Masukเมษาเรียกคิรินให้ยืนตรงหน้าหุ่นตัดเสื้อพร้อมสายวัดในมือ ตอนแรกเมษาจะวัดให้ เอง แต่ทันใดนั้น เดย์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูเมษา ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ใบหน้าของเมษาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เมษาดูเหมือนจะ ลังเล อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปทางเกลด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ
“เกล... ฝากวัดตัวคิรินก่อนได้มั้ย พอดีข้าวฟ่างอยากจะปรึกษาฉันเรื่องผ้าข้างนอกน่ะ”
เกลไม่ทันจะพูดถามเหตุผลหรือปฏิเสธ เมษาและข้าวฟ่างก็รีบลากเดย์ที่ยังยืนทำหน้ากวนประสาทออกไปจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องนอกจากเธอกับคิรินก็ออกไปกันหมด
คิรินยิ้มอย่างได้ใจ เขายืนกอดอกมองเกลที่กำลังถือสายวัดอย่างไม่สบอารมณ์
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้ครับ ดีไซเนอร์” คิรินพูดกวน ๆ
เกลไม่พูดอะไร แต่ความโมโหทำให้เธอต้องระบายออก เธอฟาดไปที่ต้นแขนคิรินแน่นทันที ด้วยม้วนสายวัดที่อยู่ในมือ เสียงดัง "เพียะ" ดังขึ้นเบาๆ
คิรินไม่ได้เจ็บ แต่เขายิ้มกว้างกว่าเดิมอีก
“โอ๊ย! ทำอย่างกับไม่อยากอยู่ด้วยเลยนะครับ เพื่อนรัก”
เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ทันทีว่าการวัดตัวนี้คือ กับดัก ที่คิรินกับเดย์วางแผนไว้แน่นอน
นอกห้องสตูดิโอ
เมษาที่เพิ่งออกจากห้องมาพร้อมกับข้าวฟ่างและเดย์ หันไปถามเดย์ด้วยสีหน้ากังวล
“แบบนี้จะดีหรอเดย์! เดี๋ยวสองคนนั้นตีกันตายทำไง! เดย์ก็รู้ว่าเกลหัวเสียแค่ไหนเวลาอยู่กับคิริน”
จริง ๆ แล้ว เดย์โดนคิรินสั่งมาว่าให้พาเพื่อน ๆ ของเกลออกไป และเดย์ก็เห็นดีเห็นงามด้วยความขี้แกล้งอยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกเมษา” เดย์ตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “คิรินมันไม่กัดเกลหรอก หลงยังกับอะไร”
ทุกคนชะงัก พิชชี่ ที่เพิ่งเดินกลับมาเพราะได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามาเสริมทัพทันที
“คิรินชอบเกลหรอคะ!” ข้าวฟ่าง ถามด้วยความสงสัย ดวงตาเป็นประกายวาววับ
“ไม่รู้สิ มันคงอยากมีเวลากับเพื่อนสนิทมั้ง” เดย์ยักไหล่กวน ๆ
“เดย์! อย่าทำเป็นเล่นสิ” เมษาพยายามทำหน้าเคร่งเครียด
“ไปครับเมษา เดี๋ยวเดย์พาไปเลี้ยงขนมนะครับคนสวย” เดย์ยิ้มหวานอย่างเจ้าชู้ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้เมษาซักไซ้ต่อ
เมษาได้แต่เหนื่อยใจกับเดย์ แต่ก็แอบกังวลที่ทิ้งปลายเกลเอาไว้กับคิรินตามลำพัง
ภายในห้องสตูดิโอ
เกลไม่พูดอะไรแต่ความโมโหทำให้เธอต้องระบายออก เธอฟาดไปที่ต้นแขนคิรินแน่นทันที ด้วยม้วนสายวัดที่อยู่ในมือ เสียงดัง "เพียะ" ดังขึ้นเบาๆ
คิรินไม่ได้เจ็บแต่เขายิ้มกว้างกว่าเดิมอีก
“โอ๊ย! ทำอย่างกับไม่อยากอยู่ด้วยเลยนะครับ เพื่อนรัก”
เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ทันทีว่าการวัดตัวนี้คือ กับดัก ที่คิรินกับเดย์วางแผนไว้แน่นอน
