ผู้บริจาคเลือด
พรึ่บ
แสงไฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดับลงพร้อมกัน ส่งผลให้ห้องทั้งห้องมืดสนิทลงในทันใด มีเพียงแสงไฟจากหน้าจอโทรศัพท์เท่านั้นที่ยังสว่างไสวอยู่
ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีก็มีเหตุการณ์ไฟตกอยู่เช่นกัน แต่เพียงครู่เดียวไฟก็ติดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เจ้าของห้องเปิดประตูออกไปชะเง้อมองดูข้างนอก ก่อนจะพบว่าโถงทางเดินและอาคารอื่นก็ไฟดับเหมือนกัน
ปกติแล้วทางตึกมีระบบไฟสำรองให้ตลอด ที่ไฟดับนานขนาดนี้แสดงว่ารอบเมื่อกี้เป็นการใช้ไฟสำรองจนหมดเรียบร้อยแล้ว
ดูเหมือนว่าจะมีการดับไฟเพื่อปรับปรุงระบบหรือซ่อมแซมอะไรสักอย่าง แต่เขาดันไม่เห็นประกาศนี่สิ
Exam is coming: บ้านพวกนายไฟดับปะวะ
×เอ็กซ์×: เออ ดับ แต่เขาก็แจ้งนานแล้วนะ
Exam is coming: อ้าวเหรอ ดับถึงกี่โมงวะ
×เอ็กซ์×: ถึงเช้าโน่นแหละ นอนไม่ลงว่ะ ร้อน
49ก็มีหัวใจ: วอร์ปะล่ะ
ลางานหนึ่งวัน งดทัก: +1
ปอนด์แฟนมิ้งค์: +++
Exam is coming: ขอผ่านว่ะ ไม่มีอารมณ์
กลุ่มแชทที่ข้อสอบพิมพ์ถามลงไปคือกลุ่มของเพื่อนสมัยปริญญาตรี ที่ยังติดต่อกันอยู่ก็เพราะคอยชวนกันเล่นเกมบ้างเป็นบางครั้งนี่แหละ เกมที่เล่นกันก็มีอยู่เกมเดียวคือเกมแนว MOBA จับทีมต่อสู้ยิงป้อมแบบห้าต่อห้า
ถึงแม้จะไม่ได้พูดคุยกันมากนักตามประสาผู้ชาย แต่ก็คอยแชร์คลิปตลกๆ ให้กันอยู่เสมอ เวลามีใครเดือดร้อนอะไรก็พร้อมช่วยกันตลอด
เป็นเพราะเพื่อนกลุ่มนี้ที่คอยสนับสนุน ทำให้ข้อสอบก้าวผ่านความกดดันในการเรียนและงานวิจัยมาได้ จนเขาประสบความสำเร็จและมีทุกวันนี้
หากไม่ได้คนรอบกายที่ดีกับเขามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน เจ้านายสมัยทำงานพาร์ทไทม์ และเพื่อนร่วมชั้นเรียน เด็กกำพร้าธรรมดาๆ ไร้ซึ่งตระกูลสนับสนุน คงจะเดินทางมาไม่ถึงจุดนี้ และอาจจะล้ม พังทลายลงได้ทุกเมื่อ
เขานับว่าโชคดีกว่าใครหลายๆ คนที่ไม่มีโอกาสแบบเขา
บางทีเขายังคิดอยู่บ่อยๆ ว่าตัวเองมีดวงผู้ใหญ่อุปถัมภ์ด้วยซ้ำ
อากาศภายในห้องเริ่มร้อนขึ้นเพราะไม่มีความเย็นของเครื่องปรับอากาศคอยช่วยเหลือ จนชายหนุ่มต้องเดินไปเปิดหน้าต่างและประตูระเบียงทิ้งไว้ให้ลมพัดเข้ามา
ทว่ากลิ่นหอมที่โชยมากับสายลมช่างดึงดูดซะจนคนที่ไม่สามารถรับรู้กลิ่นอาหารได้มาหลายวันแทบจะน้ำลายไหล
มันหอมยิ่งกว่าอาหารที่เคยได้กลิ่นมาทั้งชีวิต
เมื่อมาถึงจุดที่น้ำลายหยดออกมาเพราะห้ามไว้ไม่อยู่ ข้อสอบก็ตัดสินใจปีนระเบียงลงไปจากชั้นสองเพื่อตามกลิ่นเย้ายวนนั่นไป
หวังว่าจะเป็นกลิ่นของอาหารนะ เขากินข้าวไม่ลงมาตั้งสามวันแล้ว จนตอนนี้สมองเริ่มเบลอไปหมด ทำงานก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ได้แต่สั่งอาหารเสริมมากระเดือกประทังชีวิต
เขากระโดดลงมายืนที่พื้นดินอย่างง่ายดายด้วยพละกำลังที่มากขึ้น ก่อนจะทำจมูกฟุดฟิดเพื่อตามหากลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ยังคงโชยมาไม่หยุด
จะให้อธิบายยังไงดีล่ะ ความคิดแรกหลังจากได้กลิ่นคือความหอมของขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ แต่พอดมไปสักพักก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นอันกลมกล่อมของอาหารจานเนื้อที่เพิ่งปรุงเสร็จ
ยิ่งเดินจนแทบจะวิ่งตามไป กลิ่นก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น จนท้องร้องโครกครากประท้วงลั่นท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
เดินเข้าไปยังสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของเขตซีซ่า ก็เริ่มมีกลิ่นอื่นมาปะปน
เป็นกลิ่นเลือด...
