เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า
"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน" อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไป ลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่ สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล "หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้น มันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสด ไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?" อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว...ไม่ใช่ด้วยความกลัว แต่ด้วยความกังวลที่กรีดลึก “ข้าว่านางอาจได้รับบาดเจ็บ” เขาพึมพำกับตัวเอง ราวกับจะกลั้นเสียงหัวใจไม่ให้เต้นแรงกว่านี้ มือเขากำแน่น ก่อนจะตัดสินใจเดินลึกเข้าไปในป่า เส้นทางข้างหน้ามีรอยเลอะเป็นทาง...บางหยดห่างกันพอสมควร แสดงว่าเจ้าของเลือดยังมีแรงเดินต่อ “เป็นนีร่าแน่ ๆ” ไอล่ากระซิบ อีธานพยักหน้า แม้ใจหนึ่งเขาจะไม่อยากเชื่อว่าหญิงสาวที่เขาเคยโอบกอด จะต้องเดินลำพังท่ามกลางป่าเงียบสงัดเช่นนี้ ท่ามกลางอันตรายที่เขาควบคุมไม่ได้ ยิ่งเดินลึก เสียงนกเงียบลง อากาศเย็นลงอย่างน่าประหลาด ก่อนหน้าไม่ไกล พุ่มไม้เคลื่อนไหวบางเบา... เขายกมือให้ทั้งสองหยุด “ได้ยินไหม” เสียงกิ่งไม้หักดังเบา ๆ ราวมีบางอย่าง—หรือบางคน—เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า หัวใจอีธานเต้นถี่ เขาก้าวช้า ๆ ไปยังพุ่มไม้นั้น มือจับดาบที่เหน็บข้างเอวไว้แน่น... ฝีเท้าของอีธานหยุดชะงัก เมื่อกลิ่นเหม็นเน่าบางอย่างแตะจมูก ไม่ใช่กลิ่นของสัตว์ที่ตายตามธรรมชาติ แต่มันคือกลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นคาวเลือดที่อบอวลอยู่ในอากาศรอบตัว ไอล่าทำท่าจะอาเจียน "พระเจ้า...กลิ่นบ้าอะไรเนี่ย" อีธานชักดาบออกมา เสียงโลหะขูดกับปลอกดังแผ่วในความเงียบ "ตามมาให้เงียบที่สุด" พวกเขาเดินอ้อมพุ่มไม้ไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว ภาพตรงหน้าก็ทำให้ทุกคนชะงัก ในลานหินกว้างกลางป่า มีเสาไม้ท่อนใหญ่ปักเรียงเป็นวงกลม ตรงกลางคือซากศพถูกห้อยหัวลงจากไม้ เสียงแมลงวันบินวนรอบ ๆ ไม่อาจกลบเสียงลมหายใจของทั้งสามที่เริ่มหนักขึ้น "บ้าเอ๊ย..." รัฟเฟอร์พึมพำ พร้อมถอยกรูดโดยไม่รู้ตัว ไอล่าเบือนหน้าหนี มือกำหน้าอกตัวเองแน่นราวกับหัวใจจะหลุดออกมา "ดูนั่น" อีธานชี้ไปยังแท่นหิน ที่มีสัญลักษณ์ประหลาดถูกวาดด้วยเลือดสด ผสมกับถ่านและเศษอวัยวะแห้งๆ ที่ดูเหมือนถูกเซ่นไหว้ "มีคนอยู่ที่นี่..." ไอล่าเสียงสั่น อีธานกำดาบแน่นขึ้น ดวงตาคมกริบเหลือบมองรอบตัว เสียงใบไม้แห้งถูกเหยียบเบา ๆ จากทางทิศตะวันตก... ไม่ใช่เสียงของสัตว์ ไม่ใช่ของพวกเขา ทันใดนั้น ร่างหนึ่งโผล่จากเงาไม้ — ผิวหนังของมันซีดคล้ำแตกระแหงเหมือนแห้งกรังจากแสงแดดหลายสิบปี ดวงตาแดงก่ำไร้สติ ร่างกายผ่ายผอมแต่เต็มไปด้วยรอยแผล ราวกับมันไม่เคยตาย ไม่เคยพัก แล้วอีกสองร่างก็ตามออกมา จากนั้นอีกห้า...