“เจ้าคิว!”
เด็กหนุ่มผมยาวเคลียไหล่สีน้ำตาลไหม้หันกลับมาตามเสียงเรียกทันทีที่เจ้าของเสียงเดินตรงเข้ามาหาอย่างเร่งรีบพร้อมซองเอกสารในมือ
คิระลุกขึ้นยืนเผยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบให้กับผู้เป็นลุงทันที
“ฮะ ลุงตฤณ”
“เป็นไงเรา ตกลงทำได้ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้าทันควันอย่างรู้ความนัยที่ผู้เป็นลุงส่งมา รีบตอบรับทันที “ผมเทสเสียงผ่านแล้วพรุ่งนี้พี่ริยาให้มาลองร้องแทนพี่แจมวันแรกฮะ”
“เก่งมาก กลับไปเห็นทีต้องฉลองหน่อยนะ”
“เพราะได้ลุงช่วยแหละฮะ” คิระตอบเสียงอ่อย
เด็กหนุ่มยังคงถ่อมตัวเช่นเคย เขารู้ว่าลุงตฤณเป็นผู้มีบุญคุณล้นฟ้าแค่ไหน ทำให้ลุงยินดีได้ เขาก็พอใจ
“ไม่เสียแรงจริงๆ ที่ปลุกปั้นกันมา ตั้งใจนะเจ้าคิว”
“ฮะลุง”
ผู้เป็นลุงพยักหน้ายินดี ขณะที่ยังลูบหัวคิระอยู่ จนกระทั่งเสียงรองเท้าส้นแหลมที่ดังใกล้มาเรื่อยๆ ทำให้ตฤณชะงักปล่อยมือ
“อ้าว ริยามาแล้วเหรอ”
”ค่ะ มาช้าแต่มานะคะ” เธอว่าพลางเดินยิ้มเผล่เข้ามา
คิระจ้องสาวสวยไม่วางตา เพราะริยาเป็นสาวทรงเสน่ห์ที่ดูภายนอกสดใสเซ็กซี่ แต่เธอเป็นคนเข้มงวดเด็ดขาดพอตัว ไม่อย่างนั้นคงเป็นคนสนิทของคุณภามม์เช่นเดียวกับลุงตฤณไม่ได้ คิระได้แต่ฟังทั้งสองคุยกันด้วยความสนใจ
“คิระน่ารักจริงๆ อย่างที่พี่บอก สงสัยบ้านนี้ยีนส์ดีกันทุกคน”
“หึ... ก็มีบ้างล่ะ” ตฤณตอบกลับยิ้มๆ
“เสียดายพี่มลไม่มา ไม่งั้นคงได้นั่งลุ้นน้องตอนเทสต์เสียงด้วยกันแน่ๆ เด็กอะไรหน้าตาก็น่ารัก เสียงงี้ใสกิ๊งยิ่งกว่าแก้วเสียอีก ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนมาถึงเพิ่งโผล่มาให้เจอตอนนี้”
“ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกครับพี่ริยา”
“แหม ถ่อมตัวตลอดเลยน้องคิว” ริยาพูดไม่พอหยิกแขนเด็กหนุ่มเบาๆ สัพยอกก่อนจะหันไปกระซิบกับตฤณ “มิน่า... เจ้านายรีเควสคนนี้นะพี่”
ตฤณพยักหน้ารับยินดีแต่ก็ยิ้มไม่ค่อยเต็มหน้าเท่าไหร่เพราะคำว่าเจ้านายรีเควสนี่ล่ะ
คิระได้แต่ลูบท้ายทอยแก้เขิน เขาไม่คิดว่าตัวเองร้องเพลงเก่งเพียงแต่ร้องได้และต้องอาศัยฝึกฝนกับโอ่งอ่างกะละมังที่บ้านอยู่เสมอ เพราะตั้งแต่ประสบอุบัติเหตุชนแล้วหนีเมื่อสามปีก่อน คิระก็ใช้เวลาหมดไปกับการรักษาตัวและต้องดรอปเรียนมหาวิทยาลัยปีสองไว้กลางคัน