และข้อสอบก็ได้พบกับต้นตอของกลิ่นนั้น
“เหี้ยยย”
ใช่ เหี้ยจริงๆ
เจ้าตัวเงินตัวทองขนาดใหญ่เกินครึ่งหนึ่งของตัวเขานอนนิ่งสนิทอยู่บนพื้นหญ้า รอยแผลเหวอะหวะจนเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด บ่งบอกถึงความสดใหม่ของการตาย
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะได้กลิ่นเลือดสัตว์ แถมยังค่อนข้างหอมอีกด้วย แต่ถึงยังไงก็สู้กลิ่นที่เขาตามหาไม่ได้อยู่ดี
ข้อสอบตัดความสงสัยว่าทำไมกลิ่นเลือดสัตว์จึงหอมออก ก่อนจะเดินตามกลิ่นเดิมไปต่ออีกเพียงห้านาที ชายหนุ่มก็มาถึงบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ค่อนข้างจะหนาแน่น สมองที่ควรคิดสงสัยเรื่องทำไมอาหารถึงมาอยู่ในป่าได้กลับไม่ฟังก์ชันเท่าที่ควร
สุดท้ายเขาก็มาหยุดอยู่หลังต้นไม้ ชะเง้อมองไปยังที่มาของกลิ่น
กลิ่นแผ่ออกมารอบร่างกายสูงใหญ่ของอัลฟ่าตนนั้นไม่ผิดแน่
อัลฟ่าคนใหญ่คนโตที่เขาเห็นเมื่อไม่กี่วันก่อน
ถึงแม้จะเป็นคืนเดือนมืด แต่ข้อสอบสามารถมองเห็นสีหน้าเรียบเฉยของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน ผู้ชายคนนั้นนิ่งอยู่กับที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผ่านไปสองนาที เขาถึงจะขยับขาก้าวเดิน พาร่างของตนไปตามเส้นทางออกจากสวนสาธารณะแห่งนี้
กลิ่นที่เบาบางลงตามระยะห่างที่มากขึ้น ทำให้ข้อสอบยิ่งมั่นใจ
ขณะที่คิดไม่ตกว่าควรทำอะไรต่อ นัยน์ตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว ร่างกายขยับไปตามความปรารถนาส่วนลึกในจิตใจโดยไร้ซึ่งเหตุผล พุ่งไปยังเจ้าของกลิ่นหอมนั้น
เห็นร่างใหญ่ผงะถอยหลังตั้งท่าต่อสู้ ข้อสอบก็แอบตกใจเช่นกัน
โดยไม่ต้องคิดว่าจะทำยังไงต่อ เหมือนมีพลังบางอย่างส่งผลให้ดวงตาสีแดงที่สบเข้ากับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มนั้นสามารถสะกดอีกฝ่ายให้หยุดนิ่งได้
ตอนนี้ตาที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนในที่มืดโฟกัสไปยังลำคอที่มีเส้นเลือดกำลังเต้นตุบๆ อยู่ เหมือนรู้ว่าหากเขาฉีกกระชากสิ่งนั้นออก ก็จะพบกับที่มาของกลิ่นอันชวนฝัน
ถึงแม้เขาจะรับรู้และจดจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ แต่ข้อสอบก็ไม่อาจห้ามสัญชาตญาณที่ชักนำร่างของตน
ริมฝีปากร้อนแตะลงบนคอหนาเพียงผิวเผิน ก่อนจะส่งเขี้ยวเล็กๆ หากแต่แหลมคมทั้งสองซี่กัดทะลุไปจนเจอกับเลือดชั้นดีที่ค่อยๆ ไหลทะลักเข้าสู่โพรงปากตามแรงดูดของเขา
เลือดอุ่นๆ สดใหม่ที่ให้รสชาติแสนอร่อยยิ่งกว่าอาหารใดๆ ที่เคยได้ลิ้มรสมา จุดประกายความหื่นกระหายจนเกือบจะกลายเป็นตะกละตะกลามของแวมไพร์มือใหม่
เลือดที่ควรจะเป็นสิ่งที่น่าขยะแขยงและมีกลิ่นคาว แรกลิ้มรสกลับเปรี้ยวนำหวานตามเหมือนกาแฟฟิลเตอร์ชั้นดี ตามด้วยรสเผ็ดเล็กๆ ของสมุนไพร น้ำหนักของเลือดบนลิ้นก็กำลังพอดี ไม่มีบอดี้ที่บางหรือหนักเกินไป และเมื่อกลืนลงไปแล้ว ก็มีรสของความหวานคั่งค้างอยู่ในปากเนิ่นนาน
กลิ่นก็เช่นกัน เริ่มจากกลิ่นของขนมปังสดใหม่ (ท็อปโน้ต) แปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นนุ่มนวลของผลไม้สีม่วง ตามด้วยกลิ่นที่ช่วยให้จิตใจสงบของไอดินหลังฝนตก ปิดท้ายด้วยกลิ่นดอกไม้ที่คงค้างอยู่ในลำคอ (อาฟเตอร์เทส)
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงว่าความกระหายของผู้บุกรุกดูท่าจะไม่มีที่สิ้นสุด
ร่างที่ถูกสะกดจากนัยน์ตาแดงและสารบางอย่างจากเขี้ยวคมเริ่มขยับตัวได้
การขยับเพียงน้อยนิดนี้ ทำให้แวมไพร์ตัวจ้อยได้สติ หยุดความอยากของตนไว้ได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายจะเลือดหมดตัวไปเสียก่อน
พอได้เติมเต็มกระเพาะที่ขาดอาหารมานาน สติสัมปชัญญะของข้อสอบก็เริ่มแจ่มชัดขึ้น เขาสบตาที่กำลังเปลี่ยนจากเลื่อนลอยมาเป็นคนที่เริ่มได้สติ ด้วยไม่แน่ใจว่ามนต์สะกดนั้นหมดไปแล้วหรือยัง
“ผมขอโทษ” น้ำเสียงติดจะสั่นๆ ด้วยไม่รู้ต้องทำยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่มือก็พยายามเช็ดทำความสะอาดปากของตนที่มีเลือดเลอะอยู่ประปราย
“เกิดอะไรขึ้น” คำถามอย่างคนงงงวย ทำเอาข้อสอบไปต่อไม่ถูก
ต้องให้เขาตอบว่ายังไง? ตอบว่า เมื่อกี้คุณเป็นอาหาร เป็นถุงเลือดของผมงี้เหรอ?
ได้โดนฆ่าตายกันพอดี บรึ๋ย~
ถ้าจำไม่ผิด เหมือนเขาเคยฟังยูทูปเบอร์เล่าถึงประวัติ (ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า) ของแวมไพร์ ว่ามีความสามารถในการลบความทรงจำของคนที่เพิ่งถูกดูดเลือดไป
“จงลืมซะ”
พูดออกไปอย่างไม่มั่นใจ แต่มือนี่ทำท่าเหมือนปล่อยพลังใส่ไปเรียบร้อย
“ทำบ้าอะไร”
ดุฉิบหาย...
ดูเหมือนว่าเขาจะปล่อยพลังผิดท่าไปหน่อย คราวนี้ต้องรวบรวมพลังก่อน
“โอมมม พลังแห่ง... แห่ง... เอ่อ ดวงดาวก็แล้วกัน พลังแห่งดวงดาวจงสถิตแก่ข้า บันดาลให้เจ้าอัลฟ่าคนนี้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดซะ”
พูดพร้อมขยับตัวออกท่าทางที่คิดมามั่วๆ ซั่วๆ แบบเก้ๆ กังๆ ไปด้วย
เหมือนคราวนี้โชคจะเข้าข้าง เพราะจู่ๆ สายลมก็พัดมาหอบหนึ่ง กระจายกลิ่นอายของแวมไพร์ให้ปะปนไปกับแสงจันทร์ที่โผล่พ้นกลีบเมฆมาเพียงครู่ ส่งผ่านไปยังร่างของเหยื่อ และทำให้เขาสลบไป
ตึ่ง!
เมื่อเห็นว่าชายร่างใหญ่ล้มทั้งยืน เจ้าหัวขโมย (เลือด) ก็รีบเผ่นแน่บกลับไปยังบ้านของตนทันที
หวังว่าพลังลบความทรงจำของเขาจะได้ผลนะ
ณ ร้านขายโลงศพและอุปกรณ์สำหรับงานศพ
ร่างของชายหนุ่มที่กำลังด้อมๆ มองๆ อยู่หน้าร้านมานานสองนาน ทำให้เจ้าของร้านต้องส่งเสียงเรียก
“ไอ้หนุ่ม หาอะไรอยู่ล่ะ”
โอเมก้าชายวางลูกชายวัยหกเดือนของตนลงในเปล ก่อนจะเดินออกมาหาเขา
“ที่ร้านพี่รับทำโลงศพไหมครับ”
“รับๆ เข้ามาดูแค็ตตาล็อกข้างในก่อนสิ”
หลังจากนั้นคนที่สองจิตสองใจอยู่นานว่าควรซื้อโลงศพแบบสำเร็จรูปไปเลยดี หรือควรสั่งทำให้ได้แบบที่ตนเองต้องการ ก็ตัดสินใจได้เมื่อได้เห็นข้อเสนอมากมายจากพ่อค้า
เพราะวัสดุที่ใช้ไม่ได้เว่อวังอะไร ราคาเลยไม่แพงนัก เน้นให้ระบายอากาศได้ดี และเหมาะกับสรีระของเขา ระยะเวลาในการรอก็เพียงไม่ถึงสัปดาห์
ไม่กี่วันเท่านั้น ที่เขาต้องทนกับการนอนหลับๆ ตื่นๆ
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้อสอบก็มั่นใจว่าตัวเองฟื้นคืนชีพมาเป็นแวมไพร์
ไอ้พละกำลังที่มากขึ้น การมองเห็นได้ดีในที่มืด ผิวที่ขาวซีดขึ้น และการที่ไม่สามารถกินอาหารเหมือนมนุษย์ปกติได้... คือผลพวงจากการที่เขากลายเป็นแวมไพร์
นอกจากควบคุมตัวเองไม่ได้เวลาได้กลิ่นเลือดหอมหวานและสามารถสะกดจิตเหยื่อได้แล้ว เขาก็ไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความสามารถอะไรอีกไหม
และทำไมเมื่อคืนเขาถึงได้กลิ่นเลือดของอัลฟ่าในรัศมีที่ไกลแสนไกล ในขณะที่ตอนที่เห็นอัลฟ่าห่างๆ เป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน กลับไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
เมื่อคืน หลังจากที่ถุงเลือดเฉพาะกิจของเขาสลบไปเรียบร้อย เขาก็หนีออกมาโดยที่ไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม
แต่สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเขา ทำให้เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายถูกลบความทรงจำไปเรียบร้อย
“นี่ใบเสร็จค่ามัดจำ ขอบคุณที่อุดหนุนนะเจ้าหนุ่ม”
พรึ่บ!
“อ้าว”
ยังไม่ทันที่จะได้รับกระดาษมา ก็มีมือหนึ่งมาแย่งไป แถมเจ้าตัวยังอ่านออกเสียงโดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
รู้จักมั้ย ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดีน่ะ
“สั่งทำโลงศพขนาดสองเมตร ไม้อัดผสมอย่างดีเคลือบกันน้ำ ระบบเปิดปิดฝาโลงด้วยรีโมท ใส่ลำโพงบิ๊วอิน มีช่องเก็บของขนาดเล็ก มีแผ่นไม้ดึงเข้าออกได้ไว้วางแล็ปท็อปทำงาน... นี่คุณสั่งโลงศพหรือสั่งหลุมหลบภัยกันแน่”
ท่าทางกวนประสาทของสัปเหร่อที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน ไม่ทำให้ข้อสอบของขึ้นเลยสักนิด เพราะเขาเจอคนมาหลากหลายประเภทตั้งแต่ยังเด็ก
“แล้วในกระดาษมันเขียนว่าอะไรล่ะครับ”
“โอ้ เด็กเนิร์ดอารมณ์ร้ายซะด้วย”
“ผมก็พูดไปตามเหตุตามผล น้ำเสียงผมก็ออกจะเรียบขนาดนั้น”
คนอะไร จู่ๆ ก็มาหาเรื่องคนอื่น
“ชาแมน อย่าแกล้งลูกค้าพี่สิ” พี่เจ้าของร้านยกมือเท้าเอว ทำเสียงดุใส่ เหมือนคนที่รู้จักอีกฝ่ายมาเนิ่นนาน
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเขาทำอาชีพสัปเหร่อ คงจะมีเหตุให้ต้องมาติดต่อร้านนี้บ่อยๆ
“อาฮะ” ชาแมนยื่นใบเสร็จคืนให้ “ผมแนะนำให้คุณเพิ่มแผ่นดูดซับเสียงไปด้วยนะ”
“...”
“ท่าทางคุณจะดูสบายดีนี่... ดูไม่อดอาหาร”
ทิ้งท้ายด้วยคำพูดแปลกๆ เสร็จ ชาแมนก็เดินหายไปทางประตูหลังร้าน ทิ้งให้คนที่คิดอะไรเป็นตรรกะเหตุผลอยู่ตลอดเวลารู้สึกสงสัย จนเกิดเป็นข้อสันนิษฐานหลายๆ อย่าง
“จริงๆ แล้วแวมไพร์ไม่ได้หมายถึงผีดูดเลือดอย่างเดียว แต่พอมีพวกการ์ตูนกับนิยายจับเรื่องนี้มาทำกันมากขึ้น ทุกคนเลยติดภาพจำนี้กัน บ้างก็ว่าแวมไพร์คือคนที่เกิดมามีสัญลักษณ์ของปีศาจ ตายอย่างผิดธรรมชาติ หรือไม่ก็ถูกแวมไพร์เปลี่ยนให้มาเป็นพวกเดียวกัน ว่าง่ายว่านะ เจ้าพวกนี้เนี่ย...”
เสียงพูดของยูทูปเบอร์สายเล่าเรื่อง ดังออกมาจากลำโพงของคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่
เจ้าของห้องในชุดนอนฮู้ดดี้สีแดงเข้มตัวโปรดกำลังพิมพ์แชทต๊อกแต๊กๆ ตอบโต้หัวข้อสนทนาทางวิชาการในเรดดิต (Reddit)
ถึงข้อสอบจะคุยไม่เก่ง แต่ในโลกออนไลน์ เขานี่แหละ...นักเลงคีย์บอร์ดตัวจริง
ด้วยความที่หมกมุ่นกับวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาไม่เคยหยุดอัปเดตความรู้ใหม่ๆ รวมถึงแบ่งปันความรู้ความสามารถให้กับเหล่าคนช่างสงสัยในเรทดิตด้วย
หูก็ยังคงเงี่ยฟังข้อมูลจากยูทูปเบอร์ที่เล่าเกี่ยวกับแวมไพร์ไปด้วย
ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองฟื้นคืนชีพ แล้วได้ภาระ (?) มาเป็นร่างกายที่เอาใจยากแบบนี้ นักวิจัยหนุ่มก็พยายามหาข้อมูลจากหนังสือเก่าๆ ในห้องสมุดกลาง รวมถึงจากโลกออนไลน์ แต่เนื้อหาส่วนใหญ่ที่ได้รับล้วนแต่เป็นจินตนาการไร้สาระ ไร้มูลเหตุที่มาที่ไปเต็มไปหมด
พอเอาทุกอย่างมาสรุปรวมกันก็เลยได้ข้อมูลที่ออกจะมหาศาลและเลอะเทอะไปเสียหน่อย ถึงแม้จะคัดมาเฉพาะข้อมูลที่มีการพูดซ้ำทางโลกออนไลน์มาเกินหนึ่งพันครั้งก็ตาม
หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ตั้งแยกอยู่อีกจอขณะนี้ปรากฏเป็นภาพกลุ่มกลุ่มหนึ่งในโซเชียลมีเดียที่มีแต่คนโพสต์อวดการตกแต่งห้องภายในบ้านของตน ซึ่งเทรนด์ตอนนี้ก็ยังคงเป็นความมินิมอลอยู่
การตกแต่งห้องคืองานอดิเรกของข้อสอบ
เพราะบ้านคือที่ซุกหัวนอนของเขา คือที่ผ่อนคลายหลังจากเหนื่อยจากการทำงานหนัก การได้เห็นภายในบ้านเปลี่ยนแปลงไปตามการแทนที่ของเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ หรือแม้แต่ของประดับตกแต่งชิ้นเล็กๆ ทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก
เขาสามารถใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ นั่งชื่นชมการตกแต่งห้องของตัวเองได้ด้วยซ้ำ
“นอกเหนือจากสิ่งที่เป็นเรื่องพื้นฐานของแวมไพร์อย่างที่ว่าง่ายเล่าให้ฟังไปเมื่อกี้แล้ว ยังมีเรื่องที่ดูเป็นไปได้ยากอย่างการกลายร่างเป็นค้างคาว นี่ๆๆ ผมจะเปิดที่มาให้ดู มีการ์ตูนหลายเรื่องเลยที่เปรียบแวมไพร์เป็นค้างคาว”
น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของหนุ่มน้อยหน้าใสทรงโอเมก้า แต่ข้อสอบไม่แน่ใจว่าเขาใช่โอเมก้าจริงๆ มั้ย ดังมาถึงจุดที่ดึงดูดความสนใจของข้อสอบออกจากการหยิบยกทฤษฎีขึ้นโต้เถียงกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ (ที่ยังชำนาญไม่เท่าเขา) คนอื่นๆ
ค้างคาวอย่างงั้นเหรอ? เขาจะแปลงร่างเป็นค้างคาวได้ไหมนะ
ชายหนุ่มรีบสลับหน้าจอไปดูตัวอย่างคลิปวีดีโอที่ยูทูปเบอร์นามว่าง่ายกำลังเปิดโชว์ แสดงให้เห็นเหตุการณ์หรือขั้นตอนการแปลงร่างเป็นค้างคาวของเหล่าแวมไพร์ในการ์ตูน
เพียงมองอย่างเดียวดูจะไม่ทันใจ เพราะเจ้าของร่างขาวซีดรีบลุกขึ้นยืนและพยายามออกท่าทางตามเรียบร้อย
“ฮึบ”
ให้ตายสิ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ท่าทาง มันอยู่ที่ข้างในความคิดของแวมไพร์พวกนั้นต่างหากเล่า
ไม่รู้ว่าต้องคิดหรือท่องคาถาอะไรที่จะทำให้แปลงร่างได้
เปลือกตาหนาปิดแน่น จินตนาการถึงภาพตัวเองที่ตัดฉับเปลี่ยนเป็นค้างคาวในฟุตเทจเดียว แต่ก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นแต่อย่างใด
หรือเขาต้องกระโดดลงไป แล้วจะบินได้เอง วิธีเดียวกับแม่นกที่สอนลูกนก
แต่คราวก่อนเขาก็กระโดดลงไปจากระเบียงชั้นสองของห้องตัวเองอย่างง่ายดาย ไม่เห็นจะแปลงร่างเองเลย
หลังจากคิดสรตะวุ่นวายอยู่ในหัวเต็มไปหมด เจ้าของฮู้ดดี้ก็เดินถอยหลังมาจนชิดผนังฝั่งตรงข้ามของประตูระเบียง ก่อนจะออกแรงพุ่งตัวไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ฟ้าววว
ตุบ!
โลกรอบตัวไม่ได้ดูใหญ่ขึ้น แถมเท้าก็ไม่ได้สัมผัสผืนหญ้าแต่ประการใด
แต่เขากำลังถูกคนที่บริจาค (?) เลือดให้ รับไว้ในท่าเจ้าหญิงน่ะสิ!!!
บทส่งท้าย แม้จะเป็นแฟนกันแล้ว แต่คนบ้างานก็ยังคงบ้างานต่อไป ดีหน่อย ที่ถึงแม้จะมีไปประชุมต่างเขตจนต้องกลับบ้านดึกดื่นเป็นบางวัน แต่อาชวินก็ไม่เคยไปค้างที่อื่น และไม่หอบเอางานกลับมาทำที่บ้าน ข้อสอบที่นับวันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองทำตัวเป็นแม่บ้านเข้าไปทุกที ได้แต่นั่งกอดตุ๊กตาน้องเต่า เป็นนักเลงคีย์บอร์ดในเรดดิตและสอดส่องหาของแต่งบ้านต่อไป ถึงแม้จะทำงานกันคนละอาคาร แต่ยามเลิกงาน ข้อสอบกับอาชวินมักจะเจอกันอยู่เสมอ ไม่ที่บ้านของเขา ก็บ้านของอีกคน เดินไปมาหาสู่กันจนอาชวินขอให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านสองชั้นของตนแทน เลยได้ถือโอกาสย้ายของทุกอย่างออกมาจากอพาร์ตเม้นต์ที่อยู่นอกเขตทหาร จะได้ปล่อยเช่าซะ พอย้ายของมา ก็เลยได้ตกแต่งบ้านอย่างจริงจังเสียที บ้านที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้นตอนนี้ เลยมีของตกแต่งเพิ่มขึ้นมา ทำให้ดูเป็นเหมือนบ้านมากขึ้น นอกจากนี้บ้านของอาชวินยังมีห้องนอนที่ชั้นหนึ่งเยื้องออกไปทางข้างหลัง สะดวกให้ตัวเลขอาศัยอยู่เป็นอย่างมาก วันนี้อาชวินก็บินไปทำงานที่ต่างเขตแต่เช้ามืด และน่าจะกลับมาถึงเร็วๆ