สิบ... พวกมันค่อย ๆ ล้อมวงเข้ามา ช้า...แต่มั่นคง ราวกับฝูงสัตว์ที่หิวโหยไม่รู้จบ "พวกมัน...ไม่ใช่คน.." รัฟเฟอร์เสียงแหบ ไอล่ากระซิบเสียงสั่น "เผ่ากินคน...ฉันเคยได้ยินเรื่องเล่าในหมู่กะลาสี—คนพวกนี้ถูกสาปจากบาปในอดีต...กินเนื้อคนเป็นอาหาร...ไม่ยอมตายแม้หมดวิญญาณ" อีธานสบถในลำคอ "ถ้าเรื่องเล่านั้นจริง เราไม่มีทางคุยกับพวกมันได้แน่" หนึ่งในพวกนั้นคำรามเสียงต่ำ แล้วพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็วเกินคาด! อีธานสะบัดดาบฟันฉับ — เลือดสีดำทะมึนกระเซ็น แต่ร่างนั้นยังไม่ล้ม มันเพียงชะงัก แล้วพุ่งกลับมาอีกครั้งราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บ "วิ่ง!" เขาตะโกน ทั้งสามพุ่งทะยานเข้าไปในป่าราวพายุ เสียงกรีดร้องไล่หลัง เสียงฝีเท้าหนักลากลากบนพื้นดิน พวกมันไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่หยุดหายใจ "เราต้องหาที่สูง!" ไอล่าตะโกนกลับมา "หรือถ้ำ!" อีธานตอบพลางวิ่งฝ่าพุ่มไม้หนา เขาไม่รู้ว่าข้างหน้าคืออะไร — แต่เขารู้แค่ว่าเขาต้องรอด...เพื่อนำเรื่องนี้ไปเตือนนีร่า และปกป้องเธอกับน้องสาวจากนรกที่แฝงในเกาะสวรรค์แห่งนี้ เสียงฝีเท้ารัวเร่ง เสียงลมหอบหายใจกลบเสียงธรรมชาติไปสิ้น อีธานวิ่งนำอยู่ข้างหน้า ไอล่ากับรัฟเฟอร์วิ่งตามหลังมาติด ๆ ความมืดเริ่มโรยตัวลงมาราวม่านกำมะหยี่หนาทึบ กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเหงื่อและความกลัวผสมปะปนกันจนเขารู้สึกคล้ายจะอาเจียนออกมา “ทางนี้!” เขาตะโกน เมื่อเห็นโพรงแคบที่ดูเหมือนจะลอดเข้าไปได้ แต่แล้ว—เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง “ไอล่า!” อีธานชะงักเท้า หมุนกลับไปทันที แต่สิ่งที่เขาเห็นคือความว่างเปล่า... ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น—แม้แต่เสียงฝีเท้าหรือลมหายใจ ไม่มีเงาของลูกเรือไม่มีเสียงครวญของไอล่า มีเพียงพุ่มไม้ที่สั่นไหวเล็กน้อย และลมหอบแผ่วเบาราวเสียงกระซิบของบางสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ “...ไม่...” อีธานกัดฟัน ดาบในมือแน่นขึ้นจนเส้นเลือดปูดบนหลังมือ “ไอล่า!! รัฟเฟอร์!!” เขาตะโกนลั่น — แต่ป่าตอบกลับเพียงเสียงสะท้อนเงียบงัน และเสียงฝีเท้าเบาบางที่ไม่แน่ใจว่าเป็นของใครหรือของอะไร เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม แต่พุ่มไม้ที่เคยผ่านมา กลับเปลี่ยนไป เหมือนถูกบิดเบือน ราวกับตัวป่ามีชีวิตและเล่นตลกกับเขา "นี่มันบ้าอะไรกัน..." เขากระซิบกับตัวเอง หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู แล้วจู่ ๆ เสียงกระซิบก็ดังขึ้นเบา ๆ จากทุกทิศ > “ผู้มาเยือน...ผู้ล่วงล้ำ...เลือดเจ้า...จักเซ่นเรา...” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเดียว แต่เป็นหลายเสียง หลายเพศ หลายวัย แทรกซ้อนกันเหมือนคลื่นเสียงที่ปะทะสมอง อีธานทรุดลงคุกเข่า มือทั้งสองปิดหูไว้แน่น แต่เสียงนั้นยังดังอยู่ภายใน ไม่ว่าจะกลบยังไง “หยุด...หยุด!!” เขาตะโกนสุดเสียง ทันใดนั้น ความเงียบก็กลับมา...ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเขาลืมตาขึ้น...เขาไม่ได้อยู่ในจุดเดิมแล้ว รอบตัวเขาคือสุสานโบราณกลางป่า ต้นไม้แห้งกรอบล้อมรอบ แท่นหินที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์เลือดและกระดูก นับสิบ นับร้อย วางเรียงคล้ายบทสวดของความตาย ท่ามกลางทั้งหมดนั้น มีบางอย่างเคลื่อนไหวช้า ๆ...ใต้เงาไม้...ใต้ดิน หรือ...ใต้ผิวโลกที่แตกร้าว? และภายใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่ขึ้นอย่างผิดธรรมชาติ มีเศษผ้าขาดรุ่งริ่งติดอยู่—ผ้าของชุดไอล่าแน่นอน อีธานกัดฟัน น้ำตาไม่ได้ไหลออกมา แต่ความเจ็บแสบแผ่ไปทั่วอก เขายืดหลังขึ้น ค่อย ๆ หมุนตัวอย่างระมัดระวัง เพราะตอนนี้...เขารู้แล้วว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว และเงามืดรอบตัว...ไม่ใช่แค่ต้นไม้กลับสู่ปัจจุบันนีร่าผงะออกจากแท่นหิน ดวงตาเธอเปลี่ยนกลับเป็นปกติ แต่น้ำตาไหลอาบแก้ม“ไม่...ข้าไม่อยากเป็นแบบนั้น” เธอกระซิบ “ข้าไม่อยากฆ่าใคร...ไม่อยากกลายเป็นสัตว์ร้าย”อีธานประคองเธอแน่น “เจ้าคือเจ้าคนเดิม นีร่า...เราเลือกทางเดินของตัวเองได้”ชายชราเพียงเงียบ ก่อนเดินไปยังผนังด้านหลัง เขาดึงแผ่นศิลาออก เผยให้เห็น ตราประทับสุดท้าย — รูปเกล็ดเงือกสีเงินไขว้กับเลือดสีแดง“เลือดเจ้าคือประตูสุดท้ายที่จะเปิดพลังของ ‘อาทรามา’”“แต่หากเจ้าปิดมันด้วยตนเอง — เจ้าจะสูญเสียพลังทั้งหมด... กลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา”นีร่าก้มหน้าสั่น “ข้าต้องเลือกระหว่าง ‘เป็นตัวข้า’ หรือ ‘เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้’...”มาริเบลเดินเข้ามาจับมือพี่สาว“ไม่ว่าพี่จะเลือกอะไร ข้าก็จะอยู่กับพี่...จนกว่าจะถึงที่สุด”เสียงจากเบื้องบนเริ่มดังขึ้นอีกครั้งแสงไฟจากตะเกียงและเสียงรองเท้าเหล็กกระทบพื้นหินสะท้อนเข้ามาในอุโมงค์กองทหารของเจ้าชายเฟอเรส...อีธานหันมามองทุกคนเสียงฝีเท้าเริ่มใกล้เข้ามาทหารของเจ้าชายเฟอเรสกำลังเข้าประชิดอุโมงค์ใต้พระราชวัง พวกอีธานไม่มีเวลาอีกแล้วนีร่ายืนหน้าตรงต่อหน้าตราประทับสุดท้ายเธ
บรรยากาศในวิหารใต้ดินเงียบงันจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคนชัดเจนแสงจากลวดลายโบราณบนพื้นค่อย ๆ จางลง ทิ้งไว้เพียงแสงสีน้ำเงินสลัวจากแท่นศิลาเบื้องหน้านีร่ายืนเซเล็กน้อย เธอรู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว แต่ขณะเดียวกันกลับร้อนรุ่มภายในอีธานพยายามประคองเธอ “เจ้าไหวไหม?”“เหมือนข้า...ได้ยินเสียง...” นีร่ากระซิบ ดวงตาของเธอกำลังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองแสงจาง ๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัวมาริเบลเบิกตากว้าง “ตาของเจ้า...