้ายเมื่อก่อนแล้ว
“ท่านหญิงอยากทราบเรื่องใดก่อนหรือเจ้าคะ”
“เรื่องแรกที่ข้าอยากรู้ก็คือความสัมพันธ์ของข้าและคุณชาย เอ่อ แฮ่ม…” หญิงสาวกระแอมกลบเกลื่อน “เรื่องระหว่างข้าและท่านพี่ฮั่วเป็นอย่างไรบ้าง เอาให้ละเอียดยิบเลยนะ”
“เจ้าค่ะ แต่ว่าพรุ่งนี้คุณชายฮั่วก็มาแล้ว ไม่อยากถามจากปากคุณชายโดยตรงหรือเจ้าคะ”
“ไม่อยาก ข้าจะฟังเรื่องของเขาเดี๋ยวนี้ตอนนี้เท่านั้น อ้อ...อีกหนึ่งเรื่องที่ข้าอยากรู้ พวกเจ้าทั้งสองเคยได้ยินเรื่องของคนตระกูลลั่วหรือไม่”
หม่าเซียวขมวดคิ้ว “ตระกูลลั่ว…” ไม่นานก็ตาโต “อย่าบอกว่าท่านหญิงสนใจเรื่องของฮูหยินใต้เท้าลั่วด้วยเช่นกัน”
หลี่เสวี่ยซินเลิกคิ้ว “ใต้เท้าลั่ว? เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หลิวอี้สำทับ “ก็ต้องใต้เท้าลั่วสิเจ้าคะ เพราะว่าใต้เท้าลั่วผู้นั้นได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าองครักษ์อวี่หลิน [2] แล้ว”
หลี่เสวี่ยซินทำหน้าดุจกลืนยาขม เมื่อก่อนลั่วเทียนเฉินก็เป็นเพียงมือปราบตำแหน่งเล็ก ๆ ระยะเวลาสามปีที่เขาจากนางไปทำงานต่างเมือง นึกไม่ถึงว่าจะสามารถไต่ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าองครักษ์อวี่หลินอย่างรวดเร็ว หรือในวันนั้นที่เขาเร่งร้อนจากไปไม่ทันมาพบนางก็เพื่อสิ่งนี้ ถ้าเช่นนั้นเขาจะต่างอันใดกับพวกบ้าอำนาจ
หม่าเซียวสังเกตสีหน้าประหลาดของหลี่เสวี่ยซินพลางครุ่นคิด “เอ่อ…ว่าแต่…ท่านหลับไปพร้อมวันที่นางสิ้นลมนะเจ้าคะ แล้วเหตุใดจึงสนใจเรื่องของ…”
“ข้ายังไม่ได้บอกเลยว่าอยากรู้เรื่องผู้ใด แต่ในเมื่อเจ้าเกริ่นมาเช่นนี้ ถ้างั้นเอาเรื่องตระกูลลั่วก่อนก็แล้วกัน”
“หา!” สองสาวใช้อุทานโดยพร้อมเพรียง
เมื่อก่อนท่านหญิงหนิงเสวี่ยซินเคยสนใจเรื่องราวของผู้อื่นเสียเมื่อใด อีกอย่างนางก็เพิ่งตื่น ไฉนจึงอยากรู้เรื่องของตระกูลลั่วที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน
สองสาวใช้มองหน้ากันตาปริบ ๆ ทั้งงุนงงและก็สงสัย
หลิวอี้กระซิบ “น่าแปลก”
หม่าเซียวขมวดคิ้ว “แปลกเรื่องใด”
“ก็ชื่อของท่านหญิงและฮูหยินใต้เท้าลั่วเหมือนกันไม่ผิดเลย ถึงแม้จะคนละสกุลก็เถอะ อีกอย่างฮูหยินใต้เท้าลั่วผู้นั้นก็ยังมาสิ้นใจตรงกันกับวันที่ท่านหญิงหลับไป”
หลี่เสวี่ยซินตกตะลึงกับสิ่งที่แอบได้ยิน หม่าเซียวเหลียวมองสีหน้าซีดขาวของผู้เป็นนายพลันตะครุบปากหลิวอี้ไม่ให้พูดซ้ำ “เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ฮูหยินใต้เท้าลั่วตายไปแล้ว แต่ท่านหญิงของเรายังสุขสบายดี อีกอย่างคนเราชื่อคล้ายกันได้จะแปลกอย่างไร”
เสียงของหม่าเซียวกลายเป็นอากาศธาตุในบัดดล ยามนี้หลี่เสวี่ยซินติดอยู่ในภวังค์ดุจกำลังเดินวนอยู่ท่ามกลางเขาวงกต
นางกับข้าชื่อเหมือนกัน วันตายของข้าและวันที่นางหมดสติก็วันเดียวกันอย่างนั้นหรือ...
