“ก่อนหน้านี้หนูก็ยังเขียนได้เลยนี่ลูก”
พนิดาเอ่ยขอบิดาในบ่ายวันอาทิตย์ขณะทานของว่างด้วยกันหลังจากท่านกลับมาจากไปออกรอบตีกอล์ฟกับกลุ่มเพื่อน
“สองเรื่องนั้น ลูกเขียนสมัยเรียนกับช่วงที่จบใหม่ๆ ยังไม่ได้ทำงานอะไรนี่คะ”
หญิงสาวบอกเหตุผลของตนเอง แม้จะใจเสียเล็กน้อยที่ถูกปฏิเสธทันควัน แต่เธอก็แอบกระซิบอ้อนขอมารดาแบบส่วนตัวมาแล้ว และบอกพี่ชายเอาไว้ว่าให้ช่วยพูดให้เธอด้วย
“อยากได้ฟีลส่วนตัวบ้างบางวันน่ะค่ะ ก็เลยรู้สึกว่าเปลี่ยนที่เขียนบ้างน่าจะดีแค่เฉพาะวันศุกร์กับเสาร์แค่นั้นเองค่ะ วันอาทิตย์ตอนเช้าลูกก็กลับแล้ว”
คุณไพศาลนิ่วหน้า ยังไงก็ไม่อยากให้ลูกสาวออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว
“คุณคะ แค่สองคืนเอง ยังไงลูกก็ไม่เถลไถลหรอกค่ะ เราก็รู้นิสัยหนูวุ้นดี”
คุณดารณีช่วยลูกสาวกล่อมสามี ความจริงตัวท่านเองก็ห่วงอยู่เหมือนกัน แต่พนิดาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ควรมีอิสระมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง และวันหนึ่งก็ต้องมีคนรัก แต่งงานมีครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้คงต้องคุยกันยาวหากถึงเวลานั้นขึ้นมา เพราะสามีของท่านหวงลูกสาวมาก ไม่คิดจะยกให้ใคร นั่นทำให้ท่านนึกสงสารลูก พนิดาถูกปิดกั้นสังคมจากบิดามานานเกินไปแล้ว
“นั่นสิครับคุณพ่อ คอนโดน้องก็ใกล้ที่ทำงาน เดินทางสะดวก ระบบความปลอดภัยก็ดีครับ”
พศินเอ่ยเสริมขึ้นมาบ้าง ตนเคยไปดูคอนโดกับน้องสาวมาแล้ว และเขาก็รับปากเธอว่าจะช่วยเพราะอยากให้อีกฝ่ายได้ออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านบ้าง ในสายตาเขาพนิดาขาดการเรียนรู้ชีวิต น้องสาวเขาอยู่ในกรอบมาตลอด เมื่อเธออยากได้ชีวิตนอกกรอบ แม้จะเพียงแค่วันสองวันเขาก็ยินดีสนับสนุน
พ่อของเขาหวงลูกสาวคนเดียว หากสำหรับลูกชายแล้วท่านค่อนข้างเข้มงวดในเรื่องเรียนกับการทำงาน แต่ไม่ยุ่งเรื่องชีวิตส่วนตัวของพวกเขา น้องชายเขาอย่างพริษฐ์บิดาก็อนุญาตให้อยู่ต่างประเทศนานหลายปี กระทั่งเห็นว่าควรกลับมาช่วยงานทางบ้านจริงจังได้แล้วเพราะอายุจะสามสิบแล้ว ท่านจึงเรียกกลับ ตัวเขาเองแม้อยู่กับครอบครัวแต่เขาก็มีคอนโดของตัวเอง ทว่าไม่ได้ใกล้ที่ทำงาน เพราะมีไว้ใช้ในกิจกรรมส่วนตัว หากเขาไม่นอนบ้าน พ่อหรือแม่ก็ไม่เคยถามไถ่ต่อว่า
คุณไพศาลมองหน้าแต่ละคนแล้วก็ถอนหายใจ ไม่เห็นด้วยเลย ทว่าพอเหลือบไปมองหน้าสวยของลูกสาวที่แววตาหม่นหมองใจก็อ่อนลง รักและสงสารลูกสาวกว่าใคร ท่านเป็นห่วงและหวงพนิดามากเพราะในตอนที่ลูกสาวเกิดท่านทำแต่งานเพราะเพิ่งเริ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ไม่ว่างแม้แต่จะไปดูตอนคลอด กระทั่งลูกสาวตัวน้อยที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนป่วยหนักมาก ภรรยาของท่านต้องอุ้มลูกพาไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองอย่างยากลำบาก กว่าคุณไพศาลจะรู้เรื่องเพราะมัวแต่ทำงานท่านก็เกือบจะสูญเสียลูกสาวไปแล้ว นั่นทำให้เสียใจกับรู้สึกผิดต่อลูกคนนี้ จากนั้นท่านก็กลับบ้านตลอด ไม่เคยค้างที่ทำงานไม่ว่างานจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม
“เอาเถอะ พ่อให้นอนที่คอนโดก็ได้ แต่ว่า...”
