Masukเกลเดินเข้าห้องคอนโดมาอย่างเงียบเชียบ เธอรีบล็อกประตูถึงสองชั้น ความเหนื่อยล้าทางร่างกายผสมกับความหวาดระแวงทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ เกลโชคดีที่มาถึงคอนโดโดยปลอดภัย
เธอไม่ได้สนใจจะเปิดไฟมากนัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง และพยายามบังคับตัวเองให้ข่มตาหลับเพื่อหนีความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวัน
แต่หลังจากที่เธอนอนหลับไปได้ไม่นาน
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...
เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เป็นจังหวะสั้น ๆ แต่ดังชัดเจนในความเงียบสงัดของยามวิกาล
เกลสะดุ้งสุดตัว เธอผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่ถูกรัวตีด้วยความหวาดกลัวที่กลับมาอีกครั้ง เธอตกใจมากจนต้องร้องไห้
นี่มันก็ตีสองแล้ว!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังและถี่ขึ้น เกลมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวาดผวา เธอรู้ดีว่าคนที่พักอยู่ในคอนโดนี้ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ และไม่มีใครมาเคาะประตูบ้านคนอื่นในเวลานี้แน่ๆ
เธอไม่รู้ควรโทรไปหาใครดี จะโทรหาเมษาหรือข้าวฟ่างตอนนี้ก็คงจะรบกวนมากเกินไป และเธอก็ไม่กล้าปลุกใคร
มือของเธอสั่นเทาเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาของเธอกวาดมองรายชื่อในสมุดโทรศัพท์อย่างว้าวุ่น
สุดท้ายแล้ว ในนาทีที่อ่อนแอและสิ้นหวังที่สุด คนที่เธอเลือกโทรไปกลับเป็นเพื่อนสมัยเด็กของเธอ นิ้วเรียวสั่น ๆ กดโทรออกไปยังหมายเลขที่เธอไม่ได้โทรหามานานหลายปี
เกลแนบโทรศัพท์เข้ากับหู พร้อมกับเสียงสะอื้นที่แทบจะขาดใจ ร่างกายของเธอสั่นเทาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ความหนาวเย็นไม่ได้มาจากเครื่องปรับอากาศ แต่มาจากความหวาดกลัวที่เกาะกุมจิตใจเธอ
“ฮัลโหล” เสียงทุ้มต่ำที่ดูงัวเงียดังขึ้นจากปลายสาย มันเป็นเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงที่เธอไม่อยากได้ยินที่สุด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงความหวังเดียว
“คิน” เกลเรียกชื่อเขาด้วยเสียงสั่นเครือ “ช่วย ช่วยเกลด้วย”
ปลายสายเงียบไปชั่วขณะ เพียงเสี้ยววินาทีนั้นก็ยาวนานราวกับชั่วโมง เสียงงัวเงียของคิรินหายไปในทันที ถูกแทนที่ด้วยน้ำเสียงที่ ตื่นตัวและฉับไว อย่างที่ไม่เคยใช้พูดกับเธอมาก่อน
“เกล! เป็นอะไร!?” คิรินถามกลับด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเขากำลังสลัดความง่วงทิ้งไปทั้งหมด
“มี มีคนเคาะประตู” เกลตอบทั้งน้ำตา เสียงเคาะด้านนอกยังคงดังขึ้นเป็นจังหวะ แต่ตอนนี้มันเบาลงกว่าเดิมเล็กน้อย เหมือนคนเคาะกำลังใช้ความอดทนในการรอคอย “ใครไม่รู้ เรากลัว ฮึก”
เธอไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากเสียงสะอื้นที่ดังขึ้น ความกลัวทำให้คำพูดของเธอขาดหายไปจนหมดสิ้น ความเงียบในห้องคอนโดที่เคยกว้างขวาง บัดนี้กลับกลายเป็นพื้นที่แคบๆ ที่พร้อมจะบีบเธอให้ตาย เธอได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองเต้นรัวแข่งกับเสียงเคาะประตูที่มาเป็นพักๆ
“ใจเย็นนะเกล!” คิรินสั่งเสียงหนักแน่น เขาไม่ถามต่อว่าใครเคาะ แต่ถามถึงสถานการณ์ทันที “อยู่ชั้นไหน! ล็อกประตูหรือยัง!?”