“ยืนนิ่งๆ ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ” เกลสั่งเสียงลอดไรฟัน เธอทำใจแล้วหยิบสายวัดขึ้นมาอย่างมืออาชีพ
เธอเริ่มต้นวัดส่วนสูง คอ และไหล่ ก่อนจะมาถึง รอบอก เกลจำเป็นต้องเข้าใกล้ชิดกับคิรินจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นน้ำหอมและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงของเขา
เธอต้องเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองตัวเลขบนสายวัด ขณะที่มือของเธอกำลังพันสายวัดรอบแผงอกที่ดูกำยำและแน่นกว่าตอนเด็กๆ มาก
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ” คิรินกระซิบเบาๆ “ปกติเห็นบ่นเก่งกว่านี้”
“เกลกำลังทำงาน” เกลตอบเสียงแข็ง พยายามบังคับสายตาให้โฟกัสที่ตัวเลข คิรินไม่ตอบ แต่เขากลับเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้ว ถอดเสื้อเชิ้ตออก อย่างกะทันหัน
“ถอดทำไม!” เกลสะดุ้งเล็กน้อย
“ก็วัดตัวไง” คิรินยิ้มอย่างท้าทาย “จะวัดให้มันแม่นยำก็ต้องวัดบนผิวเนื้อสิครับ ดีไซเนอร์”
คิรินโยนเสื้อเชิ้ตลงบนโซฟาอย่างไม่ไยดี เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่สมบูรณ์แบบ เกลหน้าแดง ไม่ใช่เธอไม่เคยวัดผู้ชายมาก่อนในฐานะดีไซเนอร์ แต่ไม่มีใครหุ่นดีเท่า เพื่อนข้างบ้าน เธอเลยจริง ๆ
ตอนเด็กๆ คิรินดำเพราะตากแดดบ่อยๆ แต่ตอนนี้ผิวเขา ขาวจนมองเห็นเส้นเลือดได้ แผงอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามมองก็รู้ว่าคงออกกำลังกายเยอะ ไม่มีขนสักเส้น หัวนมชมพูอีก เกลยอมรับในใจว่ามันเป็นผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบ เธอจำได้ว่าพอเริ่ม ม. 5 คนตรงหน้าก็รักหล่อขึ้นมาทันที ตอนนั้นสาวน้อยสาวใหญ่มาจีบคิรินจนหัวกระไดไม่แห้งเลย ส่วนเธอเหรอ... ยังเป็นหน้าสิวอยู่เลย ดีที่ตอนนี้ไม่มีสิวแล้ว กว่าเธอจะรักษาสิวหายก็เสียไปหลายบาทเลย
เกลรู้สึกว่าความไม่ยุติธรรมของโลกกำลังย้อนกลับมาทิ่มแทงเธออีกครั้ง เธอสูดหายใจลึก พยายามรวบรวมสติทั้งหมดไว้ในมือที่กำลังถือสายวัด
“ยืนนิ่ง ๆ” เกลสั่งเสียงแข็ง พยายามมองร่างกายเขาให้เป็นแค่ 'หุ่นลองเสื้อผ้า'
เธอเริ่มต้นวัด รอบอก มือของเธอต้องสัมผัสกับผิวอุ่นๆ ที่แน่นไปด้วยกล้ามเนื้อ เกลขยับเข้าไปใกล้ขึ้น เพื่อให้สายวัดอยู่ตรงตำแหน่งที่ถูกต้อง
“ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้ครับ ยัยหนู” คิรินกระซิบเบาๆ “ฉันจะไม่ทำอะไรเธอหรอก... ตอนนี้”
เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังถูกยั่วให้เสียสติ เธอพยายามใช้สติทั้งหมดที่มีเพื่อวัดรอบอกของเขาให้จบเร็วที่สุด
“ไอบ้า!”
มือของเกลที่กำลังถือสายวัดและพยายามดึงตัวออกมาเพราะความหงุดหงิด ปัดไปโดนหน้าของคิริน อย่างแรงจนเขาต้องหันหน้าหนี
“เฮ้ย!” คิรินร้องออกมาด้วยความตกใจและเจ็บเล็กน้อย
เกลชะงัก เธอไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายร่างกายเขาขนาดนั้น แต่ความหงุดหงิดมันควบคุมเธอไม่ได้ เรื่องอะไรจะขอโทษละ!
