“อ่อ... ฮะ”
คิระรับคีย์การ์ดมาถืออย่างงงๆ แล้วถ้าจู่ๆ เขาเปิดประตูเข้าไป คุณภามม์จะตกใจหรือไม่ เกิดคิดว่าเขาเป็นโจรขโมยขึ้นมาจะว่ายังไง
“แต่ลุงฮะ... ถ้าเกิดว่าเขาคิดว่าผมเป็น...”
“เอาน่า... ไม่เป็นไรหรอก” ตฤณพยักเพยิดให้ก่อนสำทับ “เอาไปเผื่อไว้ รอเจ้านายเซ็นเอกสารแล้วเอาลงมาให้ลุงเลยนะ งานรีบด่วน” ตฤณพูดจบก็รีบเดิมแกมวิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวฮะ! ลุง!” คิระร้องเรียกแต่ไม่ทันจึงได้แต่ก้มดูซองในมือแล้วบ่นพึมพำ “แล้วให้เอาไปให้เจ้านายที่ห้องไหนล่ะเนี่ย.”
คิระถอนหายใจหนักหน่วงก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์ วันนี้โรงแรมคนน้อยกว่าปกติเพราะเป็นวันทำงานกลางสัปดาห์ ในลิฟต์จึงมีแต่เขาที่จ้องหน้าซีดๆ ของตัวเองในกระจกลิฟต์เพียงลำพัง
เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์มาว่าเจ้านายของลุงเป็นคนเจ้าชู้ชนิดหาตัวจับยาก
จะเป็นคนน่ากลัวไหมนะ...
คิระได้แต่ครุ่นคิดถึงคนที่อยู่ชั้นยี่สิบ เขาลืมนึกไปว่าชั้นบนสุดของดีพบลูซีบาร์เป็นที่พำนักหลักของภามม์ พสวัฒน์ ที่ลุงตฤณเคยเล่าให้ฟัง แสดงว่าอาจจะเป็นที่พักสำหรับเจ้านายทั้งชั้นไม่มีคนนอก
งั้นคงไม่ยาก...
คิระครุ่นคิดพลางกดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นยี่สิบที่เป็นชั้นบนสุดของโรงแรม
เอาเถอะ...
คุณภามม์คงเป็นคนแก่ใจดีถึงได้อนุญาตให้เขาที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการร้องเพลงมาก่อน ได้ลองมาเทสเสียงเพื่อทำงานพิเศษแทนแจ่มจันทร์ที่ขอลาออกตามสามีไปอยู่ต่างประเทศได้
แต่คิระก็ไม่มั่นใจเลย...
เขาหวังว่าหากงานดี เงินดี ทิปเยอะ คงเก็บเงินได้สักก้อนจะได้ลงเรียนต่อให้จบๆ เสียที
แต่ทุกอย่างไม่ใช่แบบที่คิระคิดสักนิด!
เพราะทันทีที่ประตูเปิดออก แฟ้มเอกสารสีดำก็หล่นลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ คิระถึงกับตะลึงอกใจสั่นระรัวกับภาพที่ปรากฏตรงหน้ากลับเป็นภาพลีลาเริงรักของหญิงและชายภายใต้แสงไฟสลัวเผยให้เห็นเรือนร่างเกือบเปลือยเปล่า
แม้แสงส่องสว่างไม่มากแต่ก็แสดงให้เห็นว่าคนทั้งสองกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างดุเดือดเอาเป็นเอาตาย ทั้งสุ้มเสียงและลีลา ไม่สนแม้แต่เสียงเคาะประตูของคิระที่เคาะเรียกอยู่นานจนต้องถือวิสาสะเปิดเข้ามาเอง
ภาพที่เห็นตอนนี้ทำให้คิระถึงกับหน้าชา...
นี่น่ะเหรอ...
คุณภามม์…
เขาเหมือนคนหื่นกามมากกว่าจะเป็นคุณภามม์คนใจดีอย่างที่ลุงตฤณเคารพนักหนานั่นอีก...
นี่น่ะเหรอ คุณภามม์ ชายแก่ในจินตนาการของเขา...
