CLOSE FRIEND
CHAPTER 7
หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้ว รามก็เดินไปนั่งที่โซฟาทำการเปิดกล้องดูรูปของฉันหน้าตาเฉย ไม่ต้องเดาเลยว่ามันต้องลบรูปทิ้งแน่ ๆ
“ราม!” ฉันรู้สึกโมโหจนลมแทบจะออกหู เพราะมันชักจะก้าวก่ายเกินไปแล้ว “มึงทำงี้ไม่ได้นะ!”
“…” มันไม่มองหน้ากันด้วยซ้ำ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลบรูปอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“ราม!”
คนเอาแต่ใจเงยหน้าขึ้นมองแต่ไร้เค้าสลดใด ๆ มันคว้ามือถือปัดเลื่อนหน้าจอสองสามทีก็เอ่ยบอก
“กูโอนให้มึงสองหมื่น แค่ไม่ต้องทำงานเวรนี่”
“ราม!”
“ไม่ต้องขอบคุณ กูรวย”
“…”
ฉันขมวดคิ้วหนักมาก ก้าวเดินเข้าไปหามันเพื่อแย่งกล้องกลับมา แต่คนที่นั่งอยู่กลับรวบเอวฉันเข้าหาตัว ฉันไม่ทันได้สนใจท่าทางที่แทบจะขี่มันอยู่แล้วของตัวเอง รีบเปิดกล้องดูเผื่อว่าจะยังหลงเหลือรูปอยู่บ้างเพราะเราถ่ายกันเป็นร้อยรูป
แต่…
“ราม! มึงลบหมดเลย!” ฉันตวาดแหวใส่คนที่กำลังกอดเอวกันอยู่ในท่วงท่าสุดอันตราย โดยที่ฉันถูกมันล็อกตัวเอาไว้ เข่าสองข้างค้ำยันอยู่ที่โซฟา ส่วนมันก็ยังคงยักคิ้วให้ มีรอยยิ้มกวนตีนประดับบนใบหน้าเหมือนเดิม!
“ก็กูจ้างมึงแทนไง”
“กูไม่เอา!”
“ไม่ต้องทำหรอกน่า”
“มึงจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ! มึงไม่ใช่ผัวสักหน่อย!” ฉันตะโกนอย่างเหลืออดกับนิสัยเอาแต่ใจที่หนึ่งแบบมัน แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะยิ่งได้ใจ
“ก็อยากให้เป็นไหม? แบบมึงก็ดีได้ทั้งเพื่อนได้ทั้งเมีย”
“ทะ… ทุเรศ!”
“ไม่ต้องทำงาน กูเลี้ยงดูเอง”
“ไอ้บ้า!”
“หึ!” รามหัวเราะเสียงดังที่แกล้งฉันได้ มันทำท่ายื่นปากจะจูบกันอย่างกวนตีนเป็นที่สุด ฉันเลยรีบใช้สองมือยันหัวมันออกไป พร้อมทั้งกระโดดถอยห่างออกมา
คนขี้แกล้งหัวเราะสะใจในขณะที่ฉันรู้สึกได้ว่าใบหน้าตัวเองกำลังร้อนผ่าว ตัวมันไม่คิดอะไรเลยกล้าทำแบบนี้! แต่คือฉันไม่ใช่ไงโว้ย!!!
เพราะไม่อยากคุยกับมันให้ประสาทแดกมากไปกว่าเดิม ฉันเลยวิ่งหนีเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนอน
ซวยจริง ๆ ไม่รู้ทำไมมันจะต้องโผล่มาขัดจังหวะด้วย!
ไม่นานก็เดินออกมาในสภาพเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดปกติ พร้อมล้างหน้าล้างตาที่ร้อนระอุของตัวเองเรียบร้อย แว่นกรอบบางถูกสวมบนดั้งจมูกตามเดิม เพราะคิดว่ายังไงวันนี้คงจบแล้ว คงไม่ได้ถ่ายแล้วแน่ ๆ
ไอ้ตัวปัญหายังคงนอนกระดิกเท้าอยู่ที่โซฟา ไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่ตัวเองทำ แหงสิ! หน้าหนายิ่งกว่าปูนโบกตึกแบบมันจะไปรู้สึกอะไร!
“กูโอนคืนไปหมื่นนึง” ฉันยืนเท้าสะเอวมองมัน พร้อมทั้งยื่นหน้าจอมือถือซึ่งยังค้างหน้าทำธุรกรรมให้ดู “แต่อีกหมื่นกูไม่คืนแน่ เพราะมึงทำให้กูเสียการเสียงาน”
“…” คนตัวโตผุดยิ้มนิด ๆ ละสายตากลับไปโดยไม่พูดอะไร
“ไปส่งกูด้วย” ฉันกระแทกตัวนั่งลงข้าง ๆ พยายามทำใจให้สงบกับเหตุการณ์ทุเรศที่เพิ่งเกิดขึ้น พร้อมทั้งแชตไปขอโทษร้านค้าที่ต้องขอยกเลิกงาน แน่นอนว่าฉันโดนด่า…
เป็นเพราะไอ้เวรนี่คนเดียวเลย!
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
“อืม… เดี๋ยวไปรับครับ”
“…”
“พี่มาส่งพริกที่ห้อง”
“…”
“น่าจะอีกสักชั่วโมง”
“…” ฉันทำเป็นไม่สนใจคนข้าง ๆ ที่กำลังคุยโทรศัพท์กับน้องเหมย หลังจากมันวางสายไปแล้วถึงได้หันมาคุยกับฉัน
“กูไม่นอนละนะ จะไปห้องน้องเหมย”
“เออ”
“นี่ยังโกรธ?”
“เปล่าสักหน่อย ได้เงินมึงมาแล้วนี่”
ฉันทำหน้างอไม่หันไปมองหน้ามัน ก็เลิกโมโหมันเรื่องงานมาสักพักแล้ว แต่ที่มันน่าหงุดหงิดคือมันจะไปนอนกับน้องเหมยต่างหาก
อันที่จริงไม่ใช่ครั้งแรก อีพริกคนนี้เจอมาไม่รู้กี่สิบรอบแล้วเรื่องมันไปนอนกับสาวอื่น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนฮอตระเบิดแบบมันจะไปนอนกับผู้หญิง แถมฉันก็เป็นแค่เพื่อนจะไปพูดอะไรได้ ก็ได้แค่รู้สึกในใจเหมือนอย่างทุกที ตอนแรกบอกว่าจะมานอนห้องฉันแท้ ๆ พอเด็กโทรมาหน่อยก็เทกันดื้อ ๆ
ทันทีที่รถมันจอดลงหน้าหอ ฉันก็รีบกระโดดลงโดยไม่หันกลับไปมองหน้ามันอีกเลย
ก็มัน… น่าหงุดหงิดไง!
กลางดึก
ฉันกำลังนอนหลับสบาย…
ไม่มีใครมากวน ไม่มีอะไรกวนใจ นอนแบบไม่ต้องใส่เสื้อชั้นใน สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว…
แต่กลางดึกก็กลับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังกุกกัก ๆ เหมือนใครกำลังทำอะไรที่หน้าประตูห้อง แม้จะเป็นคนขี้เซา แต่ฉันไม่ได้โง่ที่จะไม่รู้ว่ามันผิดปกติ และแสงไฟทางเดินที่ลอดผ่านใต้บานประตูก็ทำให้รู้ว่ามีใครสักคนกำลังพยายามงัดห้องเข้ามา
กุกกัก! กุกกัก!
ไม่ใช่เพื่อนฉันแน่นอน…
ถ้าเป็นพวกมันป่านนี้คงทุบประตูเรียกไปแล้ว ไม่มัวมายืนเสียเวลาหมุนลูกบิดอยู่หรอก ฉันผุดตัวลุกจากเตียงพร้อมทั้งรีบต่อสายหาเพื่อนทันที แต่เพราะไม่รู้ว่าต้องตามใครก็เลยกดมั่ว ๆ เบอร์ใครขึ้นมาก่อนก็คนนั้น…
(ว่า? ป่านนี้มึงยังไม่นอน?) เสียงปลายสายทำให้รู้… ว่าเป็นราม…
“มึงอยู่ไหน?” ฉันกระซิบเสียงถาม
(อยู่ห้องน้องเหมย)
“เออ แค่นี้แหละ” เพราะไม่อยากรบกวนเวลามันกับน้องเขาฉันเลยตั้งท่าจะกดตัดสายทิ้ง แต่เสียงจากปลายสายก็ดังขึ้นอีก
(มีอะไร? ทำไมต้องกระซิบ?)
“คือ…”
(เป็นอะไร?) เสียงปลายสายฟังดูเครียดขึ้นเล็กน้อย ฉันเลยตัดสินใจบอกมันไปตามตรง
“มีคนมาทำอะไรหน้าห้องกูก็ไม่รู้”
(…)
“ราม”
(มึงล็อกห้องดีหรือเปล่า?)