“ก็พูดอะไรลามกทำไมละ!” เกลสวนกลับอย่างรวดเร็ว โดยเลือกที่จะตำหนิคำพูดของเขาทันที
คิรินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดนิดๆ เขาใช้มือลูบแก้มเบา ๆ ถ้าเขากลบไม่ทันนะ หลังแหวนแน่ ๆ หน้าเขาเป็นแผลชัวร์ ภาพลักษณ์เทพบุตรของเขาคงจะพังลงต่อหน้าดีไซเนอร์ปากกล้าคนนี้
“ฉันพูดว่าฉันจะไม่ทำอะไรเธอ” คิรินตอบเสียงเข้ม แต่แววตาเต็มไปด้วยความโกรธที่กำลังระงับไว้
“ตรงไหนที่ลามก! เธอต่างหากที่มือไว! หรือว่า... เธออยากให้ฉันทำมากกว่าการวัดตัวครับ ยัยอ้วน”
เกลไม่ตอบ แต่สายตาของเธอเต็มไปด้วยไฟแค้น เธอเลื่อนสายวัดลงไปที่ รอบเอว ของเขาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้การวัดตัวครั้งนี้จบลงโดยเร็วที่สุด
“ก็พูดอะไรลามกทำไมละ!” เกลสวนกลับอย่างรวดเร็ว คิรินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดนิดๆ เขาใช้มือลูบแก้มเบา ๆ “ขอโทษฉันซะ เกล” เกลเบิกตากว้าง
“ทำไมเราต้องขอโทษ! คินต่างหากที่พูดจาลามกใส่เราก่อน!” ใบหน้าสวยแสดงสีหน้ามุ้ยด้วยความโมโห
“ฉันพูดว่าฉันจะไม่ทำอะไรเธอ! ไม่ได้ลามก!” คิรินขึ้นเสียง “แต่เธอตบหน้าฉัน! เธอต้องขอโทษ!”
ทั้งสองคนทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ความตึงเครียดเรื่องความใกล้ชิดถูกแทนที่ด้วยการโต้เถียงที่ไร้สาระราวกับกลับไปอยู่ชั้นประถม
“ไม่! เกลไม่ขอโทษ!” เกลยืนกราน “นายต่างหากที่ลามกและหยาบคาย! ไอ้เด็กเลี้ยงแกะ!” คิรินยิ้มเหี้ยม เขายกสมาร์ทโฟนขึ้นมาอย่างเชื่องช้าแล้วทำท่าจะกดส่งรูป
“งั้นไม่เป็นไร” คิรินพูดเสียงเบา แต่เต็มไปด้วยอำนาจ “ฉันจะส่งรูปนี้ให้คุณป้าดูนะ ว่านางแบบชุด ‘ไร้กรอบ’ ของเธอเป็นอย่างไร”
เกลชะงักทันที สีหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นซีดเผือด การข่มขู่เรื่องภาพกินหมูสามชั้นที่เธอต้องล้วงคอออกไปนั้น ได้ผลเสมอ
“คิริน! อย่าทำนะ!” เกลกระซิบเสียงแผ่ว ความโมโหทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวต่อแม่
คิรินยิ้มอย่างผู้ชนะ “ขอโทษฉันก่อนสิ” เกลกำสายวัดในมือแน่น ก่อนจะยอมจำนน “...ขอโทษ” เธอพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ดัง ๆ หน่อยครับ”
“ขอโทษ!” เกลตอบด้วยความเจ็บใจ เธอเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาที่อาฆาตที่สุด คิรินยิ้มพอใจ ก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง
“ดีมากครับ” คิรินพูดเสียงปกติ “ทีนี้วัดเอวฉันให้เสร็จ แล้วไปเริ่มทำชุดคู่ให้ฉันกับเธอกันเถอะเพื่อนรัก”
เกลรีบวัดส่วนเอวและสะโพกของคิรินให้เสร็จอย่างรวดเร็วที่สุด เธอจดตัวเลขทั้งหมดลงในสมุดอย่างแม่นยำ โดยไม่ยอมสบตาเขาอีกเลย
กว่าพวกเมษาจะกลับมา เธอกับคิรินก็ทะเลาะกันไปแล้วสักร้อยรอบ