^จอหงวน (狀元) : ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบคัดเลือกขุนนางระดับสูงของจีน
^"อวี่หลิน" (羽林) หมายถึง "ป่าฝน" หรือ "ปีกของป่า" ซึ่งสื่อถึงความแข็งแกร่งและเกรียงไกรของหน่วยทหาร. ภารกิจหลักคือการอารักขาองค์จักรพรรดิและราชวงศ์ รวมถึงการรักษาสันติสุขและความสงบเรียบร้อยภายในราชสำนัก
“มากันจนได้สินะ” เสียงเล็กสั่นเครือแว่วมาตามสายลม บ่งบอกได้ว่าคนผู้นี้เป็นสตรี และอายุของนางคงไม่น้อยแล้วชายหนุ่มทั้งสองชะงัก ลั่วเทียนเฉินลดมือลงแช่มช้า เขาแตะกระบี่ข้างกายเอาไว้อย่างระแวดระวัง ตลาดมืดแห่งนี้มีเรื่องราวเร้นลับมากมายที่ยากคาดเดา ไม่ว่าจะด้วยการตบตาก็ดี หรือเรื่องจริงก็ช่าง อย่างไรเสียก็นับว่าเป็นสถานที่ไร้ซึ่งกฎหมายในการปกครองลั่วเทียนเฉินจำใจตอบรับการร่วมเดินทางจากสหายอีกหนึ่งเพราะไม่อยากเสียเวลา คนผู้นั้นจะเป็นใครไปเสียอีกหากไม่ใช่ฮั่วเหวินหลงฝ่ามือกว้างยื่นแตะลงบนหลังมือของลั่วเทียนเฉิน นัยน์ตาคมกริบตวัดมองเข้ม ก่อนอีกฝ่ายจะชักมือกลับพลางยิ้มยียวนฮั่วเหวินหลงกระซิบ “ใจเย็นหน่อย”สายตาดุจมีดดาบของลั่วเทียนเฉินทำให้ฮั่วเหวินหลงต้องเร่งถอยห่าง “หากท่านเคยมาก็คงรู้กฎของที่นี่ แม้ไม่อยู่ภายใต้การปกครองตามหลักมนุษยธรรม แต่ก็มิได้สนับสนุนการนองเลือด”ลั่วเทียนเฉินแค่นยิ้ม “ดูเหมือนใต้เท้าฮั่วชำนาญมากทีเดียว คงมาเยือนสถานที่ประหลาดนี้บ่อยสิท่า”“เกรงว่าคงไม่น้อยไปกว่าท่าน ว่าหรือไม่”“ฮ่า ฮ่า ผู้มีวา
ซวี่หนิงพยักหน้าทิ้งความเคืองขุ่นลงชั่วขณะ “ก็เวลาที่ซินซินตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ใต้เท้าลั่วคนนี้มาช่วยนางไว้ได้ตลอด ข้าว่าพวกเขาจะต้องมีบุพเพต่อกันเป็นแน่”ฮั่วเหวินหลงเงียบ เขากำลังไตร่ตรอง และพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่าง ซวี่หนิงเห็นเขาไร้ปฏิกิริยาก็คิดว่าฮั่วเหวินหลงไม่อาจตัดใจจากสหายตนได้นางเอนตัวลงนอน แสร้งถอนหายใจดัง “เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ มาก่อนมาหลังไม่สำคัญ อยู่ที่ว่าคนในใจนั้นคือใคร ท่านก็อย่าคิดมากเลย ถอนหมั้นได้ก็หมั้นใหม่ได้”เสียงของซวี่หนิงประหนึ่งลมสายหนึ่งสำหรับเขา มันดังลอดเข้าหูซ้ายและทะลุผ่านหูขวา สิ่งที่ฮั่วเหวินหลงสนใจในตอนนี้คือ วันที่ลั่วเทียนเฉินเข้าไปพบหนิงโหวต่างหาก“หรือว่าเขาจะเป็นคนของหนิงโหวแล้ว” ฮั่วเหวินหลงพึมพำ“ท่านว่าอะไรนะ” ซวี่หนิงได้ยินอีกฝ่ายใจลอยทั้งยังขมุบขมิบอยู่ผู้เดียวจึงเอ่ยถาม ดูเหมือนฮั่วเหวินหลงกำลังจิตใจปั่นป่วนดุจถูกมะนาวสดบีบใส่บาดแผลแต่นั่นจะสำคัญอะไร นางเองก็เคยเจ็บช้ำเพราะคนตรงหน้ามิใช่หรือ ให้เขาได้เรียนรู้ความเจ็บปวดสักหน่อยจะได้รู้รสชาติ “ชิ เช่นนั้นข้าว่าข้ากลับจวนดีกว่า”