“ล็อกแล้ว ชั้นสิบสาม” เกลตอบอย่างสับสน
“ดีมาก!” คิรินตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อย่าตัดสาย! อยู่ตรงนั้น! ฉันกำลังไป! ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด! ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม!”
เสียงสุดท้ายของคิรินฟังดูดุดันและเอาจริงเอาจัง จนเกลต้องกอดโทรศัพท์ไว้แน่น
เกลยังคงอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนา มือของเธอกำโทรศัพท์ไว้แน่นจนเหงื่อซึม เธอได้ยินเสียงของคิรินจากปลายสาย แต่ความรู้สึกปลอดภัยยังมาไม่ถึง ความเงียบที่คิรินทิ้งไว้หลังการสั่งการยิ่งทำให้ห้องคอนโดดูเหมือนหลุมหลบภัยที่กำลังจะพังทลาย
“เกล! อยู่ตรงนั้น! ฉันกำลังไป! ห้ามเปิดประตูเด็ดขาด!” เสียงดุดันของคิรินยังคงก้องอยู่ในหู
หญิงสาวพยายามหายใจเข้าออกช้าๆ ตามคำสั่งของเขา ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูทางเข้าที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนา
ปัง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นเพียง การเคาะเบาๆ เพียงครั้งเดียว แต่มันเป็นเสียงที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันมาพร้อมกับความนิ่งเงียบที่รอคอย
เกลแนบโทรศัพท์เข้ากับใบหน้าอีกครั้ง เธอพยายามฟังเสียงที่มาจากปลายสาย
“คิน” เธอเรียกเขาเบาๆ “เขา เขาเคาะอีกแล้ว”
“ฉันรู้” เสียงของคิรินดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ก็ฟังชัดเจนจากลำโพง “เขาแค่ต้องการให้เธอรู้ว่าเขายังอยู่ ห้ามตอบโต้! พยายามฟังเสียงรอบๆ จำไว้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว”
คำว่า 'ไม่ได้อยู่คนเดียว' เป็นเหมือนพลังงานเล็กๆ ที่ช่วยยึดเหนี่ยวเธอไว้ได้ กลิ่นน้ำหอมที่คิรินเคยใช้แกล้งเธอเมื่อวันก่อนๆ ลอยขึ้นมาในความคิดอย่างประหลาด มันไม่ใช่กลิ่นที่อบอุ่น แต่เป็นกลิ่นที่เฉียบขาดและมีอำนาจ
เสียงเคาะไม่ดังขึ้นอีก แต่เกลสาบานได้ว่าเธอได้ยิน เสียงบางอย่างกำลังลากผ่านพื้นทางเดินหน้าห้อง มันเบามากจนอาจเป็นเพียงเสียงลม แต่ความหวาดระแวงทำให้ทุกอย่างขยายใหญ่
เกลมองไปยังนาฬิกาดิจิทัลข้างเตียง เวลาเพิ่งผ่านไปแค่สี่นาที ตั้งแต่เธอโทรหาคิริน
คิรินเดินทางมาถึงคอนโด อย่างรวดเร็ว เขาจอดรถออดี้ สีดำคันหรูแบบลวก ๆ โดยไม่สนใจกฎใด ๆ แล้วพุ่งตัวขึ้นลิฟต์มายังชั้นสิบสามทันที สภาพของเขาคือเหงื่อท่วมไปหมด ทั้งที่ใส่เพียง ชุดนอน เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงวอร์มที่หยิบมาอย่างเร่งรีบ เขาพกมาแค่มือถือกับกุญแจรถเท่านั้น