นีร่า...เหมือนตาของแม่เราในคืนสุดท้าย...”ทันใดนั้นเอง เสียงบางอย่างดังขึ้นจากมุมมืดของวิหารเสียงฝีเท้าเก่าแก่... และเงาหนึ่งปรากฏออกจากหลังเสาหินชายชราผิวซีดในผ้าคลุมสีดำเดินออกมาช้า ๆ ดวงตาเขาขุ่นมัวคล้ายคนมองทะลุอดีตมาหลายร้อยปี“ในที่สุด... นางก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง”ทุกคนชะงัก“เจ้าคือใคร?” ไอล่าถาม มือแตะดาบอย่างระวังชายชราไม่ตอบคำถามตรง เขาจ้องนีร่าแน่นิ่งก่อนพูดเสียงแผ่ว “เงือกแห่งคำสาป...เงือกที่ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของราชาและคราบเกลือพันปี”นีร่าถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หัวใจเธอเต้นแรงจนรู้สึกชาไปทั้งร่าง“ข้า...ไม่เข้าใจ” เธอพูดเบา ๆชายชราก้าวเข้าใกล้แท่นศิลาเขาวางมือลงบนตราสัญลั
อีธานนอนไม่หลับ เขาเดินออกมายังระเบียงวังพบกับนักบวชชรานั่งจุดตะเกียงอยู่คนเดียว“ท่านมาจากดาร์กวาเรนใช่หรือไม่?” นักบวชถาม“ใช่” อีธานตอบ “ทำไม?”นักบวชหันมามองเขา ตาเขาขุ่นเหมือนคนที่เห็นอะไรมานาน“พวกเจ้าไม่ควรมีชีวิตรอดออกมา”“และหากเมืองมันปล่อยพวกเจ้ามา... แปลว่า มันเลือกแล้วว่าใครจะนำบางสิ่งติดมาด้วย”อีธานขมวดคิ้ว “หมายถึงอะไร?”นักบวชไม่ตอบ แต่เขายื่นเศษผ้าผืนหนึ่งมาให้“ถ้าเธอเริ่มมีแผล... อย่าให้เลือดของเธอตกบนพื้นหินเมืองนี้เด็ดขาด”เช้ามืดวันถัดมา ฟ้าขาวหม่น เหมือนไม่ได้ผ่านคืนที่แท้จริงนีร่าไม่ได้นอน เธอนั่งอยู่บนระเบียงหินสูง มองออกไปที่ทะเลเบื้องล่างนิ้วมือซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ ผิวเริ่มลอกออกเป็นลายริ้วบางแผ่นเนื้อบาง ๆ คล้ายเกล็ด ค่อย ๆ ปรากฏบนข้อนิ้วทีละชั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว”อีธานนีร่าไม่หันไปมอง “ข้าเองก็เคยคิดแบบนั้น”อีธานเดินมานั่งข้างเธอเงียบ ๆ ลมทะเลปะทะใบหน้าเขาเหลือบมองเธอ ก่อนถามตรง“เมื่อคืน... เจ้าชายพูดอะไรกับเจ้า?”นีร่ายังคงมองทะเล “เขาบอกว่า ข้ากำลังเปลี่ยน”อีธานนิ่งไปชั่วอึดใจ“เปลี่ยนเป็นอะไ
ทะเลยามรุ่งอรุณนั้นเงียบอย่างผิดปกติเสียงคลื่นซัดฝั่งแผ่วลงจนเหมือนโลกหยุดหายใจ — และเมืองดาร์กวาเรนที่ครั้งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บัดนี้เงียบงันดั่งสุสานอีธานยืนอยู่กลางลาน ข้างนีร่า ไอล่า และมาริเบลพวกเขายืนเงียบเหมือนนักโทษที่เพิ่งรู้ว่า "กำแพงรอบตัวไม่ใช่กำแพง" — แต่คือเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นนีร่าหลุบตามองผิวแตกร้าวบนแขนตนเองที่เริ่มแตกกระจายเป็นลวดลายแห้งกรังอีกครั้งน้ำทะเลเมื่อคืนหล่อเลี้ยงเธอได้เพียงครู่... ตอนนี้ผิวเริ่มร่วงหล่นอีกหนเธอไม่พูดอะไร... เพราะทุกคนรู้แล้วว่าต้องหนีแต่หนีไปไหน?จนกระทั่ง...“เรือ!”