“เจ็บจัง”
หลินอวี่เหยายันกายขึ้นจากเตียงนอน เธอยกมือขึ้นเสยผมยาวสลวยที่ตอนนี้ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนวันแรก หญิงสาวถอนหายใจเบื่อหน่าย เตียงนี้แข็งไปจริงๆ นอนมาหลายคืนแล้วเธอยังไม่ชินและเจ็บกระดูกอยู่เลย
ข้ามภพมาได้ครึ่งเดือน เหมือนจะชินแต่ยังไม่ชินเสียที
“คุณปู่ค่ะ เหยาเหยาคิดถึงคุณปู่จังเลย” หญิงสาวพึมพำแล้วกวาดตามองรอบห้องให้มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไปอีกแล้ว เบื่อหน่ายกับความฝันที่ซับซ้อนเหล่านี้ บางคืนนั้นเป็นภาพความทรงจำของเจ้าของร่างที่นางอาศัยอยู่ ซึ่งมีแต่ความทุกข์ระทมน่าเวทนา ถ้าเทียบกับนางในอีกโลกหนึ่งแล้ว ชีวิตนางย่อมดีกว่าหลายสิบเท่า แม้สูญเสียพ่อแม่ไปแต่ก็ยังมีคุณปู่หลินที่รับมาเลี้ยงและดูแลอย่างดี ผิดกับหลินอวี่เหยาที่มีบิดาแต่ไม่เคยถูกโอบกอดเลยสักครั้ง และเมื่อต้องมาอยู่ในตำหนักเย็นก็ไร้คนเหลียวแลเห็นใจ นอกจากชื่อเดียวกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรคล้ายกันเลยสักนิด
เพราะอยู่คนเดียวไม่มีสาวใช้ติดตามมาด้วย หลินอวี่เหยาจึงจัดการตัวเองเสร็จสรรพด้วยความเคยชิน ยังดีที่เจ้าของร่างนี้มีอุปกรณ์เย็บปักอยู่บ้าง เครื่องประดับล้ำค่าไม่มี หรืออาจเคยมีแต่นำไปแลกเป็นอาหารหมดแล้ว นางนำมาซ่อมเสื้อผ้าสำหรับสวมใส่และผ้าห่ม ส่วนฟูกนอนนั้นเกินเยียวยาจริงๆ แต่หลายวันมานี่นางทำความสะอาดตำหนักเย็นที่ตนเองอยู่จนสะอาดเอี่ยมเป็นที่น่าพอใจ หิมะละลายจนพื้นเจิ่งนองด้วยน้ำ แต่เผยให้เห็นว่าสถานที่นี่ก็ไม่เลวร้ายมากนัก
หลังจากชำระล้างใบหน้าแล้ว หลิวอวี่เหยาหอบหญ้าที่ตัดไว้ไปผึ่งแดด ยามนี้คงต้องอาศัยสิ่งนี้ใช้ทำฟูกนอนไปก่อน ดีกว่านอนบนเตียงแข็งๆ จนเจ็บกระดูก ร่างนี้ยิ่งผอมบางเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตื่นมาแต่ละเช้าได้แต่ร้องโอดครวญราวหญิงชราทั้งที่ร่างนี้อายุแค่สิบเจ็ดปีเท่านั้น
อยู่โลกโน้นนางอายุยี่สิบห้า อยู่ที่นี่นางอายุสิบเจ็ด ประสบการณ์ชีวิตมากกว่า และยังหอบความรู้มาจากศตวรรษที่21อีกด้วย
“สนินหลิน”
“ขันทีน้อย” หญิงสาวส่งเสียงทักทาย
“ข้าชื่อจูซิน เจ้าก็เรียกข้าดีๆหน่อย”
“ท่านจูซินกงกง อย่าทรงโกรธเลยเพคะ”
“เจ้านี่นะ” ขันทีน้อยขึงตาใส่ แต่หญิงสาวกลับหัวเราะร่า เขาส่ายหน้าระอาใจแล้วเดินเข้าไปด้านในวางตะกร้าอาหารลงบนโต๊ะ
เขาคือจูซิน ขันทีระดับล่างที่อายุเพียงสิบหก อยู่วังมานานแค่ยังไร้ผลงาน ตำแหน่งจึงต่ำต้อยต้องมาทำงานเช่นนี้ แต่เดิมเขาก็ไม่ได้สนใจสนมหลินนัก ที่ผ่านมานางเคยให้เครื่องประดับเพื่อแลกกับการส่งจดหมายกลับไปบ้านเกิด จนกระทั่งไม่เหลือสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน อยู่วังมานานเห็นชะตาชีวิตสตรีในตำหนักเย็นมากมาย แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ สนมหลินจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ยิ้มร่าเริงและกล่าวทักทายเขาทุกครั้งด้วยท่าทีเป็นมิตร บางครั้งนางทำตัวเป็นพี่สาวเขาทั้งที่อายุก็ไม่มากไปกว่าเขาสักเท่าไหร่
หลินอวี่เหยาช่วยหยิบอาหารออกมาจากตะกร้า แน่นอนว่ายังเป็นน้ำข้าวกับผักดอง ในแต่นั้นมีเมล็ดถั่วอยู่จำนวนหนึ่ง หญิงสาวยิ้มจนดวงตาหยี่เล็กแล้วคว้าสิ่งนั้นเทลงบนฝ่ามือ
“แค่เมล็ดถั่ว เจ้า เอ่อ สนมหลิวทำราวกับเห็นเมล็ดทองคำ”
“แน่นอน นี่คือของล้ำค่าสำหรับข้าเลยล่ะ” นางอุตส่าห์เก็บรื้อม่านมุ้งออกมาเพื่อทำที่เพาะเมล็ดถั่วเลยทีเดียว กว่าจะได้มาก็ยากเย็นแลกกับการ...