“ซินซิน!”ซวี่หนิงเบิกตาโพลง ลมหายใจหนักหน่วงถี่กระชั้น “ข้าอยู่ที่ไหน?”ขมับทั้งสองข้างกำลังแข่งกันเต้นรัวไม่หยุด ไม่ทันขยับยกมือขวาขึ้น ก็ต้องพบกับความประหลาดใจระลอกใหญ่เจ้าของใบหน้าเกลี้ยงเกลาดั่งหยกเนื้อละเอียดกำลังฟุบหลับอยู่ไม่ห่าง หนำซ้ำมือของนางยังถูกเขากุมเอาไว้จนแน่น“ฮั่วเหวินหลง เขามาอยู่นี่ได้อย่างไร” ซวี่หนิงคิดทบทวนย้อนกลับไปไม่กี่ชั่วยามก่อน ไม่นานก็เข้าใจสถานการณ์ชัดขึ้น“เช่นนั้นซินซินเล่า นางจะเป็นอย่างไรบ้าง” ซวี่หนิงค่อย ๆ เลื่อนมือของตนออกจากการเกาะกุม มือเนียนนุ่มจับปลายนิ้วเรียวแข็งกระด้างยกออกทีละนิ้ว กว่าจะสลัดออกได้ก็ทำเอาหอบหญิงสาวย่องเบาลงจากเตียง ทว่าด้วยอาการบาดเจ็บที่ขาเป็นเหตุให้ร่างระหงทรุดฮวบลงบนพื้น “โอ๊ย”เสียงโอดครวญเมื่อครู่สะท้อนเข้าหูฮั่วเหวินหลงจนปลายนิ้วขยับ ครั้นไม่เห็นว่าชายหนุ่มตกใจตื่น ซวี่หนิงจึงผ่อนหายใจโล่งอก จากนั้นพยุงร่างเดินขากะเผลกห่างออกมา ไม่ทันก้าวข้ามกรอบประตูเสียงทุ้มพลันกระแอมขัด“จะไปไหน”ซวี่หนิงตกใจจนตัวแข็ง“เดินแทบไม่ไหวก็ยังดื้ออีก เจ
หลี่เสวี่ยซินเข้าใจเจตนาของเขา การต่อต้านจึงยุติ ลั่วเทียนเฉินตั้งใจล้างมือให้นางต่อไปเงียบเชียบมีเพียงเสียงจากฝนที่ทำให้จิตใจของคนทั้งสองไหวสะท้าน หลี่เสวี่ยซินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้ง“ท่านทำเช่นนี้ฮูหยินของท่านอาจไม่พอใจ”ลั่วเทียนเฉินขบขัน นัยน์ตาคมกริบช้อนขึ้นมองตอบ “หากเป็นท่านหญิงนางอาจจะไม่ว่าก็ได้ ว่าหรือไม่”หลี่เสวี่ยซินอึ้งงัน เมื่อครู่นางเห็นบางอย่างฉายวาบอยู่ในประกายตาของเขา มือเรียวชักกลับทันควัน “ไม่ต้องล้างแล้ว ข้าดีขึ้นมากแล้ว”ลั่วเทียนเฉินมองมือและลำคอระหงที่ยังแดงก่ำ มุมปากของเขาขยับเล็กน้อย “รับไปสิ”ชายหนุ่มยื่นขวดกระเบื้องเคลือบขนาดเล็กและถุงน้ำสะอาดส่งให้หลี่เสวี่ยซินเฉไฉ “ข้าหายแล้ว ไม่จำเป็น”“จะทำเอง หรือจะให้ข้าทำให้”หญิงสาวกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เร่งคว้าของจากมือชายหนุ่มทันควัน ครั้นหลุบตามองขวดกระเบื้องเคลือบในมือ แววตาของนางพลันระริกไหวอย่างเห็นได้ชัด แม้เกิดขึ้นเพียงพริบตา ทว่าลั่วเทียนเฉินกลับเห็นอย่างชัดเจน“ยาแก้แพ้หรือ เหตุใดท่านถึงยังพกยาแก้แพ้เอาไว้”“พูดราวกับรู้ว่าเ