เขาเดินสำรวจโถงทางเดินชั้นสิบสามที่ดูเงียบสงบ แต่ไร้ซึ่งกล้องวงจรปิดในจุดที่ควรมี คิรินสบถอย่างหัวเสีย
“คอนโดราคาเกือบสิบล้าน แต่ทำไม การป้องกันภัยมันต่ำอย่างนี้วะ!” เขาบ่นอย่างสลดใจ แล้วก้มลงแนบหูฟังเสียงที่มาจากประตูห้องของเกล เขาเคาะประตูเรียกเบา ๆ แต่หนักแน่น
“เกล! เปิดประตู! คินเอง! ยัยตัวแสบ! เขาใช้คำว่า 'ยัยตัวแสบ' เป็นปกติ แต่คราวนี้ไร้ซึ่งความกวนประสาท มีเพียงความเร่งรัด
ประตูถูกกระชากเปิดออกทันที
ไม่ทันที่คิรินจะได้ก้าวเข้าไปในห้อง ยัยตัวเล็กก็พุ่งเข้ามากอดเขาอย่างแรง ราวกับท่อนไม้ที่กำลังจมน้ำ เธอซบหน้าเข้ากับอกที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขา พร้อมกับร้องไห้เป็นเด็ก สะอึกสะอื้นจนตัวโยนอย่างไม่สนใจว่าเขาจะสกปรกหรือเพิ่งสั่งให้เธอขอโทษไปเมื่อวาน
ความโกรธที่สะสมมาจากการขับรถและสถานการณ์ยามวิกาลหายไปสิ้น มือหนายกขึ้นลูบเส้นผมสีบลอนด์อ่อนของเธออย่างปลอบโยน เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำหน้าที่นี้อย่างเต็มใจนับตั้งแต่พวกเขาทะเลาะกัน
“ฉันอยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว” คิรินกระซิบเบา ๆ
เขาประคองเกลให้เข้ามาในห้อง ปิดประตู แล้วล็อกซ้ำอีกหลายชั้น เขาพาเกลเข้าไปนั่งตรงโซฟา ตัวใหญ่ในห้องนั่งเล่น ก่อนจะปล่อยให้เธอได้ซบหน้ากับไหล่ของเขาอีกครั้ง
คิรินปล่อยให้เกลร้องไห้จนกระทั่งเธอสงบลง ร่างกายที่อ่อนล้าทำให้เธอซบแน่นอยู่กับไหล่ของเขาอย่างปลอดภัย
หลังจากเกลสลบลงไปในอ้อมกอดของเขา คิรินก็ค่อยๆ พาร่างบางไปนอนที่เตียงในห้องนอนใหญ่ของคอนโดอย่างแผ่วเบา เกลจับเสื้อยืดของเขาไว้แน่น จนเขาต้องพูดแซวเพื่อสลายความอ่อนไหว
“จะจับแน่นขนาดนี้ทำไมครับ? อยากนอนด้วยกันหรอ ยัยตัวแสบ” คิรินพูดแซวเล่นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด
ทันทีที่ได้ยินคำนั้น คนตัวเล็กก็ปล่อยมือทันที พร้อมหันหลังให้เขาโดยอัตโนมัติ
คิรินหัวเราะเบาๆ เขาคลุมผ้าห่มให้เธอ แล้วเดินออกมาจากห้องนอนอย่างเงียบเชียบ
เขาเดินกลับมาที่โซฟาตัวเมื่อกี้ แล้วทิ้งตัวลงนอนในสภาพชุดนอนที่เปียกเหงื่อ รออีกแป๊ปเดียวก็จะเช้าแล้ว
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว วันนี้เขาจะไม่ไปมหาลัย
เขาพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ลงในกลุ่มแชทของแก๊งหนุ่มบริหารอินเตอร์ฯ
Kirin: กูไม่ไปเรียนวันนี้
D.Day: ไมอะ
Kirin: เรื่องของกูไหมครับ
Day: เอ้า ไอ ควายริน
Kirin: แล้วฝากบอกพวกเมษาด้วย ว่าเกลมีปัญญา ถ้ามีใครถาม ให้บอกว่าเกลปวดหัวหยุดไปแล้ว
Win.BM: นี้มึงอยู่กับเกล? ยังไงครับ
Night.T: สติ๊กเกอร์ทำหน้างง