เขาไม่อยากเป็นภาระให้ลุงกับป้า จึงต้องเจียมตัวและไม่กล้าร้องขอต่อผู้มีพระคุณที่รับอุปการะเขามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ลุงตฤณก็ยังคงสนับสนุนเขาอยู่เสมอ ด้วยการแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนที่มีสตูดิโออัดเสียงอยู่ใกล้ๆ จนกระทั่งดาราวดีไปเจอและเห็นแววจึงได้ให้มาลองเทสต์เสียงดู
คิระมีความสุขที่ทำสำเร็จ แม้จะแค่บันไดขั้นแรก เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่ยังชุบชูใจในวันเหนื่อยล้าให้กับคิระได้
“ขอบคุณริยาด้วยนะที่เชื่อใจ” ตฤณเอ่ยยิ้มแย้มแล้วหันมาทางหลานชายที่ยืนข้างกัน “ส่วนเราก็เก่งมาก ต่อไปต้องได้เป็นนักร้องประจำดีพบลูซีแน่ๆ เลยคิว”
“ขอบคุณฮะลุง” คิระเอ่ยจบก็พนมมือไหว้ลุงตฤณก่อนแล้วหันมาไหว้หญิงสาวต่อ “ขอบคุณมากนะฮะพี่ริยา”
ริยาคว้ามือคิระมาจับแทนการรับไหว้ ทำให้เด็กหนุ่มออกอาการชะงักชั่วครู่ “จ้า... ไม่เป็นไร ช่วยได้ช่วยกันไปเนอะ เอาไว้ค่อยคุยกัน พี่ไปก่อนต้องไปดูแลคิวต่อไปอีก”
“พรุ่งนี้ก็ฝากคุณริยาดูแลหลานด้วยนะ เผื่อผมยุ่งๆ ไม่มีเวลาให้แก ได้ข่าวว่าเจ้านายจะบินด่วนไปภูเก็ตด้วย ผมอาจจะต้องตามเจ้านาย”
“จะไปอีกแล้วเหรอคะพี่” ริยาพูดจบก็ย่นคออย่างนึกขยาด
“ก็ถ้านายไป พี่ก็ต้องไปล่ะ”
“โรงแรมมีปัญหาอีกเหรอ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ” ตฤณแบ่งรับแบ่งสู้
“งั้นขอให้โชคดีนะ” ริยาจีบปากจีบคอไม่พอยังทำหน้าขยาดเมื่อพูดถึงคุณภามม์
คิระฟังทั้งสองคนคุยกันแล้ว ได้แต่ครุ่นคิดถึงผู้เป็นนายและเป็นเจ้าของดีพบลูซีบาร์แห่งนี้ที่เขาหมายมั่นจะมาทำงาน เจ้านายของลุงตฤณคงเป็นคนเนี๊ยบ หรือไม่ก็เคร่งครัดกฎระเบียบมากๆ เพราะที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเขามาบ้าง เขาก็ยังรู้สึกว่าคุณภามม์เป็นคนน่าเกรงขาม ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าแต่คิระคิดว่าคนคนนี้คงเป็นชายสูงวัยแล้วแน่ๆ ถึงได้มีธุรกิจคลับบาร์ในกรุงเทพและตามเกาะท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง
ถึงแม้คิระจะกลัวเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์เรื่องธุรกิจสีเทาของเจ้านายลุง แต่ก็อยากได้งานเพราะต้องการรายได้มาจุนเจือครอบครัว
ทั้งสามไม่ทันเจรจาพาทีต่อ เด็กเสิร์ฟหนุ่มก็เดินแกมวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“พี่ริยา ผู้จัดการ!”
“มีอะไร” ดาราวดีถามหน้าตื่น
“ทางโน้นครับ! ทางโน้น!”