หลี่เสวี่ยซินถอนสายตากลับ มือที่ชะงักเมื่อครู่ขยับต่อ นางทำราวกับว่าคำพูดที่หลุดออกจากปากของลั่วเทียนเฉินไม่มีสิ่งใดแอบแฝง แท้จริงหลี่เสวี่ยซินกำลังเก็บอาการตระหนกตื่นซึ่งผุดขึ้นภายในใจ“แน่นอนว่าข้าก็คือซินซิน ซินซินเป็นนามรองของข้า”มือเรียวหยิบแพรพกออกมา จากนั้นก็ใช้มันพันแผลเพื่อห้ามเลือดให้เขา ลั่วเทียนเฉินมิได้ละสายตาจากนาง เขาจับจ้ององคาพยพของหญิงสาวต่อไปเงียบ ๆใบหน้างามแหงนขึ้นแช่มช้าเพราะสัมผัสถึงความเงียบที่ผิดปกติ “หน้าข้ามีสิ่งใดติดหรือ หรือว่าใต้เท้าลั่วอยากให้ข้าเป็นใคร”ริมฝีปากได้รูปกระตุกเล็กน้อย ลั่วเทียนเฉินแสร้งทอดถอนใจ “ข้าคงคิดมากไปเองจริง ๆ ท่านหญิงก็แค่คล้ายคนที่ข้ารู้จัก”“อ้อ…เช่นนี้เอง ท่านอย่าฟุ้งซ่านเกินไปจะดีกว่า ไม่รู้ว่าแส้ของเขาอาบยาพิษไว้หรือไม่”ลั่วเทียนเฉินพยักหน้า เขามองแพรพกซึ่งถูกผูกปมเอาไว้ด้วยดวงตาเป็นประกาย นอกจากฝีเข็มที่คุ้นตาแล้วการผูกผ้ายังคล้ายกันไม่ผิดเพี้ยน“ตะวันจะลับขอบฟ้าแล้ว หากไม่รีบกลับท่านหญิงจะเสียหาย ดูท่ามือของข้าเจ็บเอาการ มิทราบท่านหญิงจะช่วยควบม้าแทนข้าได้หรือไม่”
หลี่เสวี่ยซินที่แสร้งเชื่อฟังยอมกลับเข้าไปด้านในรถม้าแต่โดยดี หญิงสาวหันรีหันขวางก่อนจะปลดถุงหอมออกมาจากข้างเอวตน เพราะเมื่อก่อนมักถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นด้านในถุงหอมของนางจึงมักใส่ปิงเพี่ยน [1] ห่อด้วยกระดาษอย่างหนาเพื่อป้องกันการระเหยเอาไว้ด้วยระหว่างที่รถม้ายังเคลื่อนตัวก็ปลดสร้อยลูกปัดออกมาโปรยเอาไว้ตามรายทางเป็นระยะ แม้เบื้องหลังนั้นไร้ร่องรอยการติดตามแล้ว ทว่าการไม่ทำอะไรเลยมิเท่ากับตัดพ้อให้ชีวิตหรือครั้งนี้หลี่เสวี่ยซินไม่มีทางยอมแพ้ต่อโชคชะตาเด็ดขาด ถึงไม่รู้ว่าการแบกรับหน้าที่บุตรีเพียงคนเดียวของหนิงโหวดุจใช้มือต้านพายุลูกใหญ่หรือไม่ ทว่าหลี่เสวี่ยซินก็จะฝืนตั้งรับอย่างสุดกำลังดูเหมือนว่ารถม้าจะเริ่มชะลอตัวแล้ว คนผู้นี้ใจกล้าวรยุทธ์เลิศล้ำ เขาลงมือผู้เดียวได้อย่างเฉียบขาด กระนั้นขอเพียงนางซื้อเวลาเพิ่มมาอีกหน่อย บางทีอาจมีใครโผล่มาช่วยก็เป็นได้หลี่เสวี่ยซินใช้จังหวะนี้ออกมาจากด้านใน เสียงเคลื่อนไหวของนางทำให้เขารู้ตัว ชายร่างสูงลุกพรวด คว้าแขนเล็กเอาไว้แน่น“คิดทำอะไร”