“อาการของขันทีน้อยเป็นอย่างไร ดีขึ้นหรือไม่”
จูซินมีสีหน้าเขินเล็กน้อยแล้วกระแอมไอเบาๆ “ด้วยคำแนะนำของสนมหลิน อาการของข้าดีขึ้นแล้ว”
เพราะอากาศเย็นชื้น เขาเกิดผืนขึ้นที่โคนขา อับอายเกินกว่าจะไปให้หมอตรวจอาการ เวลาเดินก็เจ็บแสบเพราะเสียดสี นานวันเข้ากลายเป็นแผลถลอก ไม่รู้ว่าเพราะอาการเดินผิดปกติของเขาชัดเจนหรือไร สนมหลินสังเกตเห็นจึงเอ่ยทัก
‘ท่านเจ็บขาหรือ’
‘ไม่เกี่ยวกับเจ้า’
‘ไม่ใช่เท้า ก็น่าจะขา แต่...อืม ดูจากการเดินแล้ว น่าจะต้นขาสินะ’
ในครั้งนั้นเขาตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่นิ่งงันไปทันที
‘มีอาการแดง คัน ระคายเคือง ผิวลอก มีน้ำเหลืองหรือแสบเวลาเดินใช่หรือไม่ ขันทีน้อยไม่ต้องกลัวไป หากเป็นที่ข้ากล่าวมานั้นเกิดจากความอับชื้น เหงื่อสะสม บริเวณนั้น’
‘จริงรึ...รักษาได้หรือไม่’
หญิงสาวพยักหน้ารับ 'ใช้หวงไป๋ (ฝาง) ต้มกับน้ำและใช้น้ำมาล้างหรีอประคบบริวเณที่เป็นผืน ซับให้แห้ง ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อยๆ จะช่วยได้ แต่ถ้าขันทีน้อยมีอาการตัวร้อนเป็นไข้ต้องกินยาด้วย'
‘ยาอะไร’
‘นำจินอิ๋นฮวากับเหลียนเฉียวกลับมาต้มดื่มก็พอช่วยได้’
หลินอวี่เหยาเกือบจะหลุดปากว่ายาฆ่าเชื้อ แต่ก็นึกได้ว่าที่นี่ไม่มียาเม็ดแบบแพทย์แผนตะวันตก ยังดีที่มีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนเพราะนางเรียนเรื่องพืชสมุนไพรจึงสามารถวินิจฉัยอาการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ ได้
จูซินกลับไปทำตามที่นางแนะนำ หลายวันต่อมาก็ดีขึ้น เขาตอบแทนนางด้วยหมันโถวหนึ่งลูก หลินอวี่เหยาดีใจจนแทบหลั่งน้ำตา นางได้แต่กินน้ำข้าวกับผักดองหลายวันแล้ว แม้อยากเรียกร้องมากกว่านี้แต่รู้ขีดจำกัดดี ทุกอย่างต้องคอยเป็นค่อยไป
“เจ้าทำอะไร” จูซินถามขณะที่เห็นนางนำขิงที่หั่นซอยไว้มาใส่ในน้ำข้าว ซึ่งวันนี้เขาแอบพ่อครัวให้ช่วยเติม ‘ข้าว’ ให้นางเพิ่งอีกนิดหน่อย นางได้กินแค่ข้าววันล่ะหนึ่งมื้อเท่านั้น
“ใส่ขิงสดหน่อย วันนี้มีเม็ดข้าวด้วย ขอบคุณจูซินกงกงอย่างยิ่งที่เมตตาข้าน้อย” นางพูดติดตลกแล้วกินอาหารของตนเองไปด้วยรอยยิ้ม
นางอาจเสียสติไปแล้วก็ได้ จูซินได้แต่ส่ายหน้าไปมา “ฤดูใบไม้ผลิแล้ว”
“อื้ม” นางพยักหน้ารับ “เหมาะกับการเพาะปลูก”
ขันทีน้อยหัวเราะออกมา “เจ้าจะปลูกอะไรในที่แห่งนี้”
“ขอแค่มีดินมีน้ำ และเมล็ดพันธุ์ย่อมเพาะปลูกได้”
‘อันที่จริงไม่มีดินก็ยังปลูกได้ แต่นั้นต้องใช้ตัวช่วยเยอะหน่อย’
“เจ้ามีความรู้เรื่องการรักษา ครั้งหน้า...ข้าอาจมาขอคำแนะนำอีก”
