แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้น
เท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไป ข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อย ข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ > “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน “ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว” ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตา ข้าจับมือนางไว้แน่น > “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ” สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มีทางกลับ ข้างหน้า…มีเพียงเกาะปริศนา—ที่เราไม่รู้จักเลยสักนิด เราสองพี่น้องเริ่มก้าวเท้าเดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีใครปูไว้ พื้นดินปกคลุมด้วยพืชคลุมดินเลื้อยพัน ซากใบไม้และกิ่งไม้แห้งกรอบขยี้ใต้ฝ่าเท้าทุกย่างก้าว เสียงของเราดังชัดในป่าเงียบอย่างไม่น่าไว้วางใจ > “พี่…นี่มันที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงเงียบขนาดนี้…” > “ข้าไม่รู้…แต่มันเหมือนป่าที่ไม่อยากให้ใครเข้ามา” ข้าตอบในลำคอ เสียงสัตว์ป่ากระซิบแว่วตามสายลม—นกกลางคืนตัวเล็กส่งเสียงร้องหวิว หมากลางป่าหอนเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจว่ากำลังขู่ภัย หรือเตือนให้เราถอยกลับ เถาวัลย์เลื้อยพันตามกิ่งไม้ ก่อตัวเป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่แสงจันทร์ลอดผ่านเพียงเล็กน้อย เงาไม้ตกทอดลงบนผิวของเรา ราวกับมือของสิ่งลึกลับจากอดีตกำลังลูบไล้ผิวเนื้อที่ไม่คุ้นเคย > “พี่ นั่นแสงอะไร…” ข้าหยุดฝีเท้า หรี่ตามอง—เบื้องหน้าในพงไม้หนา มีแสงสีฟ้าเรืองรองลอดช่องใบไม้ คล้ายแสงจากหิ่งห้อย หากแต่มันไม่เคลื่อนไหว…นิ่งเหมือนหยดแสงจากดวงวิญญาณ ข้าดึงมือมาริเบลไว้แน่น > “เราอาจจะต้องไปดู…มันอาจนำทางเรา หรือ…เป็นกับดักก็ได้” ข้าเอ่ยพลางสูดหายใจเข้าลึก ฝีเท้าเราแผ่วเบาลง ข้าก้าวนำช้า ๆ ผ่านพงไม้และเถาวัลย์ แล้วแหวกแนวพุ่มไม้สุดท้ายออก ตรงหน้าคือ…ที่ราบเล็ก ๆ กลางป่าที่ถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงชะลูด แสงสีน้ำเงินที่เห็นคือแหล่งน้ำ—บ่อน้ำตื้นที่ผิวสะท้อนแสงเหมือนท้องฟ้ายามรุ่งสาง ใต้น้ำนั้นมีประกายแสงบางอย่างเคลื่อนไหว…คล้ายสิ่งมีชีวิต แต่ไม่ใช่ปลา > “ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย…” มาริเบลกระซิบ ดวงตานางเบิกกว้างขณะจ้องมองลงไป ข้าค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างบ่อ เอื้อมมือแตะผิวน้ำเบา ๆ แสงสีน้ำเงินพุ่งวาบขึ้นรอบนิ้วคล้ายมีบางอย่างตอบรับการสัมผัส และทันใดนั้น…แสงนั้นก็พุ่งผ่านขึ้นสู่กลางอากาศ กลายเป็นภาพลาง ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง—ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเศร้าสร้อย สวมผ้าคลุมยาวจรดพื้น > “จงระวัง…ทางข้างหน้าไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่ตาเห็น” เสียงของนางดังก้องในหัว ไม่ใช่การพูด แต่เหมือนถ้อยคำถูกส่งตรงเข้าจิตใจ มาริเบลตัวสั่น ข้าดึงนางเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง แสงนั้นค่อย ๆ จางลง ก่อนบ่อจะกลับมาเงียบงันราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเราสองพี่น้องไม่พูดอะไรอีก เพราะคำเตือนนั้น…มันชัดเจนพอแล้ว เราเดินต่อท่ามกลางป่าเงียบ ความมืดคลืบคลานเข้ามาในจิตใจไม่ต่างจากเงาไม้ที่ทอดทับลงบนผิว ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า เท้าที่เพิ่งได้มายังอ่อนแรง