22คำเตือนสุดท้าย บรรยากาศกำลังได้ที่ แต่ดันถูกตัวป่วนสองตัวมาขัดเสียยับ อาชวินมองชาแมนกับรุจีที่เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้อย่างถูกจังหวะสุดๆ โดยที่ตนยังจับมือคนตัวเล็กกว่าไว้อยู่ “นายไม่ได้เตือนข้อสอบไว้เหรอ” แวมไพร์สาวสวยที่เดินนวยนาดมานั่งยังโซฟาตัวที่นักสืบเพิ่งลุกออกไปได้ไม่นาน หันไปถามแวมไพร์สัปเหร่อที่เลือกยืนพิงโต๊ะหน้าทีวี “เตือนแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ฟัง” ชาแมนตอบ ข้อสอบพยายามดึงมือออกจากอุ้งมืออุ่นสบาย เพราะถูกจับจ้องมาจากแวมไพร์ทั้งสองตนจนชักจะเขินอยู่หน่อยๆ “เตือนถูกจุดหรือเปล่า” “ก็เตือนเรื่องเหยื่อจะถูกดูดเลือดจนป่วยตาย” “นายคิดว่าคนอย่างผู้พันจะตายได้ง่ายๆ งั้นเหรอ” “เออ จริงด้วย” แวมไพร์รุ่นน้องได้แต่หันไปมองคนโน้นคนนี้ซุบซิบกันไปมาโดยไม่สนเลยว่าคนที่ถูกนินทาจะนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ “ข้อสอบ ฉันขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อยสิ” รุจีว่า “ไม่เอาแบบคราวก่อนแล้วนะครับ” นักวิจัยหนุ่มหมายถึงตอนที่ถูกจับหิ้ววิ่งด้วยความเร็วสูงซะจนคลื่นไส้ “คุยที่นี่แหละ ข้อสอบไม่ม
21ต้องการคนปกป้อง แม้เจ้าค้างคาวจะกระพือปีกขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลาและขยับเบี่ยงตัวอย่างตกใจตามเสียงเรียกของอาชวิน แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นกระสุนล็อกเป้า เทคโนโลยีพิเศษที่สามารถเปลี่ยนทิศทางตามเป้าหมายได้ถึงสองครั้งติด เป็นเทคโนโลยีที่มีราคาแพงมาก หาได้จากในฐานทัพเท่านั้น และถูกควบคุมไม่ให้มีขายในตลาดใต้ดิน “ข้อสอบ!” ผู้พันหนุ่มร้องอย่างตกใจ นาทีที่เห็นร่างจิ๋วถูกยิงจนตกลงมากับพื้น เป็นชั่วเสี้ยววินาทีที่เหมือนกับโลกทั้งโลกหยุดหมุน แต่สติและสัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทำให้เขารีบเก็บค้างคาวน้อยที่นอนสลบไสลลงในกระเป๋าเป้ วิ่งหาที่ซ่อนจากกระสุนสุดแสนจะอันตรายนั่น ชายหนุ่มหาที่หลบได้ก็ลอบประเมินสถานการณ์ในใจ หากศัตรูมาคนเดียวก็คุ้มที่จะเสี่ยงจัดการซะให้เรียบร้อย ดีกว่าเขาเป็นฝ่ายถูกตามล่าฝ่ายเดียวจนไม่มีเวลาปฐมพยาบาลให้ข้อสอบ สายตาคมหยิบแว่นมองในที่มืดที่ถูกออกแบบมาให้ดูคล้ายแว่นตาธรรมดาขึ้นสวม ลอบสังเกตดูการเคลื่อนไหวรอบกาย หากทว่ามีกลิ่นหอมหวานโชยออกมาจากในกระเป๋าสะพาย เหมือนกลิ่นโอเมก้ากำลังฮีต... กลิ่นเดียวกับที่เข
20ผู้ช่วยเหลือ หลังจากซักถามลักษณะภูมิประเทศที่เกิดเหตุและช่วงเวลาคร่าวๆ ที่ตัวเลขเห็นในนิมิต ข้อสอบก็พอจะอนุมานได้ว่าเป็นช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดในคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้กันแน่ สิ่งที่เขาทำได้คือต้องออกไปหาผู้พันให้เจอโดยเร็วที่สุด “อ้าว คุณข้อสอบจะไปไหนน่ะ” นาทีถามคนที่เพิ่งเดินเข้ามายังไม่ทันจะข้ามพ้นวงกบประตู และรีบหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย เลยได้แต่ยืนเกาหัวอย่างงงๆ ตอนแรกนักวิจัยหนุ่มกะจะแวะมาเอากระเป๋าเป้เพื่อใส่อุปกรณ์ยังชีพต่างๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแปลงร่างเป็นค้างคาวเพื่อบินตามหาน่าจะสะดวกกว่า