“ได้สิ” นางพยักหน้ารับแล้วปรายตามองไปด้านหนึ่งของกำแพงตำหนักเย็น เมื่อหิมะละลาย ก็เผยอให้เห็นต้นไม้ที่ซุกซ่อนอยู่ ตอนนี้ในสมองของนางคิดแต่เรื่องของกินและฟูกนอนที่ช่วยไม่ให้นางปวดกระดูกก็พอแล้ว
เพราะอยู่สวนเสียนเฉ่าซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างสามภพ ทำให้เหยาเหยาหรือดอกบัวน้อยของเซียนสมุนไพรเคยพบเห็นทั้งเทพเซียน,มารปีศาจ,สรรพสัตว์หรือมนุษย์ธรรมดา ยามนี้นางมีสาวใช่ปีศาจรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดจึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแค่นางไม่คุ้นชินให้ผู้อื่นมาค่อยดูแล ที่ผ่านมาก็มีแต่นางทำให้ผู้อื่น ได้หลับไปหนึ่งตื่นจิตใจจึงสงบลง นางจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว ถูกปีศาจกลุ่มหนึ่งเข้ามาชิงสมุนไพรเซียนยามที่ซ่งเหอเทียนจวินไม่อยู่ ราวกับถูกจับตามองทุกการเคลื่อนไหวจึงฉวยโอกาสนี้บุกชิงสมุนไพรเซียน แต่ไม่คิดว่าพวกมันจะชั่วร้ายเผาทำลายแปลงสมุนไพร ยังดีที่นางรอดชีวิตจึงได้มีโอกาสไถ่ความผิดในครั้งนี้ “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านจอมมารให้นำเครื่องประดับมามอบให้ท่าน หากท่านไม่พอใจสามารถไปเลือกที่คลังของนายท่านได้เจ้าค่ะ” “ฮู...ฮูหยิน” ใบหน้างามแดงเรื่อ “พวกเจ้าหมายถึงผู้ใดกัน” เหล่าสาวใช้ปีศาจต่างหัวเราะคิกคัก “ก็ท่านอย่างไรเล่า” “ข้า...ข้าไม่ใช่...เข้าใจผิดแล้ว” “ท่านจอมมารอุ้มท่านเองกับมือ ท่านไม่ใช่ฮูหยินแล้วจะเป็นใครไ
“ข้าเป็นใครกันรึ” ปีศาจหนุ่มย้อนถามด้วยรอยยิ้ม ตอกย้ำได้ชัดว่านางช่วยเขาทั้งที่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด นางคงเห็นเขาเป็นแค่แมวดำบาดเจ็บและเมื่อรู้ว่าแท้จริงเป็นปีศาจเสือดำนางก็ยังตั้งใจช่วยชีวิตของเขา หึ! ความเมตตาของนางช่างยิ่งใหญ่นัก! แม้คนเบื้องหน้ายิ้มแต่ดวงตาไร้รอยยิ้ม ทำให้ร่างเล็กเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาระลอกหนึ่งนำพาให้กระถดกายถอยไปด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว แน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยๆ นี้ย่อมอยู่ในสายตาของเขา “ข้าก็คือเสือดำตัวที่เจ้าช่วยรักษาและยังถ่ายปราณอันน้อยนิดมอบให้” เยี่ยหรงยิ้มบางเบาแล้วกวาดตามองทั่วร่าง เสื้อผ้านางขาดวิ่นเป็นบางแห่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาหรี่ตามองท่อนแขนมีแผลเพราะถูกอีกาจิกเมื่อครู่ ปราณชีวิตของนางได้รับมาจากเซียนสมุนไพร ทุกหยาดหยดในร่างกายนางจึงเสมือนอาหารอันแสนโอชาของบรรดาปีศาจทั่งปวง รวมถึงเขาด้วย แน่นอนว่าหญิงสาวไม่เชื่อ แต่เวลานี้เขาคือคนเดียวที่น่ารู้จักและหวังพึ่งพาได้ “ข้ามาตามหากล้วยไม้บรรพกาล มีผู้ขโมยมา ข้าใช้เถ้าธุลีจากเพลิงที่เผาไหม้สมุนไพรเซียนนำทางจึงถึงที่แห่งนี