ข้อความถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจเพื่อนของเขา เขาวางโทรศัพท์ลงแล้วเอนกายพิงพนักโซฟา แสงสลัวๆ ของยามเช้ามืดเริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง แต่คิรินไม่ได้หลับตาลงเลย เขาเพียงแค่มองเหม่อไปยังประตูห้องนอนของ ยัยตัวแสบ ของเขา
เกลและคิรินเดินออกมาจากสถานีตำรวจในสภาพที่ดูอ่อนเพลียและไม่ได้นอน คิรินเพิ่งคุยโทรศัพท์จบกับอรุณีแม่ของเกลโดยเดินออกห่างจากเกลเล็กน้อยเพื่อความเป็นส่วนตัว
“ครับ คุณป้าอรุณี ไม่ต้องห่วงนะครับ” คิรินพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพและจริงใจตามภาพลักษณ์ของเขา “ผมจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย ใช่ครับ เกลแค่ตกใจเรื่องเสียงดังเฉย ๆ ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้วครับ”
คิรินหยุดเดินแล้วมองไปยังเกลที่ยืนอยู่ข้างรถ
“ไม่ต้องกังวลนะครับคุณป้า ผมจะดูแลเกลเองครับ วันนี้ผมจะขออนุญาตอยู่เป็นเพื่อนที่คอนโดก่อน”
คิรินกดวางสายแล้วหันมามองเกลที่กำลังเดินหงอย ๆ ตามหลังเขามา ดวงตาคมกริบของเขามีร่องรอยความไม่พอใจ แต่คราวนี้เป็นความไม่พอใจที่มาจากความห่วงใยจริง ๆ
“รู้ว่ามีคนตามมาหลายวันแล้วทำไมไม่บอก!” คิรินขึ้นเสียงอย่างอดทนไม่ไหว “รู้ว่ามีโน้ตแปลก ๆ ทำไมไม่โทรหาฉันตั้งแต่แรกวะ! ถ้าฉันไม่รับสายเมื่อคืนจะทำยังไง!?”
เกลแรก ๆ ก็หงอย เพราะรู้สึกผิด แต่พอโดนบ่นชุดใหญ่ขนาดนี้ ความโมโหก็เข้าครอบงำแทน
“คินจะบ่นอะไรเนี่ย!” เกลโมโหใส่ทันที เธอยืนเท้าสะเอวแล้วจ้องหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว “บ่นเป็นพ่อเลยนะ! คินอยากให้เกลโทรไปหาแม่? นายอยากให้แม่รู้เรื่องที่เกล” เธอชะงักคำพูดสุดท้ายไว้ทันท่วงที
คิรินถอนหายใจยาว “เออ! ฉันบ่น! เพราะฉันห่วง! อย่างน้อยก็ต้องบอกเมษาหรือข้าวฟ่างก็ได้มั้ย!”
เกลเบือนหน้าหนีแล้วคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดกลุ่มแชทเพื่อน
น้องเกลค่ะ: ทุกคนนนน เกลปลอดภัยดีแล้วนะ ไม่ต้องห่วงนะ
Maysa: เกล! เป็นยังไงบ้าง!! ทำไมคิรินไลน์มาบอกว่าปวดหัวเฉยๆ!! เกิดอะไรขึ้น! ใครเคาะประตูห้องเธอตอนตีสอง!!??
คนอะไรเป็นข้าว : อะไรนะ!! คิรินอยู่กับแกจริงดิ!! OMG!!! แล้วเพื่อนเกลจะมีผัวแล้วหรอคะเนี่ย
MissPichy : ตีสอง!? เคาะประตู? นี่มันหนังสยองขวัญป่ะ แกไปเปิดศึกกับผู้ชายที่ไหนมาอีกป่าว** แล้วอีข้าวฟ่าง แกอย่างหลงประเด็น
น้องเกลค่ะ: เรื่องมันยาว! ไว้ค่อยเล่า สรุปคือไม่เป็นไรแล้ว คินอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้วเมื่อคืน พวกแกไปเรียนไป!