เลยเดินออกไปคุยโทรศัพท์เงียบๆ ไหว้วานให้ชาแมนมาเฝ้ายามผลัดที่สามช่วงใกล้รุ่งเช้าแทนเขา จากนั้นแวมไพร์หนุ่มก็อาศัยมุมมืดของป่า แปลงร่างเป็นแวมไพร์ตัวกระจ้อยที่ไม่รู้จะมีแรงบินได้ไกลแค่ไหน บินตรงไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อไปสู่ภูมิประเทศแบบป่าชายเลน โชคดีที่ป่าชายเลนมีความยาวเพียงแค่ห้ากิโลเมตรและมีอยู่เพียงฝั่งเดียวของพื้นที่ที่ใช้ในการทำภารกิจ ทำให้ข้อสอบสามารถสโคปพื้นท
19อีกขั้นของความสัมพันธ์ บรรยากาศรอบกายของทั้งคู่ที่ก้าวเดินไปด้วยกันมีแต่ความเงียบสงบ หลังจากที่อาชวินโผล่มาช่วยพาข้อสอบออกจากสถานการณ์อันแปลกประหลาดตอนนั้น พวกเขาก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันอีก สุดท้ายคนที่ทนความเงียบไม่ไหว ก็เป็นฝ่ายพูดออกไปก่อน “ผมไม่ขอบคุณคุณหรอกนะ” เพราะผู้พันทำให้เขาต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ “ไม่ดีใจเหรอที่ได้รู้จักแวมไพร์ตนอื่นเพิ่ม” ข้อสอบหันขวับไปมองคนพูดหยอกอย่างไม่อยากจะเชื่อ “แล้วคุณจะรู้สึกดีใจมั้ยล่ะครับถ้าเจอคนอุ้มแล้วพาวิ่งไปด้วยความเร็วสูงแบบนั้น” นักวิจัยหนุ่มแหวใส่ “เหวอออ” ก่อนจะร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อร่างกายลอยขึ้นมาอยู่เหนือพื้น “อุ้มแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงเจือรอยขำ ทำให้คนที่กอดคออีกฝ่ายแน่นเพราะกลัวตก จัดการทุบไหล่กว้างของอัลฟ่าหนุ่มเข้าให้หนึ่งป้าบ “คุณนี่มัน...” กวนตีนกว่าที่คิด “อารมณ์ดีได้หรือยัง” ลมหายใจร้อนที่เป่ารดแก้มเย็น ทำให้ข้อสอบที่เผลอสบตาผู้พันครู่หนึ่งต้องเบนหน้าหลบ ก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงไปมากกว่านี้ “ไม่ใช่อุ้
18มนุษย์ก็แค่ของเล่น คนที่นอนมาตลอดทางค่อยๆ งัวเงียตื่นขึ้นมาหลังจากรู้สึกได้ถึงรถตู้หรูเจ็ดที่นั่งที่จอดนิ่งสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป พอขยับตัวก็รู้สึกได้ถึงเสื้อโค้ทที่ไหลลงไปกองอยู่บนตัก หันไปทางขวาก็เห็นคนที่นั่งอยู่ด้วยกันมาตลอดทางกำลังเก็บแท็ปเล็ตที่เพิ่งปิดลงใส่กระเป๋า ตั้งแต่ขึ้นรถที่มีเพียงเขา ผู้พัน และคนขับรถมา ผู้พันอาชวินก็ไม่ซักถามอะไรสักคำ เอาแต่บอกให้เขานอนพักผ่อนให้เต็มที่ คนที่เตรียมใจว่าจะโดนดุเลยได้แต่แกล้งหลับตาอย่างงงๆ จนสุดท้ายก็เผลอหลับไปเอง หลับยาวจนมาตื่นเอาตอนนี้ “ขอบคุณครับ” ข้อสอบยื่นเสื้อโค้ทคืนให้กับคนที่คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าของ หัวใจอุ่นวาบนิดหน่อยกับความห่วงที่อีกฝ่ายแสดงออกมาทั้งตอนที่ฝากนาทีเอายามาให้ และตอนนี้ “วันนี้ก็พักผ่อนซะเยอะๆ ล่ะ พรุ่งนี้ไปฝึกแค่ช่วงเช้าชั่วโมงเดียวพอ” จริงๆ อาชวินไม่อยากให้ข้อสอบมาฝึกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่การจะให้คนตัวเล็กอยู่ใกล้ๆ กับเขาได้ ก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น “เดี๋ยวก่อน” ผู้พันหนุ่มจับข้อมือ รั้งร่างของคนที่กำลังจะเปิด