มาริเบลเริ่มก้าวช้าลง น้ำเสียงนางเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ > “พี่…ข้ารู้สึก…มึน ๆ” ข้าเหลือบตามองนาง สีหน้านางซีดจางเกินธรรมดา > “อดทนอีกนิดนะ เราต้องหาที่พักคืนนี้ให้ได้ก่อน” พงไม้เบื้องหน้าเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นซากกระท่อมไม้เก่าแก่ กำแพงผุพัง หลังคาเอนเอียง แต่ยังมีบางส่วนที่พอจะกันลมกันฝนได้ ข้าพยุงน้องเข้าด้านใน ใช้ใบไม้แห้งที่กวาดได้ปูรองพื้นอย่างลวก ๆ > “คืนนี้เราจะพักที่นี่” ข้ากระซิบข้างหูนาง ลูบผมนางเบา ๆ พลางแนบมือลงบนหน้าผาก มันร้อน…ผิดปกติ ข้าขมวดคิ้ว หัวใจเริ่มสั่นไหว > “ขออย่าให้เป็นอะไรร้ายแรงเลย…” เช้าวันถัดมา เสียงนกร้องแผ่วเบาในผืนป่าที่เงียบสงบ...แต่ภายในกระท่อมไม้เก่ากลางเกาะ กลับไม่สงบเช่นธรรมชาติที่ล้อมรอบ มาริเบลนอนนิ่งอยู่บนพื้นใบไม้ที่ข้าเพิ่งสางทำความสะอาดเมื่อคืน มือข้างหนึ่งของนางวางพาดเหนืออก ส่วนอีกข้างถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวเก่า ๆ ซึ่งเริ่มซึมเป็นสีคล้ำแดง น้ำหนองไหลซึมผ่านผืนผ้าอย่างช้า ๆ จนเปียกชื้นตรงกลาง แผลฟันที่แขนของนาง—รอยลึกที่ได้จากการถูกฟันด้วยดาบสั้นของโจรสลัด—เริ่มบวมพอง ปากแผลบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเถาไม้มีพิษแทรกเข้าไปในเนื้อใน ข้านั่งอยู่ข้างกาย ก้มหน้าแนบมือแตะหน้าผากนาง—เย็นเฉียบผิดธรรมดา แต่เหงื่อกลับซึมทั่วขมับ > “มาริเบล…” ข้าเรียกเบา ๆ ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมเปียกเหงื่อของนางออกจากใบหน้า “อดทนไว้นะเจ้า…อีกนิดเดียว พี่จะหายาให้เจ้าเอง…” มาริเบลลืมตาช้า ๆ ดวงตาของนางแดงจัด ขอบตาอักเสบเล็กน้อย > “ข้า…เจ็บจังเลยพี่” เสียงของนางแหบพร่า “เหมือนไฟมันแผดเผาอยู่ข้างใน…” ข้าสูดหายใจลึก พยายามไม่ให้แววตาแสดงความกลัว แผลฟันนั้น...ไม่ได้ลึกถึงกระดูก แต่ดูไม่ปกติเลยสักนิด ข้าคิดย้อนถึงตอนที่พวกเราวิ่งหนีจากชายฝั่ง ตอนที่พวกมันกรูเข้ามา น้องสาวข้าถูกเฉือนแขนด้วยดาบของชายในชุดคลุมสีเลือดคนนั้น—คนที่ตะโกนสั่งให้นำพวกเราไปขึ้นเรือของแบร์กตัน ดาบของมันไม่ใช่แค่ดาบธรรมดา…ข้ายังจำได้ดี—ขอบดาบคมปลาบมีคราบบางอย่างที่เหมือนยางไม้สีม่วงเข้มเคลือบอยู่…กลิ่นฉุนรุนแรงเหมือนดอกไม้ป่าที่เน่าเปื่อย ข้าไม่เคยสนใจนักในตอนนั้น แต่ตอนนี้... > “พิษ…” ข้ากระซิบกับตนเองเบา ๆ “ดาบของมันน่าจะเคลือบพิษ…” มาริเบลเริ่มหายใจถี่ขึ้น สีหน้าเริ่มซีดเซียวจนข้าต้องจับไหล่นางไว้แน่น > “อย่าเพิ่งหลับนะ…เจ้าได้ยินเสียงข้าไหม?” ข้าพูดใกล้หูนาง “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน…ได้ยินไหม มาริเบล?” > “พี่…” นางกัดฟันแน่น น้ำตาไหลออกจากหางตา “ข้ารู้สึกเหมือนตัวข้ากำลังละลาย…” ข้ากำมือแน่น…ตัวสั่น ในใจรู้ดีว่า ถ้ายังไม่หาทางรักษา—หรืออย่างน้อยก็หาสมุนไพรที่พอจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้—มาริเบลอาจไม่รอดถึงคืนถัดไป ข้าตัดสินใจในวินาทีนั้น > “เจ้าต้องรออยู่ตรงนี้ เข้าใจไหม?” ข้าบอกเสียงหนักแน่น “พี่จะเข้าไปในป่าลึก หายา หาหมอ หาอะไรก็ได้ที่จะช่วยเจ้าให้พ้นจากคำสาปร้ายนี้…” นางมองข้าด้วยแววตาเลือนลาง—แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ราวกับหมดแรงจะฝืน ข้าโน้มตัวจูบหน้าผากนาง—เย็นดั่งน้ำแข็ง ข้าลุกขึ้น...หันหน้าสู่ป่าทึบที่ไม่เคยรู้จัก เส้นทางไม่มีใครบอก ทิศไม่มีใครนำ แต่ข้าจะไป—แม้ต้องสู้กับปีศาจแห่งผืนป่า แม้ต้องฝ่าลมพายุและคำสาปของแผ่นดินลับแลเมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร