ชีวิตการเป็นเด็กฝึกงานของ “นับแต้ม” เหมือนจะไม่ง่ายซะแล้ว ในเมื่อคนประเมินการฝึกงานคือแฟนเก่าที่ตัวเองดันไปบอกเลิกนี่ซิ งานนี้แขวนพระองค์ไหนก็เหมือนจะไม่รอดเพราะเจ้ากรรม “ไนล์” เวรเขาแรงจริงๆ ค่า
ดูเพิ่มเติมINTRO
Hello, my ex. ท้องฟ้ายามเข็มสั้นอยู่ตรงเลขสามนั้นถูกปกคลุมไปด้วยสีดำมืดสนิท หากแต่ภาพเบื้องหน้าที่เห็นอยู่นี้แทนที่จะเป็นความเงียบที่สงัดกลับกลายเป็นภาพของพ่อค้าแม่ขายที่กำลังตั้งแผงร้านของตัวเองกันอยู่ บ่งบอกเวลาได้เป็นอย่างดีว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะถึงนี้แสงของเช้าวันใหม่คงมาเยือน ฉันเดินผ่านจุดที่ตั้งของตลาดแล้วเดินเข้ามาภายในตรอกซอยหนึ่ง สองข้างทางมีบ้านของคนในพื้นที่สลับกับอะพาร์ตเมนต์น้อยใหญ่ หนึ่งในนั้นคือตึกเดี่ยวสี่ชั้นสภาพดูเก่าทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่ก็ไม่ถึงกับแย่มากมายอะไรนักเมื่อเทียบกับค่าเช่าประมาณเดือนละพันต้นๆ ซึ่งถือว่าหายากมากในทำเลแบบนี้ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ฉันใช้ซุกหัวนอนมาตลอดเป็นเวลาหลายเดือนนับตั้งแต่หลังจากจบปีหนึ่งเนื่องจากหอพักมหาวิทยาลัยอนุญาตให้นักศึกษาปีหนึ่งเข้าพักได้เพียงเท่านั้น ไม่มีที่สำหรับจอดรถ ไม่มีคีย์การ์ดหรือพี่ยามเหมือนที่อื่นๆ เขา ที่นี่มีแต่ป้าตุ้มที่เฝ้าอยู่ด้านล่างด้วยสภาพสะลึมสะลือเสมอ แน่นอนว่ามันดูไม่ค่อยปลอดภัยนักหากมันก็แลกมากับค่าเช่าที่เอื้อมถึง ฉันเดินผ่านป้าที่น่าจะกำลังฝันหวานอยู่ พาตัวเองขึ้นบันไดไปยังชั้นบนสุดของตึก ทางเดินที่คับแคบชนิดที่ว่าหากต้องเดินสวนกันต้องเอียงตัวหลบ ยังดีที่ห้องของฉันอยู่ห้องแรกสุดทำให้ไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์เช่นนั้นบ่อยนัก ฉันเปิดกระเป๋าหยิบกุญแจห้องขึ้นมาไขประตู หากแต่ประตูไม่ได้ล็อก ฉันเก็บกุญแจไว้ในกระเป๋าตามเดิมก่อนจะค่อยบิดลูกบิดประตูแล้วเดินเข้าไปภายในห้อง ห้องขนาดไม่ใหญ่ไม่จำเป็นต้องกวาดสายตามองก็สามารถเห็นพื้นที่ของห้องได้หมด ฉันวางกระเป๋าลงบนโต๊ะที่ใช้มันเป็นทั้งโต๊ะหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้งและบางครั้งก็เป็นโต๊ะกินข้าวในตัวเดียวกัน ทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ วางคางลงบนมือทั้งสองที่ประสานตั้งไว้อยู่บนพนักเก้าอี้ หันหน้าไปทางเตียงนอนขนาดสามฟุตครึ่งที่มีใครบางคนกำลังนอนอยู่ “ไนล์” ฉันเรียกเจ้าของแผ่นหลังกว้างตรงหน้า ไนล์เป็นแฟนหนุ่มที่พัฒนาจากการเป็นเพื่อนร่วมภาควิชาเคมีของคณะวิศวกรรมศาสตร์ เราเริ่มคุยกันเมื่อตอนรับน้องก่อนจะตกลงคบกันในฐานะคนรักอย่างเปิดเผยเมื่อปลายปีก่อนนั่นคือหลังจากการสอบไฟนอลเทอมแรกของปีหนึ่งได้เสร็จสิ้น นับดูแล้วนี่ก็ใกล้จะปีครึ่งแล้วเห็นจะได้ที่เราคบกันมา ไม่น่าเชื่อเลย “มาแล้วเหรอ” ไนล์ส่งเสียงเบาก่อนจะพลิกตัวกลับมา ฉันพยักหน้าตอบเขาท่ามกลางความมืดสลัว ลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่งจากเก้าอี้ไปยังเตียงนอน มือหนาเปิดโคมไฟ “เหนื่อยมั้ยนับแต้ม” ไม่มีคำถามว่าทำไมถึงกลับดึก นัยน์ตาดำขลับนั้นยังฉายชัดถึงความเป็นห่วงดั่งเช่นเสมอมา ชื่อของฉันฟังดูอ่อนหวานเสมอเมื่อหลุดออกมาจากริมฝีปากของอีกฝ่าย ฉันส่ายหน้าพลางคลี่ยิ้มบาง เอื้อมมือไปทาบกับแก้มของไนล์แล้วจ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูจากนัยน์ตาสีนิลที่ดูล้าของเจ้าตัวแล้วพนันได้เลยว่าอีกฝ่ายคงนอนรอฉันจนเผลอหลับไปอีกแล้ว “ไนล์ล่ะ?” “หืม?” “...