MissPichy : อุ๊ย! 'คิน' เลยเหรอ! เรียกชื่อสนิทด้วย! (สติ๊กเกอร์อีโมจิรูปหัวใจสีชมพู) โอเคๆ ไม่ห่วงแล้วค่ะ! สนุกให้เต็มที่นะจ๊ะ ยัยหนู
คิรินมองโทรศัพท์ของเกลแวบหนึ่งแล้วตัดบททันที “เลิกคุยเรื่องเพื่อน! ทีนี้ถึงตาเธอต้องเล่าความจริงให้ฉันฟังทั้งหมด! เราเสียเวลาไปแจ้งความเรื่องเสียงเคาะประตูแล้ว ซึ่งได้แค่ 'ลงบันทึกประจำวัน' เท่านั้น แต่ฉันเชื่อว่านี่ไม่ใช่เรื่องโจ๊ก”
คิรินจ้องตาเกลแน่น “เธอพูดถึง โน้ตแปลกๆ ที่ติดอยู่หน้าห้องเมื่อหลายวันก่อน คืออะไร? ลักษณะมันเป็นยังไง?”
เกลมองเขาด้วยความประหลาดใจ เธอยอมจำนนเมื่อเห็นสายตาเอาจริงเอาจังของเขา
“มัน มันเป็นกระดาษ A4 สีขาว” เกลตอบเสียงเบาลง “มีแค่ข้อความเดียว”
“ข้อความว่าอะไร?”
เกลกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเคือง “ ‘ผมชอบคุณครับ’ แค่นั้นแหละ แล้วเกลก็ฉีกทิ้งไปแล้ว”
คิรินเลิกคิ้วสูง “งั้นไอ้คนที่เคาะประตูมันไม่ใช่ขโมย แต่มันคือ แฟนคลับ ของเธอ”
คิรินพูดอย่างรวดเร็วและตระหนักถึงสาเหตุทันที “แฟนคลับที่กำลังคุกคาม! เธอน่าจะรู้ดีที่สุดว่าใครที่เข้ามาในไลฟ์บ่อยๆ ใครที่รู้ว่าเธออยู่คอนโดนี้ได้ยังไง! และใครที่เห็นเธอเป็น 'ยัยหนู' ที่อยากจะดูแล!?”
“เราไม่รู้!” เกลตอบอย่างหงุดหงิด “เกลไม่เคยเห็นใคร เกลแค่รู้สึกว่ามีคนมองมาตลอด! และเห็นโน้ตครั้งแรกหลังวัน ที่เกลไปวัดตัวให้คิน”
คิรินก้มหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก วันวัดตัว หรือว่าจะเป็นใครบางคนที่เห็นเธอเข้าออกตึกคณะ?
คิรินเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของเขาฉายแววตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
“เกล! นี่ไม่ใช่เวลามาเถียงกัน! ฉันตัดสินใจละ”
“ตัดสินใจอะไร!”