พนิดากับมารดาที่กำลังจะยิ้มต้องยั้งเอาไว้เมื่อมีคำว่า ‘แต่’
“แค่คืนวันศุกร์ได้ไหมลูก พ่อรู้ว่าหนูชอบ แต่มันไม่ต้องรีบเขียนอะไรนี่นา ค่อยๆ ทำไปก็ได้ เย็นเสาร์กลับมานอนบ้านเรา”
หญิงสาวยิ้มรับพร้อมกับไหว้ขอบคุณบิดาโดยไม่คิดแย้ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะเธอกลัวว่าท่านจะไม่อนุญาตด้วยซ้ำ และเธอก็ไม่ได้คิดจะเขียนเรื่องของตนให้เสร็จเร็วที่สุดเสียเมื่อไร งานเขียนต้องอาศัยอารมณ์ ฟีลลิ่ง และไฟในการทำ
บรรยากาศการทำงานวันแรกที่ไม่มีภาสกรในแผนกไม่แตกต่างจากทุกวันของพนิดานัก เพราะเธอไม่ได้ร่วมงานกับเขา โดยปกติเธอก็จะเจอหน้าเขาในช่วงที่เรียกประชุมทั้งทีมมากกว่า หรือไม่บางครั้งก็บังเอิญเดินสวนกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็จะไหว้เธอแล้วเลี่ยงไป ทั้งคู่แทบไม่เคยสบตากันเลย มีช่วงหลังตั้งแต่ที่เขาช่วยเธอเมื่อประมาณสองเดือนก่อนที่ผ่านมา พนิดาจะยิ้มบางในเวลาที่ชายหนุ่มไหว้ทักทาย ไม่เพียงพยักหน้ารับด้วยใบหน้านิ่งเฉยเหมือนก่อนหน้านั้น
ทุกอย่างดำเนินไปเหมือนเดิมกระทั่งวันศุกร์ พนิดาเตรียมตัวกลับคอนโด และคิดไว้ว่าจะแวะไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตก่อน เธอมีเสื้อผ้าเพียงพอที่นั่นไม่ต้องขนมาเพิ่มเพราะซื้อไว้บ้าง เนื่องจากบางวันก็แวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดก่อนไปงานเลี้ยงที่ต้องไปหลังเลิกงาน
ครืด...ครืด...