คิระกลืนน้ำลายฝืดเฝือ เพราะภาพฉากเด็ดของคนที่ร่ำลือว่าเป็นเสือยิ้มยากอย่างเจ้านายของลุงตฤณ ที่แท้แล้วเขาน่าจะเป็นเสือผู้หญิงมากกว่าเสือยิ้มยากมากนักเพราะภาพที่เห็นยังคงติดตา
ขนาดกลางวันแสกๆ ก็ยังไม่เว้น...
คิระก้าวถอยหลังพยายามให้เสียงเงียบที่สุดเท่าที่จะเงียบได้ แต่ทว่าเสียงพูดคุยหรือต้องเรียกว่าเสียงแห่งความสุขของคนทั้งสองทำให้เขาอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ คิระแอบลอบมองทั้งสองอยู่หลังประตูอย่างเงียบๆ
“หยุดทำไมล่ะคะ ภามม์”
“คุณแน่ใจเหรอที่จะทำมัน”
“แน่ใจสิคะ” เธออ้อนวอนเสียงหวานแล้วโน้มคอชายหนุ่มลงมาจูบพลางเอ่ยเสียงกระเส่า “เร็วๆ สิคะ ภามม์ ลินีอยากเป็นของคุณอีกแล้วนะคะ”
“ทำไมอยากเป็นของผมอีก”
“ก็ลินีรักคุณ”
“โกหก” ภามม์เอ่ยเสียงเรียบ
แต่นั่นไม่ทำให้หญิงสาวยอมแพ้แต่อย่างใด เธอกระโจนเข้าจู่โจมระดมจูบภามม์อย่างลืมตาย ทำให้ชายหนุ่มเริ่มมีอารมณ์ร่วมนิดๆ จนได้
“เห็นไหมคะ ว่าคุณก็ชอบลินี” เธอว่าเท่านั้นก็ซบหน้าลงกับไหล่ภามม์เอาใจ “คุณยังไม่ต้องรักลินีตอนนี้ก็ได้ แต่แค่เรียกลินีมาหาบ่อยๆ เราจะได้แนบแน่นกันมากกว่านี้ไงคะ...”
“คิดว่าเป็นไปได้เหรอ”
“ยิ่งกว่าได้อีกค่ะ ภามม์ขา” เธอว่าพลางออดอ้อนเอาใจด้วยการลูบไล้ไปมากับหน้าอกแกร่งของภามม์ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจากการโอ้โลมของสาวเจนจัด
“งั้นเตรียมตัวให้ดีล่ะ” ภามม์ตัดบท
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายหนุ่มทำเสียงฟึดฟัดในลำคอก่อนจะผลักหญิงสาวลงนอนราบกับเตียงแล้วโน้มหน้าเข้าหา ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่ครู่
ไม่นานชายหนุ่มก็ผละออก...
“เอ๊ะ! หยุดทำไมอีกคะภามม์”
“โทษทีนะ... “
“อะไรนะคะ?”
“ผมไม่มีอารมณ์แล้ว”
“ห๊ะ! อะไรนะคะ”
“ผมบอกว่าไมมีอารมณ์ไง คุณออกไปได้แล้ว”
“โธ่ ภามม์คะ!”
“ไม่ต้องห่วงว่าไมได้เงินนะ’
“ลินีไม่ได้ต้องการเงินนะคะภามม์” หญิงสาวโวยลั่น
แต่ทว่า...
“ออกไปจากห้องผม... ชาลินี” ภามม์สั่งเสียงเด็ดขาด ไม่เพียงเสียง แต่สีหน้ายังดุดันต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
“ไม่นะ! ลินีไม่ยอม! คุณจะมาทิ้งให้ลินีค้างเติ่งอย่างนี้ไม่ได้นะคะ มาเถอะค่ะ มาต่อให้จบๆ ดีกว่า”
“พูดไม่รู้เรื่องสินะ” ภามม์บ่นพลางพ่นลมหายใจอึดอัด
หญิงสาวสวยเฉี่ยวเห็นท่าทีรำคาญของชายหนุ่มก็รับไม่ได้ เธอสะบัดหน้าพรืดไม่พอยังโน้มตัวเข้าใส่ร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่แม้จะเห็นเพียงเลือนรางท่ามกลางแสงสลัวของไฟนวลตรงระเบียงห้อง
ยามนั้นไม่รู้อะไรดลใจให้คิระยังคงจ้องทั้งสองไม่วางตา
ท่าทางของเจ้านายของลุง...
ลีลาเผ็ดร้อนเกินบรรยายนั่น...