เงาดำใหญ่ทาบทับร่างนาง หญิงสาวกลัวจนไม่กล้าขยับตัว นางคือดอกบัวน้อยในสระสวนเสียนเฉ่าที่เซียนสมุนไพรซ่งเหอเทียนจวินชุบชีวิตขึ้น พลังชีวิตของนางได้รับมาจากซ่งเหอเทียนจวินและกลิ่นหอมหวานของกายนั้นเย้ายวนปีศาจยิ่งนัก นางก็ไม่ต่างจากสมุนไพรเซียน หากมารปีศาจได้กลืนกินก็เพิ่มพลังปราณให้ตนเอง ร่างของหญิงสาวแข็งทื่อไม่รู้จะขยับตัวไปทิศทางใด แต่กระนั้นนางก็เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนสะอิดสะเอือน เท้าขนาดใหญ่ของสัตว์สี่เท้าคร่อมร่างนางไว้ อุ้งเท้าที่มีขนสีดำเป็นมันวาวอยู่ใกล้หัวไหล่ นางถูกปีศาจตนหนึ่งคร่อมร่างอยู่หัวใจนางเต้นถี่รัวแทบจะกระดอนออกจากอก น้ำตาหลั่งไหลดุจไข่มุกเม็ดเล็กๆ หล่นกระทบพื้นดินที่ร้อนและแห้งแล้ง ปลายจมูกยาวดอมดมกลิ่นกายนาง หญิงสาวเบี่ยงศีรษะอย่างลืมตัวทว่าทำให้ปีศาจตนนั้นตวัดลิ้นเลียหยาดน้ำตาของนาง “เหยาเหยา” ดอกบัวน้อยได้ยินเสียงคุ้นหู ดวงตาฉ่ำน้ำตากะพริบตาปริบๆก่อนรวบรวมความกล้าหันไปมอง ทำให้นางเห็นปีศาจตนหนึ่งรูปร่างเหมือนเสือดำแต่ตัวมหึมา ขนสีดำมันวาว ดวงตาเป็นสีแดงโลหิต เจ้าของดวงตาคู่นั
“เหยาเหยา! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ความเจ็บปวดถาโถมทำให้หญิงสาวร้องครางแผ่วออกมา ร่างไร้เรี่ยวแรงถูกประคองขึ้นนั่งด้วยมือสั่นเทาของเซียนสมุนไพรซ่งเหอเทียนจวิน หญิงสาวเพิ่งรู้ว่าตัวเองหมดสตินอนอยู่บนพื้นห้อง ความร้อนจากด้านนอกทำให้นางมองข้ามไหล่อาจารย์ปู่ออกไป ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นเปลวเพลิงกำลังโหมไหม้แปลงสมุนไพร “อาจารย์ปู่! ไฟไหม้! ไฟไหม้แปลงสมุนไพรเจ้าค่ะ” นางรีบยันกายขึ้นแต่เพียงลุกขึ้นก็เจ็บปวดไปทั่วร่างจนทรุดลงไปนั่งอีกครั้ง ซ่งเหอเทียนจวินวางฝ่ามือบนศีรษะของหญิงสาว ครู่หนึ่งความเจ็บปวดจึงทุเลาลง นางจึงสามารถลุกขึ้นได้อีกครั้ง “ไปจากที่นี่ก่อน” ซ่งเหอเทียนจวินเตือนศิษย์ตัวน้อยของตน “ไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องดับไฟ” “นี่ไม่ใช่ไฟที่เจ้าจะดับได้” หญิงสาวเอียงคอมองอย่างงุนงงและสังเกตเห็นว่าเปลวเพลิงที่โหมไหม้นั้นราวกับสีแดงของโลหิต สองหูของนางได้ยินเสียงสมุนไพรในแปลงกรีดร้องระงม น้ำตาของหญิงสาวหลั่งไหลดุจหยาดฝน “อาจารย์ปู่! ช่วยพวกเขา!” นางเขย่าแขนเสื้อของเซียนสมุนไพร