ทันทีที่ประตูห้องสตูดิโอเปิดออก และเห็นเมษา ข้าวฟ่าง และพิชชี่ รวมถึงเดย์ที่เดินตามมาเงียบ ๆ กลับเข้ามา เกลก็รีบพุ่งตัวไปหาเมษาทันที
“เมษา!!! ไปไหนทำไมไม่รีบมาเลย! ปล่อยให้เกลอยู่กับหมาบ้าอยู่ ฮือออ!” เกลโวยวายด้วยท่าทางที่ดูเหมือนเด็กน้อยที่ถูกรังแก ซึ่งตรงข้ามกับท่าทีมาดมั่นเมื่อครู่
คิรินที่เดินตามมาก็ยืนกอดอกอย่างสบายอารมณ์ เขายกมือลูบคางเหมือนครุ่นคิด
“แหมม อยากโดนหมากัดปาก” พิชชี่ พูดประชดเสียงเบา แต่ก็เพียงพอให้เกลได้ยิน
เกลหันไปมองพิชชี่อย่างคาดโทษ โดยมีสายตาที่อยากจะเขวี้ยงสมุดใส่พิชชี่จริง ๆ แต่สุดท้ายก็ระงับอารมณ์ไว้ได้
เมษาทำเป็นมองข้ามเรื่องปวดหัว ทั้งหมด เธอหันไปยิ้มให้คิริน “งานเสร็จมั้ยคะคิริน?”
คิรินยิ้มหล่อ “เสร็จเรียบร้อยครับ และหวังว่าดีไซเนอร์จะรีบออกแบบชุดให้ถูกใจผมนะครับ” เขาเน้นคำว่า 'ถูกใจ' และมองมาทางเกลเป็นพิเศษ
“เสร็จหมดแล้ว!” เกลตอบเมษาเสียงห้วน ๆ แล้วรีบเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็ว “ฉันจะรีบกลับไปขึ้นแบบให้เร็วที่สุด”
คิรินมองตามเกลอย่างสนุกสนาน ก่อนจะหันไปตบบ่าเดย์เบาๆ
“ขอบใจมากนะเพื่อน”
หลายวันต่อมา หลังจากเหตุการณ์วัดตัวที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เกลยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้น
เธอพยายามแตกตัวออกจากกลุ่มไปกินข้าวคนเดียวที่ร้านอาหารใกล้คอนโดเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาเพื่อน แต่สุดท้ายระหว่างทางที่กำลังเดินกลับห้องหลังกินอาหารเสร็จ เธอก็รู้สึกไม่ดีอีก อาการคลื่นไส้และท้องอืดเข้าจู่โจมอย่างรุนแรง ความรู้สึกผิดที่ถูกตอกย้ำด้วยรูปภาพของคิรินทำให้เธอควบคุมตัวเองไม่ได้
เธอรีบวิ่งกลับคอนโด และทำในสิ่งที่เธอทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแสบคอ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เกลมักจะร่างแบบชุดที่ห้องคณะบ่อย ๆ เธอใช้ข้ออ้างเรื่องความต้องการทำงานคนเดียวและความเงียบสงบของสตูดิโอ แต่ความจริงคือ เธอไม่อยากกลับคอนโดตัวเอง
คอนโดที่ว่างเปล่าทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวง และความรู้สึกนั้นยิ่งเลวร้ายลงเมื่อ ล่าสุดเธอเห็นว่ามีคนเอาโน้ตแปลก ๆ มาติดไว้ที่หน้าห้องเธอ มันเป็นโน้ตกระดาษเปล่าสีขาวที่มีเพียงสัญลักษณ์บางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่ความรู้สึกที่ว่ามีคนรู้ว่าเธออยู่ที่นี่และเฝ้าดูเธออยู่ มันน่ากลัวจนขนลุก
เธอกลัวมากแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะกลัวว่าเพื่อน ๆ จะมองเธอแปลกไป หรือกลัวว่าโน้ตนั้นจะเกี่ยวข้องกับความลับที่เธอพยายามซ่อนไว้ เมื่อวานเธอไปนอนค้างกับข้าวฟ่างแต่วันนี้ข้าวฟ่างไม่อยู่ ทำให้เกลต้องทนอยู่ในห้องสตูดิโอจนดึกดื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆ ที่หน้าห้องสตูดิโอ ลุงยาม ที่เดินตรวจตราในช่วงค่ำชะโงกหน้าเข้ามาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ
“หนูกลับบ้านได้แล้ว”
“อ่อ ค่ะ ลุงยาม” ถึงเวลาที่ต้องปิดประตูตึกคณะแล้ว เธอเลยจำต้องเดินกลับคอนโด ด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งในอก ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินกลับไปสู่กรงที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความลับของตัวเอง
เกลเดินเข้าห้องคอนโดมาอย่างเงียบเชียบ เธอรีบล็อกประตูถึงสองชั้น ความเหนื่อยล้าทางร่างกายผสมกับความหวาดระแวงทำให้เธอไม่ทันสังเกตว่ามีใครติดตามมาหรือไม่ เกลโชคดีที่มาถึงคอนโดโดยปลอดภัยเธอไม่ได้สนใจจะเปิดไฟมากนัก ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง และพยายามบังคับตัวเองให้ข่มตาหลับเพื่อหนีความเครียดที่สะสมมาตลอดทั้งวันแต่หลังจากที่เธอนอนหลับไปได้ไม่นานก๊อก... ก๊อก... ก๊อก...เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เป็นจังหวะสั้น ๆ แต่ดังชัดเจนในความเงียบสงัดของยามวิกาลเกลสะดุ้งสุดตัว เธอผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที หัวใจเต้นรัวราวกับกลองที่ถูกรัวตีด้วยความหวาดกลัวที่กลับมาอีกครั้ง เธอตกใจมากจนต้องร้องไห้นี่มันก็ตีสองแล้ว!เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังและถี่ขึ้น เกลมองไปที่ประตูห้องด้วยความหวาดผวา เธอรู้ดีว่าคนที่พักอยู่ในคอนโดนี้ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะ และไม่มีใครมาเคาะประตูบ้านคนอื่นในเวลานี้แน่ๆเธอไม่รู้ควรโทรไปหาใครดี จะโทรหาเมษาหรือข้าวฟ่างตอนนี้ก็คงจะรบกวนมากเกินไป และเธอก็ไม่กล้าปลุกใครมือของเธอสั่นเทาเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาของเธอกวาดมองรายชื่อในสมุดโทรศัพท์อย่างว้าวุ่น
เมษาเรียกคิรินให้ยืนตรงหน้าหุ่นตัดเสื้อพร้อมสายวัดในมือ ตอนแรกเมษาจะวัดให้ เอง แต่ทันใดนั้น เดย์ก้มลงกระซิบที่ข้างหูเมษา ประโยคสั้น ๆ ที่ทำให้ใบหน้าของเมษาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเมษาดูเหมือนจะ ลังเล อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปทางเกลด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ“เกล... ฝากวัดตัวคิรินก่อนได้มั้ย พอดีข้าวฟ่างอยากจะปรึกษาฉันเรื่องผ้าข้างนอกน่ะ”เกลไม่ทันจะพูดถามเหตุผลหรือปฏิเสธ เมษาและข้าวฟ่างก็รีบลากเดย์ที่ยังยืนทำหน้ากวนประสาทออกไปจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องนอกจากเธอกับคิรินก็ออกไปกันหมดคิรินยิ้มอย่างได้ใจ เขายืนกอดอกมองเกลที่กำลังถือสายวัดอย่างไม่สบอารมณ์“ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นก็ได้ครับ ดีไซเนอร์” คิรินพูดกวน