“ทางไหน” คราวนี้เป็นตฤณถามเสียงเข้ม “ค่อยๆ พูดสิ”
เด็กเสิร์ฟหนุ่มเริ่มหายอาการตื่นตระหนกรีบละล่ำละลักบอก “มีแขกทะเลาะกันตรงโน้นวางมวยกันใหญ่แล้วครับ”
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“แย่งผู้หญิงกันครับ คนนึงเมา คนนึงกร่าง ก็เลยปะทะคารมกันตอนนี้เริ่มลามมาตีกันแล้วครับ”
“ว้าย! ทำไมไม่รีบบอก ตีกันเลยเหรอ ตายแล้ว เจ้านายรู้มีหวัง!” ริยาร้องลั่นก่อนจะวิ่งนำไป
สองลุงหลานมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนที่ตฤณจะตั้งตัวได้ยื่นแฟ้มเอกสารให้หลานชายแล้วสั่งการทันที
“เจ้าคิว ช่วยอะไรลุงหน่อยสิ”
“ฮะ ให้ผมทำอะไรเหรอฮะ ลุง” เด็กหนุ่มถามอย่างกระตือรือร้น
“เอาแฟ้มนี้ขึ้นไปให้เจ้านายที่ชั้นยี่สิบแทนลุงหน่อย”
“ได้ฮะ”
“เออ เอ้านี่”
“ต้องเอาคีย์การ์ดไปด้วยเหรอฮะ”
“อือ เผื่อเจ้านายหลับอยู่ แกเป็นคนหลับลึก”
ข้าวต้มปลากระพงหอมกรุ่นที่ตั้งอยู่บนโต๊ะอาหารทั้งสองชามเริ่มจางไอร้อนลงแล้ว แต่คุณตรีก็ยังไม่ลงมาสักที ระหว่างรอผมจึงจัดแจงรินอเมริกาโน่ร้อนไม่ใส่น้ำตาลใส่แก้วเคลือบที่เป็นรูปผมกับเขาคู่กันไม่ใช่ผมหรอกนะที่จัดหามันแต่เป็นคุณตรีต่างหากที่มีมุมคิกขุชนิดหาตัวจับยาก คอยทำนั่นทำนี่ มีเซอร์ไพรส์ต่างๆ นานาให้เขาเหมือนคนเก็บกดเลย...หึหึ...แต่ผมชอบที่คุณตรีเอาใจใส่ ให้ความรัก ส่วนผมก็สรรหาสิ่งดีๆ ให้เขา ไม่ว่าจะอาหาร เสื้อผ้า ของใช้จำเป็น ไม่ต้องลำบากเป็นหน้าที่ของสนธยาเช่นเคย ผมนั่งเช็คยอดวิวคลิปล่าสุดที่ลงในยูทูปไปพลางก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ตอนนี้ช่องยูทูปของผมมีคนติดตามกว่าสามแสนคน และคลิปที่เพิ่งลงล่าสุดก็มียอดวิวแค่ข้ามคืนเกือบหนึ่งแสน ผมได้แต่ปลาบปลื้มอยากจะอวดคุณตรีแทบบ้า แต่เขาก็ช้าเหลือใจจนผมต้องร้องเรียก“เสร็จรึยังฮะ” “เกือบแล้วที่รัก” หูยยยย...คำก็ที่รัก สองคำก็ที่รัก เขากำลังทำให้ผมสำลักความรักจากเขาจนเคยตัวแล้ว “เร็วๆ สิฮะ เดี๋ยวข้าวต้มเย็นหมดนะ” “กำลังจะลงแล้วที่รัก” แหม...เขาเรียกผมว่าที่รักตล
เราสองคนสบตากันโดยไม่มีคำพูด ริมฝีปากเราแนบชิดส่งต่อความหวานอบอุ่นผ่านความคิดถึงที่แทบล้นออกมาจากอก เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงไม่ต่างจากผม เราสองคนส่งต่อความคิดถึงผ่านรสจูบลึกล้ำเนิ่นนานกว่าที่คีตาจะผละลุกนั่งหายใจหายคอไม่ทันดวงหน้าคีตาแดงก่ำ ทรงผมยุ่งเหยิง ริมฝีปากวาววับจนผมอยากจะกลืนกินเขาไปทั้งตัว แต่ผมต้องยั้งใจแล้วผุดลุกนั่งตรงข้ามกับเขาบนโชฟาเดียวกัน“คุณตรีหื่น” เขาตัดพ้อผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก็ใครกันแน่ที่หื่น จู่ๆ ผมเองต่างหากที่โดนจูบไม่ใช่เขา“นายแหละหื่น” ผมหยอกไม่พอเอื้อมมือทั้งสองไปลูบผมของเขา