Home / รักโบราณ / โศลกเพลิงผลาญใจ / ตอนที่8 บุรุษแปลกหน้าในคืนจันทร์เสี้ยว

Share

ตอนที่8 บุรุษแปลกหน้าในคืนจันทร์เสี้ยว

last update Last Updated: 2025-07-14 02:06:41

            ในที่สุดหลินอวี่เหยาก็มีฟูกนอนเสียที แม้มันทำมาจากหญ้าก็เถิดแต่นางก็ไม่ต้องนอนปวดกระดูกอีกต่อไป หลายวันมานี้จูซินทำหน้าที่ป่าวประกาศว่านางสามารถวินิจฉัยโรคได้ ทำให้นางเริ่มมีรายได้เล็กๆน้อยๆ ซึ่งคนเหล่านั้นล้วนเป็นนางกำนัลหรือขันทีขั้นต่ำ ซึ่งไม่สามารถไปพบหมอหลวงได้ นางซึ่งมีความรู้เรื่องพืชสมุนไพรและศาสตร์แพทย์แผนจีนจึงได้ใช้ความรู้นี้แลกข้าวปลาอาหารและของใช้เล็กๆน้อยๆ

            ใครจะคาดคิดว่าชีวิตของหลินอวี่เหยาที่ถูกแย่งชิงเพื่อดึงตัวไปร่วมงานด้วยเงินเดือนสูงลิบต้องมาทำงานแลกข้าวและถั่วอย่างนี้ คิดแล้วก็อนาถใจยิ่งนัก แต่กระนั้นก็นับได้ว่าความรู้ที่สั่งสมมาไม่เสียเปล่า

            “เจ้าถั่วงอกน้อยที่แสนดี พรุ่งนี้ข้าจะกินเจ้าให้สมกับที่ประคบประหงมมาหลายวัน” 

หลินอวี่เหยาพูดกับตะกร้าถั่วงอกของนาง จากถั่วเขียนที่ขอขันทีจูซินไว้ นางเพาะจนมันเป็นถั่วงอก ร่างกายนี้ขาดสารอาหารมานาน อยากกินเนื้อก็คงไม่ได้กิน ตอนนี้กินถั่วซึ่งมีโปรตีนก็ใช้ทดแทนกันได้  หญิงสาวเช็ดมือแล้วเดินจากห้องเล็กด้านข้างที่ตอนนี้กลายเป็นห้องครัวย่อมๆ  จันทร์เสี้ยวที่แขวนตัวบนราวฟ้าทำให้นางหยุดมอง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มองท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้ ชีวิตที่อยู่ในสถาบันและคร่ำเคร่งกับงานวิจัยทำให้นางไม่ได้แหงนหน้าชมความงามบนฟากฟ้ามาเนิ่นนาน   ตำหนักเย็นแห่งนี้นางจัดการทำความสะอาดและปรับปรุงที่ละเล็กละน้อย หิมะละลายแล้วเผยให้เห็นผืนดินที่พอเพาะปลูกพืชผักไว้เก็บกินได้ ต้นไม้ที่ยังรอดจากหิมะเริ่มแตกใบอ่อน โดยธรรมชาติอาจมีนกคาบเมล็ดพันธุ์มาทิ้งไว้  นางเพิ่งเห็นว่ามีต้นเหมยและหยางเหมยอยู่ด้านหลังใกล้กับบ่อน้ำ  เดิมทีที่นี่คงงดงามไม่น้อยแต่เพราะคนที่อยู่จิตใจหมองเศร้าจึงไร้การเหลียวแลกลายเป็นตำหนักเย็นที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง    แน่นอนว่านางไม่ต้องการใช้ชีวิตที่นี่ไปจนวันตาย แต่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกไปได้อย่างไร และสภาพร่างกายที่อ่อนแอเหลือเกินนี้ ทำให้นางต้องพยายามขุนตัวเองให้มีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อย แล้วค่อยหาทางออกจากที่นี่  ด้วยความรู้ที่นางมี นางไม่เชื่อว่าจะเอาตัวรอดในยุคโบราณนี้ไม่ได้