เหนื่อยไหม” ฉันถามเสียงกระซิบแล้วลูบแก้มของอีกฝ่ายไปมา ถามเสร็จก็เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอจนเม้มปากตัวเองไว้แน่น ทั้งโล่งอกที่ได้ถามและทั้งหวาดกลัวในคำตอบ “ไม่เห...” “โกหก” ก่อนที่ปากหยักจะเอ่ยคำโกหกออกมาอีกฉันก็โน้มหน้าเข้าไปดูดดึงคำโกหกนั่นเอาไว้เสียเอง คำตอบของไนล์ก็ยังเหมือนเดิม เป็นคำตอบที่ทำให้ฉันใจชื้นแต่ทว่าหนักอึ้งไปพร้อมๆ กัน อีกฝ่ายพยายามผละออกไป หากเป็นฉันเสียเองที่หลงใหลกับคำโป้ปดแสนหวานนั่น ความพยายามของฉันได้ผลเมื่อมือหนาที่ก่อนหน้านี้ได้ทำหน้าที่ผลักฉันออกตอนนี้กลับร่นมาอยู่ตรงเอวและโอบฉันให้เข้าหาอีกฝ่ายมากขึ้น เป็นอีกครั้งที่เสียงครางอื้ออึงเริ่มดังขึ้นภายในห้องแห่งนี้ ต่างฝ่ายต่างผละออกมามองหน้ากันและเก็บเกี่ยวอากาศหายใจก่อนที่จะโน้มใบหน้าเข้าหากันอีกครั้งและแนบชิดยิ่งกว่าเคย เป็นลิ้นหยุ่นของฉันที่เข้าไปควานหาคำโกหกของอีกฝ่ายก่อน ช่างขยัน ช่างเสาะหา หากแม้เจออีกฉันจะกลืนคำเหล่านั้นลงท้องตัวเองให้หมด เสื้อยืดตัวโคร่งถูกถอดออกไปจากร่างกายของฉันเผยให้เห็นถึงเสื้อสายเดี่ยวสีดำที่สวมเอาไว้ก่อนหน้านี้ ไนล์ชะงัก แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งฉันก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามแต่เขาก็ไม่ปริปากออกมา ร่างสูงถอดเสื้อของตัวเองออกเป็นลำดับถัดมา ผิวขาวของเจ้าตัวต้องกับแสงสีส้มของโคมไฟดูน่ามองยิ่งกว่าเดิมในความคิดของฉัน เขายิ้มอย่างภูมิใจเมื่อเห็นฉันจ้องเขาไม่กะพริบ “ไนล์รักนับแต้มนะ” เสียงบอกรัก... “นับแต้ม” เสียงเรียกชื่อฉัน... “นับแต้ม!!” ฉันคงไม่มีวันได้ยินมันอีกแล้ว... “นับแต้ม บอสเรียก!” เหมือนถูกดูดเข้าหลุมดำแล้วหลุดเข้ามาอีกในโลกหนึ่ง โลกของความเป็นจริง...ฉันสะดุ้งจนตัวโยนแล้วมองไปรอบๆ ไม่มีห้องแคบๆ ไม่มีโคมไฟแสงนวล ไม่มีโต๊ะหนังสือที่คุ้นเคยและไม่มีเขาในอ้อมกอด... “ฝันกลางวันอยู่เหรอเรา” ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองคนพูดก่อนจะส่งสายตาลุขอโทษไปให้ เธอคือพี่ปิ่นหัวหน้าแผนกการตลาดของบริษัทผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและสกินแคร์ชื่อดังแห่งนี้ ส่วนฉันก็คือเด็กฝึกงานตัวเล็กๆ ที่เพิ่งเข้ามารายงานตัวอยู่ในบริษัทยักษ์ใหญ่นี้เป็นวันแรก “ขอโทษค่ะพี่ปิ่น” “ตามฉันมา” “มีเรื่องอะไรเหรอคะ” “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า” พี่ปิ่นมีสีหน้าปั้นยากขณะมองฉันอย่างต้องการเค้นความจริง ฉันได้แต่ส่ายหน้าไปมา เพิ่งเข้ามาฝึกงานที่นี่ไม่ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำขออย่าให้มีเรื่องเซอร์ไพรส์กับเธอนักเลย แค่เจอใครคนนั้นมาก็เกือบจะหนีกลับบ้านอยู่รอมร่อแล้ว ฉันคิดอย่างปลงๆ แล้วขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหารที่อยู่บนสุดพร้อมกับพี่ปิ่น นึกแล้วก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด อุตส่าห์ดีใจที่ได้มาฝึกงานในบริษัทใหญ่โตแบบนี้แต่มาก็ดันเจอดีปะกับคนที่ใจไม่พร้อมเจอตั้งแต่เช้า “น้องฝึกงานมาแล้วค่ะท่านประธาน” พี่ปิ่นว่าหลังจากเคาะประตูห้องประธานกรรมการบริหาร “ผมบอกให้เรียกผมว่ายังไงนะ” เสียงนี้มัน...