เสียงมือถือที่สั่นในเวลาก่อนเลิกงานไม่กี่นาทีทำให้พนิดาเหลือบมอง เป็นเบอร์ที่เธอไม่ได้เมมเอาไว้และไม่คุ้น หากหญิงสาวก็รับโดยไม่คิดมาก
“สวัสดีค่ะ”
‘ผมเองครับคุณวุ้น กลัวคุณไม่รับสายจะแย่’
“ซัน”
ได้ยินเสียงทุ้มใจเธอก็กระตุก แล้วพึมพำชื่ออีกฝ่าย ทั้งที่ผ่านมาทั้งอาทิตย์เขาไม่ได้ติดต่อเธอเลย ส่วนเธอเองก็ยุ่งกับงานเอกสารของสำนักพิมพ์ที่ต้องจัดการ งานของโรงพิมพ์ที่ต้องดูไปพร้อมกัน ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น
‘คิดถึงคุณวุ้นที่สุดเลยครับ’
ปลายสายอ้อนมาอีกแล้ว คนได้ยินถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ภาสกรดูมุ่งมั่นเหลือเกินกับการพยายามเอาตัวเขามาผูกติดกับเธอ หญิงสาวยังไม่คิดว่าเรื่องระหว่างเธอกับชายหนุ่มเป็นเรื่องจริงจัง หากก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาทำให้ใจเธออ่อนยวบยาบแถมยังสั่นหวั่นไหวไม่น้อยเลย เธอแพ้ทางลูกอ้อนของชายหนุ่มเสมอ
‘วันนี้พักคอนโดไหมครับ’
เมื่อเธอไม่ตอบอะไรภาสกรก็ถามเข้าประเด็น
“เอ่อ...คือ...”
‘อึกอักหมายความว่าพัก’
‘ฉลาดเป็นกรดเลยนะ’
พนิดาค่อนขอดในใจ
‘ผมไปหาคุณวุ้นที่คอนโดนะครับ คงเลิกงานช้าสักหน่อย อยู่ดึกมาทั้งอาทิตย์จนวันศุกร์แน่ะ’
เดาได้ไม่ยากว่างานที่ชายหนุ่มไปเริ่มใหม่คงวุ่นวายประมาณหนึ่ง เพราะจำได้ว่าพริษฐ์เคยบอกกับพี่ชายไปว่าเขาอยากปรับปรุงเว็บไซต์ใหม่ แถมยังคิดจะจัดการระบบภายในไอทีใหม่อีกด้วย เชื่อว่าน้องชายเธอต้องการให้ภาสกรช่วยในส่วนนี้ด้วยเพราะเขาอยากได้คนที่มีความสามารถหลากหลาย มากกว่าเป็นเว็บมาสเตอร์
“ไม่เหนื่อยหรือไง ทำงานหนักมาทั้งอาทิตย์แล้ว”
เธอเองกลับถึงบ้านกินข้าวอาบน้ำแล้วยังหลับทันทีด้วยความเพลียทุกวัน
‘เพราะเหนื่อยสิครับ ถึงอยากเจอคุณวุ้น’
“อ้อนเก่งจัง”
เธอบ่นเขาแล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอมาตามสาย
‘ต้องอ้อนไว้ก่อนสิครับ แม่คุณทูนหัวจะได้เอ็นดู’
พนิดาถอนหายใจราวระอาให้อีกฝ่ายได้ยินทว่าชายหนุ่มก็ยังไม่ละความพยายาม
‘แต่ถ้าคุณวุ้นอยากอ้อนบ้างก็ได้นะครับ ผมก็ชอบให้แฟนอ้อนเหมือนกัน’
“สรุปจะมาให้ได้ใช่ไหม”
เธอตัดบทเมื่ออีกฝ่ายชวนคุยในสิ่งที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจ
‘ครับ’
“งั้นมาถึงแล้วก็โทรมาแล้วกันนะจ๊ะ”
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าเธอยอมตามใจเขาเพราะใจอ่อน หรืออ่อนใจกับพฤติกรรมรุกอย่างไม่ลดละของชายหนุ่มกันแน่ ทั้งที่เข้าใจว่าภาสกรกับตนเองไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่พนิดากลับไม่อยากใจดำกับเขา ไม่คิดปฏิเสธไปอย่างเด็ดขาด ในเมื่อเขาเคยบอกว่าให้เธอใช้หัวใจตัดสินใจเรื่องของเขากับเธอ หญิงสาวจึงเลือกที่จะเปิดโอกาสให้ตนเอง
เธอข้ามผ่านวัยรุ่นวัยเรียนรู้มาจนถึงอายุสามสิบสองปีโดยไร้ประสบการณ์เรื่องหัวใจ หากจะทำความรู้จักในตอนนี้ก็คงไม่แย่นัก คนเราต้องเติบโต และเธอก็ต้องศึกษาในเรื่องความรักเอาไว้บ้างเพราะอย่างไรเสียอายุก็ไม่ใช่น้อยแล้ว คงไม่เป็นไร หากเธอจะนัดเจอกับภาสกรในเย็นวันศุกร์ตามประสาคนที่เรียนรู้กันและกัน ไม่แน่ชายหนุ่มอาจสนใจเธอไม่นาน ถึงตอนนั้นการพบปะกันก็คงจบลง แล้วเธอก็จะได้ประสบการณ์เรื่องหัวใจ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงมากขึ้น แล้วก็น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ในงานที่ทำอยู่ได้
นิยายของเธอขาดเสน่ห์ในเส้นรัก ก่อนหน้านี้สองเล่มเธอจ้างบรรณาธิการอิสระดูงานและต้องปรับปรุงเรื่องรักอยู่มาก อนงค์นางเองก็บอกเธอเหมือนกัน แต่อีกฝ่ายบอกว่าอยากให้บก.คนอื่นได้ดูด้วย เพราะเป็นเพื่อนกันแล้วอาจเข้าข้างเธอจนมองข้ามจุดที่เป็นปัญหาของเรื่องไป
เอาเถิด เลี้ยงผู้ชายสักคนคงไม่ลำบากเท่าไรหรอกมั้ง ในเมื่ออีกฝ่ายต้องการให้ใช้หัวใจดูแลเขา ถือเสียว่าเธอเองจะได้ประโยชน์จากการที่ภาสกรคิดจีบเธอเช่นกัน
แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องไม่ให้พี่ชายกับน้องชายของเธอระแคะระคายจนรู้ไปถึงหูบิดา ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีสิทธิ์ก้าวออกจากบ้านอีก และอาจถูกสั่งให้ขายคอนโด
=====
“อยากทำแบบนี้กับคุณวุ้นตั้งแต่วันที่แอบจูบแน่ะ”เสียงทุ้มดูสนุกตื่นเต้น ทว่าคนได้ยินอายจนตัวแทบม้วน“ใครจะยอม”“รู้ว่าวันนั้นไม่ยอม แต่วันนี้ยอมนะครับ”คุยไปด้วยมือหนาก็ดึงชายเสื้อที่อยู่ในขอบเอวกระโปรงหญิงสาวขึ้น สอดมือเข้ามาเคล้นคลึงอกอวบภายใน ปลุกเร้าอารมณ์สาวไปด้วยอย่างไม่ยอมเสียเวลา สะโพกสวยถูกบดเบียดรุมร้อน เร่งความปรารถนาให้กับคนทั้งคู่ พนิดารับรู้ถึงกายแกร่งชัดเจน“อื้อ ใจร้อนไปไหม เร็วจัง”“กับคุณวุ้นก็เร็วตลอดอยู่แล้วนี่ครับ”ชายหนุ่มยิ้มมุมปากทั้งยังขยับสะโพกเข้าหาไม่หยุด กับพนิดาแล้วเขาไม่เคยรู้สึกตัวช้าเลย หากก็รั้งตัวเองให้เวลาหญิงสาวเสมอ“นะครับ ขอนะ”เสียงทุ้มครางพร่าชิดซอกคอนุ่มบ่งบอกว่าเจ้าตัวมาถึงจุดที่ฝืนไม่ไหวแล้ว นอกจากเขาจะตั้งใจเร่งร้อนแล้วน้ำตาของหญิงสาวก็ทำให้เขายิ่งอยากกอดเธอ ภาสกรแพ้น้ำตาอีกฝ่ายเห็นเมื่อไรทนไม่ได้ทุกที อยากกอดอยากคลุกเคล้ากระโปรงบานพอดีเข่าไม่ยากที่จะรั้งขึ้นสูง มือหนาโลมเล้าผ่านผ้าเนื้อบางแนบสัดส่วนอ่อนไหว ปากก็เม้มผิวเนื้ออ่อนข้างลำคอ ได้ยินเจ้าของร่างบางหอบแรงและไม่มีเสียงห้ามปรามอีกแล้ว เขาจึงเดินหน้าดูแลให้ หญิงสาวพร้อมก้าวขั้นต่อไป ซ
1 ปีผ่านไป...ภาสกรไปส่งพนิดาทุกบ่ายวันเสาร์ตามคำสั่งของคุณไพศาลหลังจากหญิงสาวอยู่กับเขาที่คอนโดในคืนวันศุกร์ และอยู่กินข้าวเย็นที่นั่นทุกวัน ชายหนุ่มไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของบิดาหญิงสาวนัก หากท่านก็ยอมรับในตัวเขา เพราะถือว่าทำมาหากินดูแลตัวเองมาตั้งแต่เรียนจบ ค่อนข้างมีความมั่นคงในหน้าที่การงาน และเป็นคนเก่งคนหนึ่ง โดยข้อนี้พศินกับพริษฐ์ยืนยันเสียงเดียวกัน ถือว่าอนาคตไกล ส่วนกับคุณดารณีนั้นท่านถูกใจ ชายหนุ่ม เพราะเขาเอาใจเก่งปากหวานกับท่านเหมือนกับพนิดา และเอาอกเอาใจท่านกับหญิงสาว ต่างจากคุณไพศาลที่ชายหนุ่มไม่เข้าหาหรือตีสนิท เขาวางตัวปกติ ตอบคำถามอย่างเป็นการเป็นงานข้อนี้พนิดาบอกกับมารดาว่าน่าจะเพราะภาสกรไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่อบอุ่นจากบิดาของเขา เขาอยู่กับมารดา เมื่อสูญเสียมารดาก็โหยหาความรักความทะนุถนอมอ่อนโยนแบบที่เคยได้รับ จึงชินกับการเข้าหาผู้หญิงและทำให้รักเอ็นดูตนเองมากกว่าผู้ชาย สังเกตได้จากที่ชายหนุ่มสนิทกับผู้หญิงหลายคนในที่ทำงาน รวมทั้งอนงค์นางกับนิอรด้วยตอนนี้ภาสกรมีคีย์การ์ดสำรองเข้าห้องของพนิดาได้โดยที่หญิงสาวไม่ต้องลงไปรับอีกแล้ว หลังจากล้างหน้าล้างตาก็มาหาเจ้าของร่าง
“อือ ซัน”เสียงหวานพึมพำเมื่อชายหนุ่มเร่งมือก่อนจะตัวสั่นเล็กน้อย ทว่าเพียงเท่านั้นยังไม่พอ อีกฝ่ายปล่อยให้หน้าอกเธอเป็นอิสระ ใบหน้าขาวคมซุกไซ้ลงเรื่อยไป หากก็ไม่ลืมพาเธอลงไปนอนแล้วเปิดเปลือยร่างงามไปด้วยเมื่อหญิงสาวไร้ซึ่งเสื้อผ้า เขาก็ปลดเปลื้องตนเองเช่นกันอย่างไม่ให้น้อยหน้า พาร่างสูงกำยำแทรกกลางเรียวขาสวย