คล้ายสายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน หลินอวี่เหยาเพียงเอี้ยวตัวหันมองรอบกาย  ยังไม่ทันกะพริบตาฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งก็โอบมาปิดปากนางไว้แน่นไม่ให้ส่งเสียง แผ่นหลังปะทะกับร่างกายแข็งแกร่งดุจกำแพงหิน ทว่าไอร้อนจากกายทำให้หญิงสาวขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่ไอร้อนธรรมดา แต่เหมือนคนเป็นไข้สูงจนตัวร้อน  นางพยายามหันไปมองแต่ถูกปิดปากแน่นขึ้นและยังรั้งร่างนางหลบเร้นในเงามืด

“ถ้าไม่อยากตาย อย่าส่งเสียง”

ปิดปากแน่นขนาดนี้ จะร้องได้ยังไง!

ร่างเล็กพยายามดิ้นรนเพราะถูกกอดรัดจากบุรุษแปลกหน้านั้นยิ่งกลับทำให้วงแขนที่โอบรัดร่างนางแน่นขึ้น ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงคนตะโกนโหวกเหวก

“มีคนร้าย! มีคนร้าย!”

เสียงตะโกนเหล่านั้นใกล้เข้ามา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนหญิงสาวไม่ทันตั้งตัว ร่างของเธอก็ถูกบุรุษตัวโตพาเข้ามาในห้องของตนแล้ว การเคลื่อนไหวทุกอย่างรวดเร็วเงียบกริบ เทียนในห้องดับลงและตามด้วยร่างของนางที่ถูกเหวี่ยงลงที่นอน

โชคดีที่เตียงแข็งๆ มีฟูงหญ้าแห้งรองรับทำให้นางไม่เจ็บมากนัก ยังไม่ทันได้อ้าปากร้อง มือข้างนั้นก็ปิดปากนางไว้ หญิงสาวขึงตาใส่โต้ตอบด้วยแววตา นี่เขาจะฆ่านางด้วยการทำให้ขาดาอากาศหายใจหรืออย่างไรกัน

ร่างสูงใหญ่กำยำคร่อมร่างนางไว้ทั้งที่มือหนึ่งปิดปากนางอยู่ เขามองผ่านช่องหน้าต่างแม้ไม่เห็นด้านนอกชัดเจน แต่ประสาทหูอันฉับไวของคนฝึกยุทธ์ทำให้รู้ว่าคนกลุ่มหนึ่ง วิ่งมาหยุดที่ด้านนอก

“ค้นหาให้ทั่ว!”

เสียงผลักบานประตูใหญ่ทำให้หลินอวี่เหยาสะดุ้ง ทว่าร่างใหญ่กลับทรุดลงมาทับนางเสียก่อน ใบหน้าของเขาอยู่ที่ซอกคอขาวผ่อง ลมหายใจติดขัดและไอร้อนแผ่ซ่านออกมา  นางกลอกตามองเห็นเพียงเสี้ยวหน้าที่ข่มความเจ็บปวดและซีดขาวแทบไร้สีเลือด ทว่านางกลับได้กลิ่นเลือดจากกายของเขา

“เจ้าบาดเจ็บรึ”  นางถามแล้วพยายามดันเขาให้พลิกไปด้านข้าง เสียงคนวิ่งเข้ามาด้านในทำให้นางตัดสินใจผลักเขาไปด้านในเตียงแล้วดึงผ้าห่มเก่าๆ ขาดๆ มาคลุมร่างของเขาไว้ ปรับลมหายใจครู่หนึ่งเพื่อรอให้ประตูเรือนถูกเปิดออก หญิงสาวพลางนับในใจ... สาม... สอง... หนึ่ง ….

ปัง!

“ค้น!”