“ฉันจะอยู่กับเธอที่คอนโดนี้” คิรินพูดเสียงเข้ม “ฉันจะย้ายเข้ามาอยู่ชั่วคราว จนกว่าฉันจะจับไอ้โรคจิตนี่ได้! ตอนนี้มันอันตรายเกินกว่าจะให้เธออยู่คนเดียว และฉันสัญญากับคุณป้าอรุณีไว้แล้ว”
เกลเบิกตากว้าง “ไม่เอา คินจะบ้าเหรอเราอยู่ห้องเดียวกัน เตียงก็มีเตียงเดียว”
“คุณป้าอนุญาตแล้ว” คิรินตัดบท “ฉันไม่หื่นใส่เธอหรอก ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะโทรไปบอกคุณป้าอรุณีว่าเกิดเรื่องใหญ่กว่าที่เล่าจนฉันอีก”
เกลรู้สึกไม่พอใจจนแสดงออกทางสีหน้า ถ้าแม่เธอว่าเรื่องมาใหญ่กว่านั้น เธอคงได้รูมเมทเป็นแม่ตัวเองแน่ๆ
“โอเค” เกลตอบอย่างจำนน “แต่ห้ามแตะต้องของของเกลนะ”
“รู้แล้ว ยัยอ้วน” คิรินยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ เขายกโทรศัพท์ขึ้นมา
“ฉันต้องโทรหาเดย์ให้มันเอาเสื้อผ้ามาให้ฉันที่นี่ แล้วก็ให้มันช่วยสืบเรื่องไอ้แฟนคลับโรคจิตของเธอด้วย
เกลเดินเข้าห้องคอนโดมาอย่างเงียบเชียบ เธอรีบล็อกประตูถึงสองชั้น ความเหนื่อยล้าทางร่างกายผสมกับความหวาดระแวงทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ เกลโชคดีที่มาถึงคอนโดโดยปลอดภัยเธอไม่ได้สนใจจะเปิดไฟมากนัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง และพยายามบังคับตัวเองให้ข่มตาหลับเพื่อหนีความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันแต่หลังจากที่เธอนอนหลับไปได้ไม่นานก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เป็นจังหวะสั้น ๆ แต่ดังชัดเจนในความเงียบสงัดของยามวิกาลเกลสะดุ้งสุดตัว เธอผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่ถูกรัวตีด้วยความหวาดกลัวที่กลับมาอีกครั้ง เธอตกใจมากจนต้องร้องไห้นี่มันก็ตีสองแล้ว!เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังและถี่ขึ้น เกลมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวาดผวา เธอรู้ดีว่าคนที่พักอยู่ในคอนโดนี้ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ และไม่มีใครมาเคาะประตูบ้านคนอื่นในเวลานี้แน่ๆเธอไม่รู้ควรโทรไปหาใครดี จะโทรหาเมษาหรือข้าวฟ่างตอนนี้ก็คงจะรบกวนมากเกินไป และเธอก็ไม่กล้าปลุกใครมือของเธอสั่นเทาเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาของเธอกวาดมองรายชื่อในสมุดโทรศัพท์อย่างว้าวุ่น
เมษาเรียกคิรินให้ยืนตรงหน้าหุ่นตัดเสื้อพร้อมสายวัดในมือ ตอนแรกเมษาจะวัดให้ เอง แต่ทันใดนั้น เดย์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูเมษา ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ใบหน้าของเมษาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมษาดูเหมือนจะ ลังเล อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปทางเกลด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ“เกล... ฝากวัดตัวคิรินก่อนได้มั้ย พอดีข้าวฟ่างอยากจะปรึกษาฉันเรื่องผ้าข้างนอกน่ะ”เกลไม่ทันจะพูดถามเหตุผลหรือปฏิเสธ เมษาและข้าวฟ่างก็รีบลากเดย์ที่ยังยืนทำหน้ากวนประสาทออกไปจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องนอกจากเธอกับคิรินก็ออกไปกันหมดคิรินยิ้มอย่างได้ใจ เขายืนกอดอกมองเกลที่กำลังถือสายวัดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้ครับ ดีไซเนอร์” คิรินพูดกวน ๆเกลไม่พูดอะไร แต่ความโมโหทำให้เธอต้องระบายออก เธอฟาดไปที่ต้นแขนคิรินแน่นทันที ด้วยม้วนสายวัดที่อยู่ในมือ เสียงดัง "เพียะ" ดังขึ้นเบาๆคิรินไม่ได้เจ็บ แต่เขายิ้มกว้างกว่าเดิมอีก“โอ๊ย! ทำอย่างกับไม่อยากอยู่ด้วยเลยนะครับ เพื่อนรัก”เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ทันทีว่าการวัดตัวนี้คือ กับดัก ที่คิรินกับเดย์วางแผนไว้แน่นอนนอกห้องสตูดิโอเมษาที่เพิ่งออกจากห้องมาพร้อมกับข้าวฟ่างและ
ทั้งแปดคนมานั่งรวมกันที่ร้านหมูกระทะชื่อดังที่อยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัย โต๊ะถูกจัดแยกออกเป็นสองชุด ซึ่งทำให้ พิชชี่ ต้องบ่นออกมาเสียงดังก่อนจะยอมไปนั่งโต๊ะข้าง ๆ“ฉันไม่อยากนั่งกินกับเธอย่ะเกล คนอะไรมากินหมูกระทะ ไม่ยอมกินหมูสามชั้น!” พิชชี่ว่าพลางกอดอกอย่างงอนๆ ทำเหมือนจำยอมต้องไปนั่งกับเดย์และข้าวฟ่างที่อีกโต๊ะหนึ่งโต๊ะนั้นเหมือนจะมีเสียงเฮฮามาตลอดส่วน แต่โต๊ะนี้ดูจะเงียบและมีบรรยากาศตึงเครียดกว่ามากเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีไนท์แฝดน้องของเดย์ที่บอกว่ารำคานพี่ตัวเองขอมานั่งโต๊ะนี้แทนดังนั้นโต๊ะของเกลจึงมีเพียงเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีหม้อไฟหมูกระทะที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตรงกลาง เกลกินอย่างกับคนระบายอารมณ์ แต่สิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกเรื่องแต่คลีนๆไว้ เมษาค่อยส่งเนื้อหมูส่วนเนื้อแดงให้เธอเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ที่เธอกินจะเป็น กุ้ง ปลา และผักมากกว่าเพื่อกันน้ำหนักที่จะขึ้นหลังกินมื้อนี้โต๊ะข้างๆ ดูจะมีสีสันมากกว่าโต๊ะของเธอมากเพราะแค่เธอต้องสบตากวนประสาทของไอ้เด็กเลี้ยงแกะแล้วมันก็โคตรจะน่าหงุดหงิดเลยคิรินใช้ตะเกียบของเขาคีบหมูสามชั้นช
ห้องสตูดิโอของคณะศิลปกรรมศาสตร์ดูวุ่นวายกว่าปกติ เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ คลอไปกับเสียงฝีเท้าของนางแบบที่กำลังซ้อมเดินอยู่บนเวทีชั่วคราวเกลอยู่ในชุดนักศึกษาที่เสื้อเข้ารูปและกระโปรงสั้นตามแฟชั่น เธอผมบลอนด์อ่อน และแต่งหน้าอย่างประณีตราวกับเป็นนางแบบเสียเอง เธอนั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะกรรมการอย่างมาดมั่น ข้างๆคือข้าวฟ่างผู้กำลังจดบันทึกด้วยความตั้งใจและพิชชี่ ผู้ทำหน้าที่วิจารณ์ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน“คนนี้ดีไซน์สวยมาก แต่แววตาดูนิ่งๆไปหน่อย เราน่ะมันต้องใช้คนที่มี จิตวิญญาณนะยะ ไม่ใช่หุ่นยนต์!” พิชชี่บ่นพลางโบกมือปฏิเสธนางแบบคนที่สิบ“ใจเย็นๆ นะคะพิชชี่” ข้าวฟ่างพยายามปราม “เราเน้นที่รูปร่างก่อนค่ะ เพราะชุดของเรายังไม่เสร็จ”“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถ้านางแบบเราหากันไม่ได้จริงๆ ก็ให้เมษานี้แหละถ่าย” เกลสรุปเพราะตอนนี้เธอยังไม่เจอใครถูกใจเลย เมษารูปร่างสูงเพียวเหมือนนางแบบ ที่เธอกำลังเครียดตอนนี้คงจะเป็น นายแบบชายมากกว่าเมษา ในฐานะผู้ประสานงานหลัก ยืนอยู่ใกล้ประตู เธอกำลังใช้โทรศัพท์มือถือจัดการธุระอย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับกลุ่มนักศึกษาชายสามคนที่ก้าวเข้ามาเดย์ เดินนำหน้ามา