ถ้าเป็นเขาล่ะ...
คิระสะบัดหน้าพรืดกับความคิดบ้าบอที่ก่อตัวขึ้นในหัว ตัวชาไปทั้งร่างเมื่อรู้ถึงความคิดบ้าๆ ที่กลั่นออกมาพร่างพรูอยู่ในหัว เขารีบผละออกจากประตูค่อยๆ ถอยหลังให้เสียงฝีเท้าเบาที่สุดเท่าที่จะเบาได้
แต่...
ข้าวต้มปลากระพงหอมกรุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองชามเริ่มจางไอร้อนลงแล้ว แต่คุณตรีก็ยังไม่ลงมาสักที ระหว่างรอผมจึงจัดแจงรินอเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลใส่แก้วเคลือบที่เป็นรูปผมกับเขาคู่กันไม่ใช่ผมหรอกนะที่จัดหามันแต่เป็นคุณตรีต่างหากที่มีมุมคิกขุชนิดหาตัวจับยาก คอยทำนั่นทำนี่ มีเซอร์ไพรส์ต่างๆ นานาให้เขาเหมือนคนเก็บกดเลย...หึหึ...แต่ผมชอบที่คุณตรีเอาใจใส่ ให้ความรัก ส่วนผมก็สรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา ไม่ว่าจะอาหาร เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ไม่ต้องลำบากเป็นหน้าที่ของสนธยาเช่นเคย ผมนั่งเช็คยอดวิวคลิปล่าสุดที่ลงในยูทูปไปพลางก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ตอนนี้ช่องยูทูปของผมมีคนติดตามกว่าสามแสนคน และคลิปที่เพิ่งลงล่าสุดก็มียอดวิวแค่ข้ามคืนเกือบหนึ่งแสน ผมได้แต่ปลาบปลื้มอยากจะอวดคุณตรีแทบบ้า แต่เขาก็ช้าเหลือใจจนผมต้องร้องเรียก“เสร็จรึยังฮะ” “เกือบแล้วที่รัก” หูยยยย...คำก็ที่รัก สองคำก็ที่รัก เขากำลังทำให้ผมสำลักความรักจากเขาจนเคยตัวแล้ว “เร็วๆ สิฮะ เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะ” “กำลังจะลงแล้วที่รัก” แหม...เขาเรียกผมว่าที่รักตล
เราสองคนสบตากันโดยไม่มีคำพูด ริมฝีปากเราแนบชิดส่งต่อความหวานอบอุ่นผ่านความคิดถึงที่แทบล้นออกมาจากอก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงไม่ต่างจากผม เราสองคนส่งต่อความคิดถึงผ่านรสจูบลึกล้ำเนิ่นนานกว่าที่คีตาจะผละลุกนั่งหายใจหายคอไม่ทันดวงหน้าคีตาแดงก่ำ ทรงผมยุ่งเหยิง ริมฝีปากวาววับจนผมอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่ผมต้องยั้งใจแล้วผุดลุกนั่งตรงข้ามกับเขาบนโชฟาเดียวกัน“คุณตรีหื่น” เขาตัดพ้อผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็ใครกันแน่ที่หื่น จู่ๆ ผมเองต่างหากที่โดนจูบไม่ใช่เขา“นายแหละหื่น” ผมหยอกไม่พอเอื้อมมือทั้งสองไปลูบผมของเขา จัดทรงให้เรียบร้อยคีตาจับมือทั้งสองของผมมาแนบแก้ม มือของเขาอบอุ่นมากจนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“มาถึงก็อ้อนกันขนาดนี้ ทำอะไรผิดกับฉันรึเปล่าคี” ผมถามหยั่งเชิง คีตามุ่นคิ้วหรี่ตามองผมพลางส่ายหน้าเบาๆ“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“แต่นายมาไม่บอก”“ก็ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์”เขาบอกแค่นั้นก็ผละไปที่หน้าประตู ผมมองตามคีตาที่รื้อกระเป๋าเดินทางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกสงสัยจึงลุกตามไปดูใกล้ๆ เขาเงยหน้ามองแล้วยิ้มกว้างก่อนจะยื่นซองสีขาวขนาดเท่าเอสี่ส่งให้“นี่ฮะ”“อะไร”ผมรับมาแต่ยังไม่
ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.