หากเมื่อเคลื่อนใบหน้าลงต่ำก็ได้ยินทักแผ่วหวิว“ซันจ๊ะ”พนิดาอายที่เขาจะทำแบบนี้กับเธออีก เพราะเวลานี้ร่างกายเธอตอบสนองว่าตนเองพร้อมแล้ว ทว่าชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนพร้อมบอก“ผมอยากทำครับ”หน้าที่ร้อนผ่าวอยู่แล้วของเธอร้อนราวกำลังไหม้เมื่อตามองใบหน้าขาวคมฝังลงกลางกาย สัมผัสนุ่มนวลอ่อนโยน หากก็ประชิดทุกซอกมุมทำให้เธอเขินสุดขีด แต่ก็ต้องยอมรับว่าปลายลิ้นร้อนชื้นกับปากอุ่นทำให้เธอรู้สึกดีอย่างเหลือแสน สุขสมเต็มอิ่มล้นอกภาสกรไล้ปากกับปลายลิ้นอย่างพึงพอใจ ความงามตรงหน้าเชิญชวนให้ลิ้มชิมไม่รู้เบื่อ ยิ่งเห็นสะโพกสวยขยับ เขาก็ยิ่งปรนเปรอหญิงสาว หากมือหนาก็ไม่ลืมเตรียมตนเองไปด้วย ใช่ว่าเขาไม่ลุกเพราะพนิดา แต่เพราะอยากตื่นตัวถึงขีดสุดเพื่อจัดเต็มในทันทีที่ชิดใกล้ต่างหาก แน่นอนว่าครั้งนี้เขา
พนิดาไม่ยอมให้ภาสกรอาบน้ำด้วยแม้เขาจะอ้อนแค่ไหนก็ตาม ขณะกินข้าวด้วยกันเจ้าตัวก็ส่งสายตาคมวาบหวามให้เธออย่างมีความนัยตลอดเวลาจนเธอต้องถอนหายใจให้รู้ว่าอ่อนใจกับเขาแค่ไหน ทว่าแทนที่ชายหนุ่มจะสลดกลับหัวเราะกรุ้มกริ่มในลำคอเสียอย่างนั้น“ซันล้างจานแล้วกันนะ”หญิงสาวบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินหนีไปทันที ทั้งที่ปกติเธอจะช่วยเขา แม้ชายหนุ่มจะอาสาทำเองก็ตาม ทำเอาภาสกรได้แต่เกาหัว“สงสัยแสดงออกมากเกินไปแฮะเรา”หลังจากจัดการในครัวเรียบร้อย ภาสกรก็ไปยังห้องทำงานของพนิดาเพราะคิดว่าหญิงสาวน่าจะอยู่ในนั้น ร่างสูงกำยำชะงักเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนหันหลังหาอะไรสักอย่างบนชั้นหนังสือขณะคุยโทรศัพท์“หึๆ ไม่ต้องอ้อนเลยอ้น ไม่ได้ผล”คิ้วเข้มขมวด พยายามตีความกับสิ่งที่ได้ยิน“ไม่...ไม่เล่า”พนิดาเสียงแข็งแต่ก็เจือความขำ“หาเอาเองสิจ๊ะ ผู้ชายแซบๆ น่ะ ไม่ได้เก็บได้ตามถนนสักหน่อย”ภาสกรเริ่มย่องเบาๆ เข้าไปใกล้ร่างบาง เหมือนเธอจะได้หนังสือเล่มที่ต้องการแล้ว“ไม่ให้ลูบ หวง...เด็กใครเด็กมัน วุ้นยังไม่สนใจจะยุ่งกับเด็กอ้นเลย”คราวนี้เขาหยุดไม่ห่างจากหญิงสาวนักแล้วเกาหัว“เดี๋ยวจะกระซิบบอกซันว่าเจอกันอ้นจะแอบลูบกล้าม เขาจะได้ร