จัดทรงให้เรียบร้อยคีตาจับมือทั้งสองของผมมาแนบแก้ม มือของเขาอบอุ่นมากจนผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู“มาถึงก็อ้อนกันขนาดนี้ ทำอะไรผิดกับฉันรึเปล่าคี” ผมถามหยั่งเชิง คีตามุ่นคิ้วหรี่ตามองผมพลางส่ายหน้าเบาๆ“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”“แต่นายมาไม่บอก”“ก็ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์”เขาบอกแค่นั้นก็ผละไปที่หน้าประตู ผมมองตามคีตาที่รื้อกระเป๋าเดินทางอย่างกระตือรือร้น ก็นึกสงสัยจึงลุกตามไปดูใกล้ๆ เขาเงยหน้ามองแล้วยิ้มกว้างก่อนจะยื่นซองสีขาวขนาดเท่าเอสี่ส่งให้“นี่ฮะ”“อะไร”ผมรับมาแต่ยังไม่
ผมผุดลุกนั่งอย่างช้าๆ หย่อนเท้าลงบนพื้นเย็นเฉียบ รวบรวมแรงทั้งหมดที่มีเดินไปเปิดม่านหน้าต่างริมระเบียงที่มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนได้อย่างชัดเจนที่สุดที่ร้านอาหารฝั่งโน้นคงมีงานถึงเปิดไฟสีสันสว่างไสว ผมเพ่งมองไปในความมืดของแม่น้ำเจ้าพระยาเชี่ยวกราก เห็นเรือหรูแล่นผ่านไปมา ผู้คนบนเรือนั้นคงมีความสุข สนุกสนานเนื่องจากใกล้เทศกาลปีใหม่ผมก็อยากให้ปีใหม่ปีนี้มีคีตาอยู่เคียงข้าง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยากหลังจากที่เราทะเลาะกันวันนั้น“ผมคิดถึงคุณจัง”วันนั้นผมยิ้มออกหลังได้ยินคำหวานโปรยมา ครั้งนี้เขาไม่ให้ผมเห็นหน้าบอกไม่สะดวกคุยวิดีโอคอลด้วยทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยปฏิเสธเลยสักครั้งผมตะหงิดในใจแต่ก็ถามเขาไปด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ที่ไม่คิดกดดัน “จะกลับวันไหนจะได้ไปรอรับ”“เอ่อ... ผมยังติดธุระอยู่เลยฮะ” เขาตอบ“ทันปีใหม่ไหม”“ไม่แน่ใจฮะ”ผมอึ้งไป นี่ผมต่อเวลาให้คีตาจากสองเป็นสี่ปีแล้วนะ เพราะเห็นแก่ที่เขาสอบติดมหาวิทยาลัยในสาขาเปียโนที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตอนนั้นเราทะเลาะกันครั้งหนึ่งเรื่องที่คีตาขอเรียนปริญญาตรีให้จบ ผมก็ยอมเพราะเห็นแก่ความมานะพยายาม“ไหนว่าเรียนจบแล้วจะร
ผมหัวเราะออกเพราะเขาดูงอนๆ หน้าก็บึ้งตึงไม่น่ารักเหมือนเคย ผมอาศัยทีเผลอพลิกตัวขึ้นคร่อมเขาแล้วระดมจูบดวงหน้าของเขาไปทั่วอย่างหนักหน่วงเอาใจ คุณตรีกอดผมแน่นโยกตัวไปมาราวกับว่าเรากำลังเต้นรำทั้งที่นอนอยู่บนเตียงด้วยกัน “โอ๋ๆ อย่างอนนะฮะบอสที่รักของผม” “คีรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงรักคี” “ไม่รู้สิฮะ คงเพราะผมดื้อมั้ง” ผมเย้า เขายีผมของผมทันทีจนผมเบี่ยงตัวหนีแต่ไม่พ้น เขาจั๊กจี้ผมที่สีข้างจนผมที่บ้าจี้อยู่แล้วถึงกับร้องลั่น แต่เขาก็ยังไม่นำพาจนผมต้องยอมแพ้ “ก็ได้ๆ ผมอยากรู้ฮะ” ผมตอบตามที่คิดจริงๆ ผมอยากรู้ว่าระหว่างเรามันคือเรื่องบังเอิญหรือโชคชะตา “เพราะคีเข้ามาในเวลาที่ใช่ หากเป็นก่อนหน้านั้นฉันคงไม่เปิดใจ คีทำให้ฉันรู้ว่าความรักไม่จำกัดนิยามเป็นยังไง” “หมายถึงว่าไม่มีนิยามหญิงชายอะไรงี้เหรอฮะ” “อืม...