ๆเกลไม่พูดอะไร แต่ความโมโหทำให้เธอต้องระบายออก เธอฟาดไปที่ต้นแขนคิรินแน่นทันที ด้วยม้วนสายวัดที่อยู่ในมือ เสียงดัง "เพียะ" ดังขึ้นเบาๆคิรินไม่ได้เจ็บ แต่เขายิ้มกว้างกว่าเดิมอีก“โอ๊ย! ทำอย่างกับไม่อยากอยู่ด้วยเลยนะครับ เพื่อนรัก”เกลกัดฟันแน่น เธอตระหนักได้ทันทีว่าการวัดตัวนี้คือ กับดัก ที่คิรินกับเดย์วางแผนไว้แน่นอนนอกห้องสตูดิโอเมษาที่เพิ่งออกจากห้องมาพร้อมกับข้าวฟ่างและ
ทั้งแปดคนมานั่งรวมกันที่ร้านหมูกระทะชื่อดังที่อยู่ข้างๆ มหาวิทยาลัย โต๊ะถูกจัดแยกออกเป็นสองชุด ซึ่งทำให้ พิชชี่ ต้องบ่นออกมาเสียงดังก่อนจะยอมไปนั่งโต๊ะข้าง ๆ“ฉันไม่อยากนั่งกินกับเธอย่ะเกล คนอะไรมากินหมูกระทะ ไม่ยอมกินหมูสามชั้น!” พิชชี่ว่าพลางกอดอกอย่างงอนๆ ทำเหมือนจำยอมต้องไปนั่งกับเดย์และข้าวฟ่างที่อีกโต๊ะหนึ่งโต๊ะนั้นเหมือนจะมีเสียงเฮฮามาตลอดส่วน แต่โต๊ะนี้ดูจะเงียบและมีบรรยากาศตึงเครียดกว่ามากเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีไนท์แฝดน้องของเดย์ที่บอกว่ารำคานพี่ตัวเองขอมานั่งโต๊ะนี้แทนดังนั้นโต๊ะของเกลจึงมีเพียงเกลนั่งอยู่ข้างเมษาโดยมีคิรินนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและมีหม้อไฟหมูกระทะที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่ตรงกลาง เกลกินอย่างกับคนระบายอารมณ์ แต่สิ่งที่เธอเลือกนั้นถูกเรื่องแต่คลีนๆไว้ เมษาค่อยส่งเนื้อหมูส่วนเนื้อแดงให้เธอเป็นบางครั้ง ส่วนใหญ่ที่เธอกินจะเป็น กุ้ง ปลา และผักมากกว่าเพื่อกันน้ำหนักที่จะขึ้นหลังกินมื้อนี้โต๊ะข้างๆ ดูจะมีสีสันมากกว่าโต๊ะของเธอมากเพราะแค่เธอต้องสบตากวนประสาทของไอ้เด็กเลี้ยงแกะแล้วมันก็โคตรจะน่าหงุดหงิดเลยคิรินใช้ตะเกียบของเขาคีบหมูสามชั้นช
ห้องสตูดิโอของคณะศิลปกรรมศาสตร์ดูวุ่นวายกว่าปกติ เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ คลอไปกับเสียงฝีเท้าของนางแบบที่กำลังซ้อมเดินอยู่บนเวทีชั่วคราวเกลอยู่ในชุดนักศึกษาที่เสื้อเข้ารูปและกระโปรงสั้นตามแฟชั่น เธอผมบลอนด์อ่อน และแต่งหน้าอย่างประณีตราวกับเป็นนางแบบเสียเอง เธอนั่งอยู่ตรงกลางโต๊ะกรรมการอย่างมาดมั่น ข้างๆคือข้าวฟ่างผู้กำลังจดบันทึกด้วยความตั้งใจและพิชชี่ ผู้ทำหน้าที่วิจารณ์ด้วยความละเอียดถี่ถ้วน“คนนี้ดีไซน์สวยมาก แต่แววตาดูนิ่งๆไปหน่อย เราน่ะมันต้องใช้คนที่มี จิตวิญญาณนะยะ ไม่ใช่หุ่นยนต์!” พิชชี่บ่นพลางโบกมือปฏิเสธนางแบบคนที่สิบ“ใจเย็นๆ นะคะพิชชี่” ข้าวฟ่างพยายามปราม “เราเน้นที่รูปร่างก่อนค่ะ เพราะชุดของเรายังไม่เสร็จ”“แต่ไม่เป็นไรค่ะ ถ้านางแบบเราหากันไม่ได้จริงๆ ก็ให้เมษานี้แหละถ่าย” เกลสรุปเพราะตอนนี้เธอยังไม่เจอใครถูกใจเลย เมษารูปร่างสูงเพียวเหมือนนางแบบ ที่เธอกำลังเครียดตอนนี้คงจะเป็น นายแบบชายมากกว่าเมษา ในฐานะผู้ประสานงานหลัก ยืนอยู่ใกล้ประตู เธอกำลังใช้โทรศัพท์มือถือจัดการธุระอย่างเคร่งเครียด ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออก พร้อมกับกลุ่มนักศึกษาชายสามคนที่ก้าวเข้ามาเดย์ เดินนำหน้ามา