“กรี๊ดดดด”

ทหารกลุ่มหนึ่งที่พังประตูเข้ามาตกใจกับเสียงกรีดร้อง  คบไฟที่ยื่นมาทำให้เห็นหญิงสาวผมเผ้าหยุงเหยิง มีเศษหญ้าติดตามตัว นางนั่งบนเตียงแล้วเอียงคอไปมาราวกับนกเค้าแมว แรกทีเดียวสีหน้านางดูตกใจก่อนจะคลี่ยิ้มเซ่อซ่าออกมา

“ท่านกงกง ฮ่องเต้จะมาหาข้าแล้วใช่ไหม”  หญิงสาวพูดเสียงหวานสูง “ข้ารอฮ่องเต้มาหลายคืนแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็มาเสียที...ท่านกงกง ข้าสวยหรือไม่”

“หาดูให้ทั่ว”

นางทำเป็นจัดผมที่ยุ่งเหยิงของตน แล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้ นางหยิบก้อนหินกลมเกลี้ยงที่อยู่ข้างเตียงแล้วยื่นไปยัดใส่มือของทหารที่เข้ามา

“ทองก้อนนี้ ท่านเก็บไว้นะ หากวันข้างหน้าข้าได้ดีจะไม่ลืมพวกท่านเลย”

 “สติฟั่นเฟือนไปแล้ว” ทหารก้มมองก้อนหินในมือแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่มีอะไรแล้วไปค้นที่อื่นต่อ”

“ท่านกงกง อย่าลืมล่ะ ข้ารอฮ่องเต้อยู่ทุกค่ำคืน ขอเพียงได้ถวายงานสักครั้ง ข้าจะ...”

หลินอวี่เหยาชะเง้อมองจนมั่นใจว่าทุกคนไปหมดแล้ว คล้ายเสียงการเคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศไปทางอื่น นางถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วรีบปิดประตูหน้าตำหนัก มือเรียวยกชายกระโปรงรีบวิ่งกลับมาที่เตียงของตน นางยื่นมือไปดึงผ้าห่มออกมีดสั้นเล่มหนึ่งก็จ่อที่ลำคอของนาง

“พี่ชายใจเย็นก่อน” นางพูดแล้วปัดปลายมีดออกจากคอของราวกับเห็นมันเป็นเพียงไม้ไร้คม “อย่าเคลื่อนไหวตัวมาก พิษจะแล่นไปทั่วร่างแล้ว”

ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองนาง

“ข้ารู้ ท่านใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มียกมีดมาจ่อคอข้า แต่ท่านเก็บแรงไว้หายใจเถิด ให้ข้าดูบาดแผลของท่านก่อน” 

นางอาศัยจมูกได้กลิ่นเลือดคลำไปบนร่างของเขาแล้วตัดสินใจกระตุกสายรัดเอวของเขาออก ชายหนุ่มไร้แรงต่อต้านจึงได้นอนนิ่งกัดฟันแน่นปล่อยให้สตรีเปลื้องเสื้อท่อนบนออก

“เจอแผลแล้ว!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่17 ความหวาดกลัวที่กัดกินหัวใจ