แล้วก็ต้องขอบคุณพ่อฉันกับปู่คีด้วยที่เจ้ากี้เจ้าการจับคีให้ฉัน” “ตากับปู่เปล่าจับผมให้คุณซะหน่อย คุณน่ะโมเม”“นั่นสินะ ไม่โมเมจะได้คีเป็นเมียเหรอ”“ชิ คุณน่ะ แถไปเรื่อย”“แถแล้วรักไหม”“รักมาก”“ถ้ารั
“ทำไมมั่นใจในตัวฉัน” เขาถาม น้ำเสียงดูไม่มั่นใจ ไม่รู้คุณตรีกลายเป็นคนคิดเยอะตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ผมคิดว่าผมรู้ใจเขามากพอจะรู้ว่าเขาต้องยอมเพราะผมรู้จักคุณดีพอ” ผมตอบพลางยิ้มหวาน ไม่รู้ว่าเป็นยิ้มที่หวานสุดชีวิตได้หรือยัง ผมตื้นตันใจมากที่เขาคิดถึงอนาคตของผม แต่ผมก็อยากจะเป็นคนที่คู่ควรกับเขา ผมอยากเอารางวัลมาฝากบอสบนเตียงของผม...“แต่ถ้ากลับมาคนเดียวฉันต้องเหงาแน่เลย นายทิ้งฉันลงเหรอคี” “ผมจะทิ้งคุณได้ไงฮะ คุณเป็นสามีผมนะ” “แต่ก็ยังจะไปตั้งสองปี...” “แค่สองปีเอง คุณรอผมไมได้เหรอฮะ” ผมย้อนถาม ไม่ได้อยากได้คำตอบจริงจังหรอกเพราะผมรู้ว่าเวลาสองปีนานพอที่จะทำให้อะไรต่อมิอะไรสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ โดยเฉพาะคนอย่างคุณตรีที่มีดีกรีความเหงาเป็นที่หนึ่งเขาอาจจะเหงา เปลี่ยนไป และบางทีอาจมีคนใหม่ ถ้าเขาเปลี่ยนไป ผมก็จะได้ทำใจยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่คู่กันถึงผมจะไม่อยากให้วันนั้นมาถึงก็ตาม“ฉันไม่อยากให้คีไปเลย กลัวใจหมอนั่นจะทำคีไขว้เขว” “หมายถึงพี่จุลเหรอฮะ”“หมอนั่นแหละจะใครซะอีกล่ะ”คุณตรีค้อนผมขวับใหญ่ ผมกอดเขา จูบแก้มฟอดใหญ่“คุณ
“คีของฉัน... น่ารักใช่ไหมล่ะ”“แหม ของฉันเลยนะตรี” พิมมี่หยอก “แต่น่ารักจริงไม่อิงนิยาย คีน่ารักมากเลยจ้ะ”“แน่อยู่แล้ว นอกจากคีจะเป็นครูสอนนาราแล้วยังเป็นภรรยาผมด้วย” “คุณตรี! พูดอะไรอย่างนั้นฮะ!” “ก็มันจริง” เขาตอบ ผมอายแทบแทรกแผ่นดินหนี แต่ก็หยิกต้นแขนเขาไปที “คุณพิมอย่าไปฟังคนเพ้อเจ้อนะฮะ” ผมแก้เก้อ “พิมเห็นด้วย” เธอว่าเท่านั้นแต่ทำให้คุณตรียืดเลย “ก็มันจริงนี่ ใช่ไหมนารา” คุณตรีโยนคำถามไปให้น้องนาราทันที ทำให้ผมพูดไม่ออก ลำพังคุณตรีผมย้อนไม่ยั้งแน่ แต่กับน้องนาราที่น่ารักและผมก็รักเอ็นดูเธอ คำน้อยก็ไม่อยากให้ระคายใจ ไหนจะพิมมี่ที่ไม่ได้สนิทกันด้วย ผมได้แต่อ้ำอึ้ง... พิมมี่กับนาราหัวเราะคิกคักให้กันแล้วเป็นนาราที่พูดเสียงอ่อย “เห็นไหมคุณแม่ นาราบอกแล้วว่าพี่คีเป็นแฟนคุณพ่อจริงๆ” “โซ พริตตี้ ยูเวรี่ไนซ์” พิมมี่ชมไม่หยุด “ขอบคุณที่ดูแลลูกสาวให้ฉันค่ะ” “ลูกสาว? คุณหมายถึงน้องนาราน่ะเหรอฮะ” “ใช่จ้ะ” “เธอไม่ใช่... เอ่อ.