อย่าบอกนะว่า! “ขอโทษค่ะบอส” ไนล์!!!ร่างบางใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะโดนเรียกประชุมไปกับการแก้แผนงาน ที่จริงแล้วแผนงานฉบับเดิมนั้นดูโอเคดีแล้วเพียงแต่มีบางจุดอย่างไม่สามารถตอบโจทย์ ‘บอส’ ได้ก็เท่านั้น ห้องประชุมทีม NewType นั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องประธาน ร่างบางรวบแฟ้มที่มีแผนงานอยู่ในนั้นรวมทั้งแฟลชไดรฟ์เพื่อเตรียมจะนำเสนอ ก่อนจะเลือกหลบมุมอยู่มุมหนึ่งเพื่อใช้สมาธิในการท่องจำ ระหว่างนั้นมือถือที่ปิดเสียงไว้ก็สั่นขึ้นมา ร่างบางปรายหางตาไปมองก่อนจะตัดสายด้วยความรวดเร็วก่อนจะส่งสติกเกอร์รูปหัวใจตอบกลับไปให้ทีนึง “ทุกคน บอสมาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพาให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างสูงในชุดสูทแบรนด์ดังดูได้จากลวดลายบนเสื้อเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามไปทุกท่วงท่า ทว่าใบหน้านั้นติดจะเรียบเฉยเอนเอียงไปทางหงุดหงิดค่อนข้างมาก ร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปนั่งตรงหัวโต๊ะอย่างไม่แม้แต่จะสบตาใครสักคน บรรยากาศขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากร่างสูงทำให้ห้องนี้เหมือนอยู่ในอากาศที่ติดลบหนาวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังของร่างสูงนั้นมีคุณจันทร์เลขาของบอสตามมาติดๆ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้คนในห้องและยกกำปั้นขึ้นเพื่อจะบอกว่า ‘สู้ๆ’
Special Chapter l พนักงานใหม่ หนึ่งวันผ่านไปก็แล้ว... สองอาทิตย์ผ่านไปก็แล้ว... สามเดือนผ่านไปก็แล้ว... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นับแต้มจะกลับมา! ภายในห้องทำงานของท่านประธานบริษัท Being you Group ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก เจ้าของห้องกำลังเคาะปากกาลงบนโต๊ะจนได้ยินเสียง กึก กึก อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้รับสืบทอดยีนเด่นมาตั้งแต่ต้นตระกูลนั้นกำลังขมวดคิ้วยุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่คงที่นัก นัยน์ตาสีเข้มทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ดับไปแล้ว นึกย้อนถึงบทสนทนาของตนกับนับแต้มที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาพยายามเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมาแต่เจ้าของปลายสายนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างจงใจ นี่เขากำลังถูกทิ้งอีกครั้งเหรอ? ร่างสูงเริ่มนั่งไม่ติด เข่าที่อยู่ใต้โต๊ะเริ่มเขย่าไปมาอย่างเสียบุคลิก เป็นไปไม่ได้หรอก...ไนล์เริ่มคิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อสองเดือนแรกที่นับแต้มกลับไปนั้นเขายังเทียวขึ้นเทียวลงไปกลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่เลย อีกอย่างตอนที่ไม่ได้เจอกันเราก็ยังคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกันเป็นปกติดี แม้ก
มีเวลาสักพักกว่าเครื่องจะออก เพราะเช็กอินทางอออนไลน์มาแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ฉันขึ้นชั้นสองแวะซื้อขนมไปฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยและที่คลับ ก่อนจะเข้ามาภายในของเกต โชคดีที่เกตที่ฉันต้องขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง ภายในเกตคนน้อยกว่าข้างนอกมาก ฉันนั่งลงที่เก้าอี้รอประกาศการขึ้นเครื่อง ทอดสายตามองไปนอกอาคารเห็นเครื่องบินลำน้อยใหญ่จอดรอเรียงกันอยู่บนรันเวย์ ฉันยกมือถือขึ้นถ่ายรูปกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก่อนจะอัปลงในไอจีและส่งข้อความไปรายงานไนล์ “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?” !!! ฉันเงยหน้าขึ้นขวับทอดสายตามองไปยังเจ้าของเงาที่ปกคลุมร่างของฉันเอาไว้ ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ อวัยวะภายในอกเต้นสั่นระรัว นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ไนล์...” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า “อื้ม ไนล์เอง” ร่างสูงยิ้มพลางทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน “มาได้ไง ไหนบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” “กลัวเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าเกตก็เลยเข้ามาดูสักหน่อย” ไนล์เอ่ยแซว ร่างสูงงอนิ้วชี้แล้วมาแตะลงบนจมูกฉันเบาๆ “ไนล์เห็นนับแต้มยืนหันซ้ายหันขวาตั้งแต่อยู่นอ
Final Chapter officially “อย่าโมโหไปเลยน่า เขาคงเมานั่นแหละ น่านะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในรถ หันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตีหน้ามุ่ยอยู่ นัยน์ตาเข้มจับจ้องไปที่ท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ช่วงนี้อารมณ์ของร่างสูงนั่นค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งฉันรู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตลอดทางจากร้านชาบูมายังหอพักที่ฉันเช่าเอาไว้ร่างสูงไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ ยิ่งพอเข้ามาในห้องอารมณ์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ หน้าของเขามืดไปแปดส่วนขณะทอดสายตาไปยังกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงมุมห้องเพราะยังเก็บของไม่เสร็จ ไนล์เดินปั้นปึ่งไปทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก ฉันมองแผ่นหลังกว้างแล้วเดินตามไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อ้าแขนกอดรวบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นวางคางบนหัวไหล่ของเขาเป็นที่ค้ำ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เป็นไนล์ที่เอ่ยออกมาก่อน เสียงของเขาฟังดูเศร้าสร้อยเสียจนคนฟังอย่างฉันใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นฉันและไนล์ต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ไปก็เรียนไม่จบสิ” ฉันบอกในสิ่งที่เจ้าตัวรู้อยู่แ