    หลินอวี่เหยายุ่งกับการทำความสะอาดบ่อน้ำด้านหลังเรือน นางไม่มีปัญหากับการลงมือทำอะไรเองเช่นนี้ แต่ติดที่ร่างกายนี้พละกำลังยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นัก มื้อกลางวันนำอาหารที่เตรียมไว้ไปกินพร้อมกับสนมจื่อหนิง การผูกมิตรด้วยอาหารเป็นเรื่องพื้นฐานมาแต่ไหนแต่ไร นอกจากเรียนรู้มารยาทต่างๆแล้ว ยังได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย สะสมข้อมูลให้สมองน้อยๆ ของนางอีกด้วย “ข้าตากดอกมะลิไว้ แต่ยังไม่พร้อมเป็นชามะลิ อาจารย์รอข้าหน่อยนะเจ้าค่ะ” หลินอวี่เหยาประจบด้วยแววตาวิบวับ จื่อหนิงเห็นแล้วก็เอ็นดู ในวัยนี้ของสตรีคืองดงามบานสะพรั่งแต่ต้องมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ช่างน่าเสียดายนัก “มีต้นมะลิด้วยรึ” “เจ้าค่ะ มีกุหลาบด้วย แล้วด้านหลังเรือนของข้ามีบ่อน้ำ ข้าลงไปทำความสะอาดลอกบ่อแล้ว ไหว้วานให้จูซินช่วยหาบัวมาลงที่บ่อ” “เจ้าจะทำสระบัวรึ” หญิงสาวโบกมือไปมา “เรียกสระบัวไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ แต่ก็พอปลูกบัวได้ หากไปได้ดีข้าจะทำชาดีบัว -ดีบัวช่วยบำรุงหัวใจ นับว่าเป็นสมุนไพรที่ดี” “ข้าไม่เคยรู้ว่าสกุลหลินเชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร” หลินอวี่เหย

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่16 ข้าเป็นคนรับใช้เจ้ารึ

    จูซินกะพริบตาปริบๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้ากิ่งไม้แห้งๆ เอ่อ ไม่สิ นั้นเคยเป็นซากกล้วยไม้มาก่อน แต่ยามนี้กลับฟื้นมีชีวิตอีกครั้ง “เจ้านี่คือซากกล้วยไม้ที่ข้าเคยเอามาหรือ?” จูซินยังไม่อยากเชื่อนัก “ใช่” หลินอวี่เหยายกน้ำแกงหัวไชเท้าออกมาวางบนโต๊ะที่ตั้งอยู่หน้าเรือน ซึ่งหญิงสาวสถาปนาให้มันเป็นโต๊ะรับแขกเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปยุ่งย่ามด้านเรือน “นี่อะไร” “น้ำแกงหัวไชเท้า ไม่มีเนื้อสัตว์ก็กินผักไปก่อน” นางยิ้มทะเล้นแล้วนั่งลง “กินกับหมั่นโถวได้ชุ่มคอดี” ขันทีน้อยมองอาหารบนโต๊ะ นอกจากน้ำข้าวกับผักดองที่เขายกมาให้นางทุกวัน มาบัดนี้มีหมั่วโถวก้อนอวบๆ กับน้ำแกงเพิ่มขึ้น อาหารการกินมิได้เลิศรสหรูหราแต่นับว่าดีกว่าแต่ก่อนมากนัก “หัวผักที่เจ้าให้ข้าเก็บมาก็ปลูกขึ้นด้วยหรือนี่” จูซินนั่งกินอาหารกับหลินอวี่เหยาด้วยความคุ้นชินแล้ว “ข้าต้องไปแย่งอาหารหมูมาเลยทีเดียว” หญิงสาวหัวเราะเสียงใสแล้วปรายตามองไปรอบกาย ความเพียรพยายามไม่สูญเปล่า รอบๆ เรือนมีพืชผักที่เพาะปลูกไว้พอได้เก็บกินบ้างแล้ว ด้านหนึ่งมีแปลง

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่15 เลิกพูดเรื่องตายเสียทีเถิด

    “ท่านน้า กินแป้งย่างก่อนยังร้อนๆอยู่” หลินอวี่เหยาเปลี่ยนเรื่องแล้วหยิบแป้งย่างออกมาจากตะกร้า นางหันซ้ายหันขวาเห็นกาน้ำชาจึงเดินไปรินใส่ถ้วย ทว่ามันเป็นเพียงน้ำเปล่า “ข้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีน้ำชา ท่านน้าดื่มน้ำเย็นเช่นนี้หรือ?” นางรินน้ำแล้วประคองถ้วยน้ำกลับมาให้จื่อหนิง “ข้าจำไม่ได้แล้วว่าดื่มน้ำชาครั้งสุดท้ายเมื่อใดกัน” จื่อหนิงยิ้มบางเบา กลิ่นอาหารเย้ายวนทำให้นางยื่นมือไปหยิบแป้งย่างขึ้นมาบิเป็นคำเล็กๆ แล้วส่งเข้าปาก ค่อยๆ เคี้ยวและซึมซับรสชาติของอาหารแสนเรียบง่ายตรงหน้า แต่อยู่ในสถานที่นี้กลับกลายเป็นอาหารเลิศรส “พอกินได้ไหมเจ้าคะ” หลินอวี่เหยารู้ว่ารสมือของตนไม่ได้แย่นัก แต่ในโลกที่มีวัตถุดิบจำกัดนี้ ความมั่นใจจึงหดหายไปกว่าครึ่ง “ก็พอกินได้” จื่อหนิงพยักหน้ารับ แม้ตอนนี้ตกอับอยู่ตำหนักเย็นมานาน ตั้งแต่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจนมาถึงตอนนี้ แต่เมื่อรื้อฟื้นกิริยามารยาทขึ้นมาอีกครั้ง นางก็นั่งหลังเหยียดตรงและกินอาหารคำน้อยๆ แลดูเป็นหญิงสาวตระกูลสูงส่ง หลินอวี่เหยาเห็นแล้วก็อดจินตนาการไม่ได้ว่า จื่อหนิงในวัยสา

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่14  เครียดคือสิ่งใด

    “กล้วยไม้ใบเหลืองมีจุดดำ ใบแฉะ หรือเน่าที่ขอบใบ วิธีรักษาให้ตัดใบที่ติดเชื้อออกใช้ผงกำมะถันหรือน้ำปูนใสป้ายบริเวณที่ตัด กรรไกรที่ใช้ ใช้แล้วล้างเช็ดทำความสะอาดให้ดี เชื้อราติดที่คมกรรไกรได้ ช่วงนี้เปลี่ยนฤดูแล้ว เอากล้วยไม้ออกมาโดนแสงบ้าง กล้วยไม้ใบเหลือเพราะความเครียดก็มี” “เครียด? เครียดคือสิ่งใด” หลินอวี่เหยาหลุดปากไปแล้วก็นึกได้ว่าตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสถาบันวิจัยพันธุ์พืช นางกลอกตามองท้องฟ้าแต่เห็นแค่คานไม้เก่าคร่ำครึ หากคิดจะขึ้นไปแขวนคอก็เกรงว่าคานน่าจะหักลงมาก่อน “ข้าหมายถึงมีเรื่องวิตกกังวลมากเกินไป” “กล้วยไม้ก็มีเรื่องวิตกกังวลรึ” ซูจินทำหน้างุนงง “ข้าเห็นกล้วยไม้ของกุ้ยเฟยอยู่ดีมีสุขกว่าขันทีอย่างข้าเสียอีก” หญิงสาวยิ้มขำ นานวันเข้าขันทีน้อยก็เลิกวางตัวหยิ่งยโสใส่นาง หลินอวี่เหยาเข้าใจดี คนเราก็มักเป็นเช่นนี้เหยียบย่ำคนที่ต่ำกว่าเพื่อให้ตนเองรู้สึกสูงส่งขึ้น แต่ซูจินมีพื้นฐานจิตใจดีนางเองก็ไม่อยากเอาเปรียบความใจดีของเขา ทุกครั้งที่ไหว้วานสิ่งใด นางจะตอบแทนเขาเสมอ แม้เล็กน้อยก็หยิบยื่นให้ ครั้งก่อนฝากชุดผ้