“อือ”
(เดี๋ยวกูไป)
สายตัดไปแล้วอย่างรวดเร็ว…
ฉันโยนมือถือไว้บนเตียง พยายามย่องอย่างเงียบเชียบที่สุดเพื่อเดินไปส่องดูตาแมว ขณะเดียวกันคนด้านนอกก็ยังคงพยายามจะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ให้เกิดเสียงดัง
มันน่ากลัวจนฉันรู้สึกสั่นไปทั้งตัว…
ใครกันที่ทำแบบนี้…
และเมื่อเดินถึงหน้าประตูฉันก็รีบใช้ตาข้างหนึ่งจ้องผ่านตาแมว มันเหมือนฉาก jump scare ในหนังผีไม่มีผิด จู่ ๆ คนแปลกหน้าก็หยุดการกระทำกะทันหัน มันเงยหน้าขึ้นจ้องที่ตำแหน่งเดียวกับที่ฉันมอง ทำเอาฉันกลืนน้ำลายลงคอกลั้นหายใจโดยอัตโนมัติ สองเท้าขยับก้าวถอยหลัง ใช้วิธีมองเงาปริศนาผ่านใต้บานประตูแทน
ดูเหมือนคนข้างนอกจะรู้ตัวแล้วว่าฉันตื่นอยู่ เงานั้นค่อย ๆ เดินถอยห่างออกไป เสียงรองเท้าดังสะท้อนก้องทางเดินด้านนอก ฉันได้แต่ยกมือขึ้นทาบอก รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ใจสั่นระรัวด้วยความตื่นกลัว ไม่เห็นหน้ามันด้วยซ้ำเพราะคนคนนั้นใส่เสื้อมีฮู้ดที่ปิดขึ้นมาจนถึงจมูก เห็นก็แค่ดวงตา
นี่มันเหมือนในข่าวไม่มีผิด…
ผู้หญิงที่อยู่หอพักคนเดียวมีคนมางัดห้องเข้าไปข่มขืน!
ฉันพยายามระงับสติอารมณ์เดินกลับมานั่งบนเตียงเงียบ ๆ ไม่สามารถหลับลงอีกต่อไป ใจจริงอยากจะเรียกเพื่อนมาให้หมด แต่คิดว่าถ้ารามมาแล้วคนอื่นคงไม่เป็นไร คงเป็นการรบกวนพวกมันเปล่า ๆ นี่ก็เกือบตีสามแล้วด้วย ขอแค่ใครสักคนก็พอ…
ยี่สิบนาทีต่อมา
“พริก!”
เสียงหมุนลูกบิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง แต่เพราะมีเสียงของรามกำลังตะโกนเรียก ทำให้ฉันรีบเดินไปเปิดประตูให้ทันที
แกร๊ก!
“มึงเป็นไรไหม?” ร่างสูงของมันก้าวเข้ามาสีหน้าเป็นกังวลฉายชัด เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม
“…” ฉันไม่ตอบ แต่เดินถอยมานั่งบนเตียง มือยังสั่นอยู่น้อย ๆ แต่นับว่าดีกว่าก่อนหน้านี้ หัวใจเต้นแรงกลับมาเต้นในจังหวะปกติแค่ได้เห็นหน้ามัน
รามปิดประตูห้องพร้อมทั้งสำรวจลูกบิดกับล็อกแบบคล้องที่ยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย มันถอนหายใจเสียงดัง ถอดรองเท้าเตะไปทางหนึ่งแล้วเดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน นัยน์ตาสีเข้มมองกันอย่างเป็นกังวล
“เห็นหน้ามันรึเปล่า?”
“ไม่เห็น” ฉันยกมือลูบใบหน้าร้อนผ่าวของตัวเอง พยายามสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อน “มึงนอนเป็นเพื่อนกูนะ”
“เออ เดี๋ยวกูอยู่ด้วยไม่ต้องกลัว” รามรีบพยักหน้า ก่อนจะส่ายหัวไปมากดหัวคิ้วมองด้วยสายตาตำหนิ “กูก็บอกแล้วว่าเวลาเดินลงไปข้างล่างให้แต่งตัวให้เรียบร้อย”
“มึงอย่ามาบ่นนะ” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ฟาดมือลงบนแขนคนข้าง ๆ เวลาแบบนี้ยังจะมาซ้ำเติมกันอีก
“ไม่ต้องร้อง กูอยู่นี่ ไม่มีอะไรให้ต้องกลัว”
“ก็มันน่ากลัวนี่!” ฉันเถียงเสียงดัง รู้สึกได้ว่าน้ำตากำลังจะไหล
“พอ ๆ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวกูเฝ้ามึงเอง”
รามไม่พูดเปล่าแต่เดินไปปิดไฟให้ ก่อนตัวมันเองจะถอดเสื้อโยนไปอีกทาง และทอดตัวลงนอนที่ข้างกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงรู้สึกโล่งอกขนาดนี้ แค่ได้ยินเสียง แค่ได้เห็นหน้า แค่มันนอนอยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นร้อยเท่าพันเท่าเห็นจะได้
ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ รวมถึงความอบอุ่นปลอดภัยในเวลานี้…
ฉันเองก็ไม่รู้… ว่าเป็นเพราะมีคนมานอนเป็นเพื่อน…
หรืออันที่จริง เพราะคนที่มานอนข้าง ๆ ในตอนนี้คือตัวมัน…