“อื้อออ” “อืมมม” ไนล์ออกแรงกระแทกเอวสอบเข้ามาทีหนึ่งแรงๆ ก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับเสียงทุ้มที่คำรามออกมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของฉัน ไนล์ซุกหน้าลงกับหน้าอกของฉันที่กระเพื่อมขึ้นลงปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ สองร่างสอดประสานกันแบบนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะถอนตัวออกไป “ไปเขียนรายงานให้นับแต้มเลยนะ” “สบายอยู่แล้ว! ให้เป็นหน้าที่ไนล์เอง” เวลาสามเดือนแห่งการฝึกงานผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่หากพอมองดีๆ แล้วกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ฉันมองไปที่โต๊ะข้างตัวที่ว่างเปล่า อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือพี่สาเลือกที่จะลาออกไปแต่โดยดี ฉันเก็บของบนโต๊ะลงใส่กล่องลังด้วยความรู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เย็นนี้พี่ปิ่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งเด็กฝึกงานแผนกการตลาดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท เมื่อมาถึงก็เห็นโต๊ะขนาดยาวต่อกันไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ ทุกคนในทีมต่างกันแย่งกันจับจองที่นั่งโดยมีพี่ปิ่นนั่งอยู่หัวโต๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ แต่ฉันที่เพิ่งไปเจอเรื่องของนับตังค์มาแล้วยังสะเทือนใจไม่หายก็ขอผ่านเครื่องดื่มพวกนี้ไปกดน้ำพันช์สีส้มมาดื่มแทน ชาบูทุกหม้อแน่นขนัด
ฉันเขม่นตาหรี่มองคนที่พูดไปตุเป็นตะ “ตลกละ” ไนล์หัวเราะก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด “พ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งนับแต้มหรอกนะ เขาแค่ดีใจที่มีคนมาดูแลนับแต้มเพิ่มขึ้นไง ถ้าอะไรๆ ลงตัวเราสองคนก็ไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นดีมั้ย” “อื้ม” ฉันพยักหน้าอยู่กับอกร่างสูง “ว่าแต่...อาทิตย์หน้าก็จะฝึกงานเสร็จแล้วใช่มั้ย” ฉันชะงักมือที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าไปทำตาโตใส่ไนล์ “จริงด้วย! นับแต้มยังทำรายงานไม่เสร็จเลย เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องนับตังค์ อ๊ะ!” “รายงานน่ะเดี๋ยวค่อยทำ มาทำการบ้านกับไนล์ก่อน” ฉันร้องเสียงหลง ร่างของฉันที่ตั้งใจจะผละออกไปยังที่โต๊ะทำงานกลับต้องซวนเซมาอยู่ในอ้อมแขนของไนล์อีกครั้งริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนลิ้นหยุ่นจะเข้ามากวาดต้อนความหวานด้านในด้วยความรวดเร็ว ไนล์ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าดันร่างฉันให้ก้าวถอยหลัง และด้วยขนาดของพื้นที่ห้องที่ไม่ได้กว้างอะไรเลย เพียงเดินถอยหลังสองสามก้าวก็ชนเข้ากับขอบเตียงเสียหลักหงายหลังหล่นตุ๊บไปอยู่บนที่นอนแล้ว ยังดีที่เหมือนว่าร่างสูงได้คาดคะเนไว้แล้วจึงใช้มือหนายั้งแผ่นหลังฉันไว้ไม่ให้กระแทกลงไปอย่างเ
ความคิดเห็น