  • โศลกเพลิงผลาญใจ    ตอนที่13 เยี่ยหรง 2

    “ท่านพ่อ ลูกกลับมาแล้วขอรับ” เยี่ยหรงประสานมือคารวะ แต่ท่านโหวมุมปากกระตุก คิดรึว่าเขาไม่รู้ว่าลูกชายกลับมาถึงเมืองหลวงหลายวันแล้ว แต่คิดไปว่าคงเหนื่อยล้าจากการปราบโจรและเดินทางกลับจึงคร้านจะใส่ใจ ทว่าผ่านมาหลายวันจนรู้ว่าเยี่ยหรงออกไปนอกจวน เขาจึงโมโหแทบควันออกหู รอให้มาหาไม่มา จึงต้องให้คนไปตามตัวเช่นนี้ เยี่ยเฟยฮุ่ยแต่งงานกับเย่าเฉิน เขามีภรรยาเดียวไม่รับอนุมีบุตรชายสามคน คือ เยี่ยเฉิงหลิงซึ่งจากไปในวัยแค่ยี่สิบ เยี่ยเฉิงอี้ และเยี่ยจิ่งอวี่ ทั้งสองเป็นทหารประจำชายแดนตะวันออกและตะวันตก แต่ทั้งสองแต่งภรรยามีทายาทตัวน้อย ทว่าเพราะประจำอยู่แดนไกล ภรรยาและลูกจึงอยู่เคียงข้างสามีที่นั้น ในเมืองหลวงนี้เยี่ยเฟยฮุ่ยกับเย่าเฉินอยู่กับสองคนปู่ย่า วาดหวังให้เยี่ยหรงบุตรชายคนเล็กแม้เป็นบุตรบุญธรรมแต่รักดุจลูกในไส้ได้แต่งงานกับสตรีที่คู่ควรเพื่อมีหลานให้ปู่ย่าได้อุ้มชู แรกทีเดียวก็อ้างเรื่องบ้านเมืองยังไม่สงบสุข แต่ตอนนี้หัวเมืองน้อยใหญ่ต่างเงียบสงบนานๆ จึงจะมีเรื่องให้ต้องยกทัพกันสักคราว แต่บุตรชายคนเล็กกลับยังไม่แต่งภรรยา แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่จะ

  • โศลกเพลิงผลาญใจ   ตอนที่12 เยี่ยหรง 1

    “บาดแผลนี้ผู้ใดรักษาท่านแม่ทัพรึ” ชายหนุ่มที่ถูกถามเพียงแค่ปรายตามองหมอทหารที่กำลังทำแผลที่อกซ้ายค่อนมาทางหัวไหล่ บนร่างกายกำยำมีรอยแผลนับไม่ถ้วน บาดแผลที่เคยเกือบคร่าชีวิตไปแล้วก็ทิ้งแผลเป็นไว้ให้ดูต่างหน้า ทว่าแผลนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่กลายเป็นแผลเรื้อรังมาแรมเดือน ซ้ำยังทำให้พิษไข้ขึ้นมาเสียเฉยๆ “ทำไมรึ” หานเหยียนคือทหารข้างกายแม่ทัพใหญ่ ปีนี้เขาอายุยี่สิบแต่เพราะรูปร่างสูงใหญ่และหน้าตาดุดันจึงเหมือนคนวัยสามสิบเข้าไปแล้ว ก่อนหน้าที่จะเป็นทหารนั้นเคยเป็นโจรภูเขาที่แม่ทัพเยี่ยหรงยกทัพปราบเมื่อราวเจ็ดปีก่อน เขาเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตในรังโจร แม่ทัพเยี่ยหรงให้ความเมตตารับอุปการะ และเมื่อถึงวัยเขาก็เข้าสู่กองทัพ ไต่เต้าจนเป็นนายกอง แม้ตำแหน่งไม่สูงแต่ได้รับใช้ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่ ผู้อื่นต่างพากันริษยาในวาสนานี้ หลูจิ่งเซวียน-เป็นหมอประจำค่ายทหารและรับใช้ขึ้นตรงกับแม่ทัพใหญ่ผู้ได้ฉายาว่าแม่ทัพใบ้ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นใบ้แต่เพราะพูดน้อยจนผู้อื่นเข้าใจคิดว่าเป็นใบ้ เขาส่งสายตาตำหนิไปทางหานเหยียนซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้คิดว่าแม่ทัพหนุ่มผู้องอาจเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status