ห้องประชุมคณะกรรมการนักศึกษา, มหาวิทยาลัย Xเกลกับข้าวฟ่างกำลังก้มหน้าปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด โต๊ะเต็มไปด้วยกระดาษสเก็ตช์และนิตยสารแฟชั่นเล่มหนา“ฉันคิดว่าเราควรใช้ผ้าดิบเป็นหลักนะเกล” ข้าวฟ่างเสนอ“แล้วค่อยใช้เทคนิคการปัก การลงสี และการพิมพ์ลายแบบศิลปะเข้ามา มันจะสื่อถึงคอนเซปต์เข้าถึงยาก ได้ชัดเจน”“อืม… ดีเลยข้าวฟ่าง” เกลตอบขณะที่กำลังวาดโครงสร้างคอเสื้อที่ดูแปลกตา“เราต้องออกแบบชุดสำหรับผู้หญิงให้เสร็จก่อน แล้วค่อยปรับให้เข้ากับสรีระนายแบบที่จะมาเดินคู่กัน แต่ปัญหาคือนายแบบน่ะสิ” เรื่องนางแบบเธอไม่ค่อยเป็นห่วง เพราะเมษาจะรับหน้าที่นั้น เสียงประตูเปิดผางออกอย่างไม่สุภาพ ก่อนที่พิชชี่จะพุ่งเข้ามาพร้อมเมษาตามมาติด ๆ“เจอแล้ว! คนที่จะมาเป็นนายแบบของแกแล้ววเกล!” พิชชี่ประกาศเสียงดัง เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างเกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดโทรศัพท์มือถือที่เซฟรูปชายหนุ่มในอินสตาแกรมไว้แล้ว“ดูนี่สิ! วิน! ลูกชายเจ้าของแกลเลอรี่! เขาคือความดิบที่แสนจะแพง! เขาคือความหล่อของประเจ้าเลย”เกลหยิบโทรศัพท์ของพิชชี่มาดูอย่างพิจารณา ภาพชายหนุ่มที่ดูเย็นชาในชุดเสื้อผ้าเรียบ ๆ แต่มีร่องรอยของสีและผงฝ
โรงอาหารกลาง มหาวิทยาลัย Xกลุ่มเพื่อนทั้งสี่คนมานั่งรวมกันที่โต๊ะประจำในโซนที่เงียบสงบที่สุดของโรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัยเกลซึ่งมีใบหน้าแต่งแต้มเครื่องสำอางอย่างประณีตราวกับเพิ่งออกจากสตูดิโอกำลังกินสลัดไก่ย่าง ที่ไร้น้ำสลัดรสจัดจ้านเพื่อควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด ขณะที่ข้าวฟ่างกินข้าวมันไก่ชามโตได้อย่างสบายอารมณ์“นี่! ฉันบอกแล้วไงว่าปีนี้เด็ดจริง! ฉันเห็นน้องปีหนึ่งสาขาการแสดงคนหนึ่งชื่อ ต้า” พิชชี่เริ่มเปิดประเด็นเม้าท์มอยทันทีที่นั่งลง เขาเลือกสั่งบะหมี่เกี๊ยวและกำลังใช้ช้อนเขี่ยหมูแดงส่วนมัน ๆ ออกอย่างประณีต“ไม่ต้องเขี่ยก็ได้มั้งพิชชี่” เมษาที่นั่งตรงข้ามพูดพลางหัวเราะเบา ๆ เธอเลือกเมนูมังสวิรัติ“ไม่ได้ย่ะ! ฉันเป็นศิลปะการแสดง! ฉันต้อง Maintain หุ่น! ไม่เหมือนพวกดีไซเนอร์บางคนที่กินแต่ผักกาดหอมจนจะกลายเป็นกระต่าย” พิชชี่ว่าพลางเหลือบมองจานสลัดของเกลเกลตักผักเข้าปากอย่างใจเย็น เธอจัดระเบียบเส้นผมสีบลอนด์และตรวจสอบการเขียนขอบตาของตัวเองผ่านกระจกในตลับแป้งเล็ก ๆ อย่างรวดเร็ว แม้จะกินสลัด เธอก็ยังคงไว้ซึ่งความงามที่สมบูรณ์แบบ“แล้วต้าที่ว่านั่นมันดียังไงเหรอ?” ข้าวฟ่างถามอย่างสนใจ ด