ห้องประชุมคณะกรรมการนักศึกษา, มหาวิทยาลัย Xเกลกับข้าวฟ่างกำลังก้มหน้าปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด โต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษสเก็ตช์และนิตยสารแฟชั่นเล่มหนา“ฉันคิดว่าเราควรใช้ผ้าดิบเป็นหลักนะเกล” ข้าวฟ่างเสนอ“แล้วค่อยใช้เทคนิคการปัก การลงสี และการพิมพ์ลายแบบศิลปะเข้ามา มันจะสื่อถึงคอนเซปต์เข้าถึงยาก ได้ชัดเจน”“อืม… ดีเลยข้าวฟ่าง” เกลตอบขณะที่กำลังวาดโครงสร้างคอเสื้อที่ดูแปลกตา“เราต้องออกแบบชุดสำหรับผู้หญิงให้เสร็จก่อน แล้วค่อยปรับให้เข้ากับสรีระนายแบบที่จะมาเดินคู่กัน แต่ปัญหาคือนายแบบน่ะสิ” เรื่องนางแบบเธอไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะเมษาจะรับหน้าที่นั้น เสียงประตูเปิดผางออกอย่างไม่สุภาพ ก่อนที่พิชชี่จะพุ่งเข้ามาพร้อมเมษาตามมาติด ๆ“เจอแล้ว! คนที่จะมาเป็นนายแบบของแกแล้ววเกล!” พิชชี่ประกาศเสียงดัง เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือที่เซฟรูปชายหนุ่มในอินสตาแกรมไว้แล้ว“ดูนี่สิ! วิน! ลูกชายเจ้าของแกลเลอรี่! เขาคือความดิบที่แสนจะแพง! เขาคือความหล่อของประเจ้าเลย”เกลหยิบโทรศัพท์ของพิชชี่มาดูอย่างพิจารณา ภาพชายหนุ่มที่ดูเย็นชาในชุดเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่มีร่องรอยของสีและผงฝ
โรงอาหารกลาง มหาวิทยาลัย Xกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนมานั่งรวมกันที่โต๊ะประจำในโซนที่เงียบสงบที่สุดของโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยเกลซึ่งมีใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างประณีตราวกับเพิ่งออกจากสตูดิโอกำลังกินสลัดไก่ย่าง ที่ไร้น้ำสลัดรสจัดจ้านเพื่อควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ขณะที่ข้าวฟ่างกินข้าวมันไก่ชามโตได้อย่างสบายอารมณ์“นี่! ฉันบอกแล้วไงว่าปีนี้เด็ดจริง! ฉันเห็นน้องปีหนึ่งสาขาการแสดงคนหนึ่งชื่อ ต้า” พิชชี่เริ่มเปิดประเด็นเม้าท์มอยทันทีที่นั่งลง เขาเลือกสั่งบะหมี่เกี๊ยวและกำลังใช้ช้อนเขี่ยหมูแดงส่วนมัน ๆ ออกอย่างประณีต“ไม่ต้องเขี่ยก็ได้มั้งพิชชี่” เมษาที่นั่งตรงข้ามพูดพลางหัวเราะเบา ๆ เธอเลือกเมนูมังสวิรัติ“ไม่ได้ย่ะ! ฉันเป็นศิลปะการแสดง! ฉันต้อง Maintain หุ่น! ไม่เหมือนพวกดีไซเนอร์บางคนที่กินแต่ผักกาดหอมจนจะกลายเป็นกระต่าย” พิชชี่ว่าพลางเหลือบมองจานสลัดของเกลเกลตักผักเข้าปากอย่างใจเย็น เธอจัดระเบียบเส้นผมสีบลอนด์และตรวจสอบการเขียนขอบตาของตัวเองผ่านกระจกในตลับแป้งเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แม้จะกินสลัด เธอก็ยังคงไว้ซึ่งความงามที่สมบูรณ์แบบ“แล้วต้าที่ว่านั่นมันดียังไงเหรอ?” ข้าวฟ่างถามอย่างสนใจ ด