เสียงของไอล่าเบา แต่เฉียบคมเหมือนใบมีดทุกคนหันขวับไปที่ขอบผาเบื้องหน้า — ที่นั่นฝ่าหมอกยามเช้าบางเบา มีเรือขนาดกลางลำหนึ่งแล่นตรงมาอย่างเชื่องช้าธงบนหัวเสากระพือในลม — เป็นสัญลักษณ์ที่อีธานจำได้… นั่นเรือของมนุษย์” เขาพึมพำทันทีที่เรือเข้าเทียบท่า...กลุ่มชายชุดเกราะสีเข้มกระโดดลงมาพร้อมอาวุธครบมือท่าทางเคร่งขรึม แต่ไม่ใช่เพื่อสู้รบ — แต่เพื่อภารกิจที่เงียบงันยิ่งกว่าหัวหน้ากลุ่มนั้นมีผ้าคลุมสีดำขลิบทองผิวเข้มจากแดดดินแดนไกล และดวงตาสีเทานิ่ง
นีร่าไม่เคยกลัวแสงแดดแต่ยามเช้าของวันที่สามบนแผ่นดินเธอเริ่มหลีกเลี่ยงมัน… อย่างไม่รู้ตัวผิวของเธอเคยเนียนชื้น ดั่งเนื้อปลาในละอองเกลือแต่ตอนนี้ แห้งตึงแห้งจนเมื่อเธอขยับนิ้วแขน เหมือนมีบางอย่าง ลั่นอยู่ใต้ผิวหนังเธอเอามือแตะต้นแขนและพบว่าผิวเริ่มแตกลายบางจุดเส้นรอยแตกเล็ก ๆ ที่เหมือนลายแห้งบนดินร้าง...บางจุดหลุดออกเป็น เศษสะเก็ดบาง ๆ ราวกับเกล็ดปลาที่แห้งกรังเมื่อเธอเกา เศษผิวซีดขาวร่วงลงกับพื้นทรายและจากใต้รอยนั้น... มี เบทะ ของเหลวใสอมเงินที่คล้ายเลือดของเงือกซึมออกมาเงียบ ๆ เหมือนหยดน้ำจากหินในถ้ำเธอหอบเบา ๆหน้าอกกระเพื่อม ผิวตรงซี่โครงขึ้นเงา — ไม่ใช่เหงื่อ แต่เป็นการตอบสนองสุดท้ายของผิวที่ “เคยอยู่ใต้น้ำ”ความเงียบที่ไม่สามารถพูดเธอไม่บอกอีธานเพราะในแววตาของเขามีความสุขและเธอไม่อยากให้เขารู้ว่า ร่างของเธอ กำลังค่อย ๆ แหลกสลายจากภายในเมื่อเขายื่นถ้วยน้ำจืดมาให้ เธอรับไว้แต่ไม่ใช่เพื่อดื่ม เธอรินลงมือ แล้วลูบเข้ากับแขนชะโลมเบา ๆ ให้ผิวไม่ขาดน้ำเปล่าเย็นเฉียบไหลลงมาตามข้อศอกและเธอ... หลับตาในชั่ววินาทีนั้น เหมือนได้หายใจใต้น้ำอีกครั้งหนึ่งคืนที่เธอร้องไห้เงี
เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดของเรือเก่า ส่งเสียงผสานกับเสียงคลื่นที่สาดซัดเข้ากระดานเรือเป็นระยะ มันไม่ใช่เรือที่มั่นคงนัก แต่พอพาให้พวกเขาหลุดจากผืนแผ่นดินที่แทบพรากชีวิตไปแล้วอีธานกับแบร์กตันช่วยกันกางใบเรือซึ่งผ่านการปะซ่อมอย่างเร่งรีบ เชือกมัดเสาบางจุดแทบจะหลุดออกจากกัน ขณะที่มาริเบลกับนีร่าแยกผลไม้ป่าที่เก็บมาใส่ภาชนะ บางอย่างเริ่มเน่าแล้ว แต่ก็ยังดีกว่าความว่างเปล่า“เรามีเวลาไม่มากก่อนน้ำจะหมด” อีธานกล่าวเรียบ ๆ พลางตรวจถังไม้ที่ใช้รองน้ำค้างจากใบไม้แบร์กตันยืนนิ่ง มองเกาะที่ค่อย ๆ จางหายไปในสายหมอก — ไม่พูดอะไรเลย---วันที่สองกลางทะเลแสงแดดแรงจัด พื้นเรือร้อนจนแผ่นไม้แตกร้าวในบางจุดลูกเรือพยายามใช้ผ้าชุบน้ำพันศีรษะ ลดอาการเพลียแดด อีธานวัดระดับน้ำจืดในถัง แล้วแจกแจง“เหลือพอให้กินได้วันละสองอึก... ถ้าไม่มีฝน เราต้องเริ่มจับน้ำทะเลกลั่นเอง”นีร่าเงยหน้ามองฟ้า “ไม่มีเมฆ... ไม่มีลม... ไม่มีนก...”เหมือนทุกอย่างรอบตัวกลืนหาย — พวกเขาอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า---วันที่ห้าเข็มทิศหมุนช้า ๆ… แล้วหยุด… ก่อนจะหมุนกลับอีกทางอีธานเคาะมันกับขอบเรือ “มันเสียแน่ ๆ”“หรือเรือมันวนเป็นวงกลม”