หลินอวี่เหยาใช้เวลาดูแลจื่อหนิงอยู่หลายวัน และเพื่อความมั่นใจนางจึงนอนค้างที่เรือนของจื่อหนิง แม้ถูกขับไล่อย่างไร นางก็ยังดื้อรั้นอยู่ดูแล “อาจารย์หญิงไม่ต้องเหนื่อยไล่ข้า อย่างไรข้าจะอยู่จนกว่าท่านจะแข็งแรง” “เด็กโง่ เจ้าจะมาทนอยู่กับคนป่วยกระเสาะกระแสะอย่างข้าไปเผื่ออะไร” “ยามข้าเจ็บป่วยท่านยังดูแล แล้วยามนี้ท่านอ่อนแอข้าจะไม่ดูแลได้อย่างไรกัน” นางทำปากยื่นใส่ ทำให้จื่อหนิงอ่อนอกอ่อนใจยิ่งนัก “ที่ข้าสอนไป มิได้อยู่สมองน้อยๆของเจ้าเลยรึ แล้วอย่างนี้เจ้าจะเป็นฮูหยินแม่ทัพเยี่ยหรงได้อย่างไร” แก้มนวลพลันเปลี่ยนสีแดงเรื่อ จุดอ่อนของนางคือพูดเรื่องนี้ทีไร นางก็หน้าแดงทุกที ทำให้จือหนิงยิ้มเอ็นดูได้ทุกคราไป “อะไรก็ควรสอนข้าก็สอนแล้ว ที่เหลือเจ้าก็ตรึกตรองก่อนทำสิ่งใดลงไป” “ข้าทราบแล้ว...ข้าได้ออกจากที่นี่ไป จะหาทางพาท่านกับซูจินและเฉิงฮัวออกไปด้วย” จื่อหนิงพูดเรื่องนี้หลายครั้งจึงไม่อยากพูดอีก ทำได้แค่ยิ้มให้นางเท่านั้น “ท่านดื่มยาบำรุงอีกนิดนะเจ้าคะ” หลินอวี่เหยาป้อนยา
หญิงสาวเคยอ่านเรื่องราวของกล้วยไม้ชนิดนี้มามาก นอกจากรูปภาพที่ได้ดูในหนังสือประวัติศาสตร์แล้วก็ไม่เคยเห็นของจริงสักที มาวันนี้กล้วยไม้หายากชนิดนั้นอยู่เบื้องหน้าแล้ว ความรู้สึกเต็มตื้นก็พุ่งขึ้นมาจุกอก ถ้าไม่ใช่เพราะกล้วยไม้ชนิดนี้หรือ? นางก็คงไม่ประสบอุบัติเหตุตกเขาและโผล่มาถึงที่นี่หรอก ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะได้เห็น “กล้วยไม้บรรพกาล” ตรงหน้าเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา หากศาสตราจารย์หลิวเฉินอี้ได้เห็นคงต้องดีใจแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่ห่างไกลหลายร้อยปี ลำบากตามหาแลกด้วยชีวิต แต่เมื่อไม่คิดตามหากลับได้พบเจออย่างง่ายดาย “เป็นอะไรไปหรือ” ไทเฮาทรงทรงถาม“ไม่ได้เป็นอะไรเพคะ แค่ตื้นตันใจที่ชีวิตนี้ได้มีโอกาสเห็นกล้วยไม้ล้ำค่าต้นนี้”“มีนักพรตท่านหนึ่งได้นำกล้วยไม้บรรพกาลถวายฮ่องเต้พระองค์ก่อน แล้วก็ทรงมอบให้ข้าดูแลอีกที กล้วยไม้นี้เป็นเหมือนของขวัญและตัวแทนขององค์ฮ่องเต้ ข้าคอยดูแลมาหลายปียังไม่เคยเห็นดอกเลยสักครา จำได้ว่านักพรตท่านนั้นให้ข้าเลี้ยงดูมันให้ดี แต่มีคนกล่าวว่ากล้วยไม้ชนิดนี้พิเศษนัก”“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”“แล้วเจ้าคิดเห็นอย่างไร สามารถนำไปทำยาบำรุงให้ฮองเฮาได้