“ตอนนี้มีแต่กลิ่นกับข้าวมั้งจ๊ะ”เธอแย้งเสียงเบาหวิวอารมณ์ใคร่ตีตื้นวนเวียนเพราะมืออีกฝ่ายไม่ได้อยู่นิ่ง“ไม่ครับ หอม”ชายหนุ่มย้ำแล้วจูบซ้ำมาอีก คลอเคลียปากกับจมูกจนผิวอ่อนเริ่มแดงเพราะไรเครา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเม้มแล้วจูบแรงขึ้น ร่างบางสะดุ้งนิดๆ ขณะที่มือหนาไล้วนช่วงท้องน้อยไม่ห่าง“ซันจ๊ะ ขาวุ้น...”พนิดาชักจะยืนไม่ไหวแล้ว เธออ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว เมื่อบอกไปแล้วอีกฝ่ายก็ช้อนอุ้มเธอขึ้นพาเดินมายังโซฟา ทิ้งกระเป๋าเป้ของเขาไว้ที่พื้นหน้าประตูห้องอย่างนั้นชายหนุ่มวางคนตัวเล็กให้นั่งบนโซฟา ส่วนตนคุกเข่าข้างหนึ่งคร่อมข้างสะโพกสวยโน้มหน้าลงไปหาปากอิ่มแสนหวาน ขณะเดียวกันก็ถอดสูทของหญิงสาวออก ลูบผะแผ่วไปบนบ่าบอบบาง ทรวงอวบงดงาม หน้าท้องขาวผ่องแล้วกลับมากอบกุมบีบกระชับหน้าอกหน้าใจที่เสื้อตัวสั้นลูกไม้สีขาวโอบอยู่ สิ่งที่รับรู้ทำให้ภาสกรถอนจูบ ตาคมหลุบลงมองแฟชั่นแสนเซ็กซี่ของคนรักแล้วยิ้มมุมปาก มีเสื้อสูทคลุมก็ดูเรียบร้อยดี ใครจะไปคิดว่าด้านในจะทั้งหวานทั้งเซ็กซี่ขนาดนี้ เขารู้มาบ้างว่าบางครั้งสาวๆ ก็ใส่เพียงเสื้อชั้นในด้านในสูท ทว่าผิวขาวนวลกับเสื้อลูกไม้ขาวตัวสั้นบนเรือนร่างงามลออของพนิดาก็เห
ร่างสูงกำยำที่ยืนล้วงกระเป๋ากางเกงหน้าประตูแผนกทำให้คนที่เพิ่งก้าวออกมาเห็นรีบเดินเข้าไปตบไหล่หนา“เฮ้ย มาทำอะไรถึงนี่ หรือมาหาเพื่อนกินข้าว”จักรินทร์ถามเจ้าตัวก็หันมายกมือไหว้เขา“พี่โจ๊ก สวัสดีครับ”ภาสกรทักทาย ขณะนั้นหลายคนในแผนกเริ่มออกมาแล้วมองเขาอย่างสนใจและทักเช่นกัน เพราะไม่ได้เห็นหน้าเท่าไรนัก รวมทั้งญาดาด้วย“ว่าแต่ ทำไมหน้าเหมือนไปกินยำตีนมาวะ”คนถูกถามยิ้มขื่น ญาดาซึ่งเดินมาใกล้จึงเอ่ยแทน“ซันมันไปสะดุดตอใหญ่มาก”“สะดุดตอก็น่าจะล้ม ทำไมไม่หัวแตก แต่ดันปากแตกหน้าช้ำ”จักรินทร์ยิ่งสงสัย หลายคนขมวดคิ้วไปตามๆ กัน“นั่นสิคะพี่พริก”นัชชาสาวกราฟิกคนสนิทของญาดาพูดพร้อมพยักหน้า“น่า บอกว่าสะดุดตอก็สะดุดตอสิ แล้วนี่...อย่าบอกนะว่ามา...”ดวงตาคู่กลมโตของญาดาเหลือบเข้าไปข้างในแวบหนึ่งโดยไม่พูดอะไร ขณะที่ภาสกรยกยิ้มมุมปาก ทำเอาคนอื่นยิ่งสงสัย แล้วสามสาวเพื่อนซี้รุ่นใหญ่ในแผนกก็ออกมาพอดี“มายืนมุงอะไรกันตรงนี้จ๊ะ ไม่รีบไปกินข้าวเหรอ”เสียงอนงค์นางดังขึ้นทำให้หลายคนเริ่มขยับตัว ทว่าเมื่อปรากฏร่างสูงกำยำท่ามกลางผู้คนหญิงสาวก็ถอนหายใจ ทว่าเสียงที่ทักขึ้นเป็นนิอร“แหม มารอเร็วจังนะพ่อคุณ”