แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้น
เท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไป ข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อย ข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ > “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน “ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว” ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตา ข้าจับมือนางไว้แน่น > “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ” สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มีทางกลับ ข้างหน้า…มีเพียงเกาะปริศนา—ที่เราไม่รู้จักเลยสักนิด เราสองพี่น้องเริ่มก้าวเท้าเดินไปตามเส้นทางที่ไม่มีใครปูไว้ พื้นดินปกคลุมด้วยพืชคลุมดินเลื้อยพัน ซากใบไม้และกิ่งไม้แห้งกรอบขยี้ใต้ฝ่าเท้าทุกย่างก้าว เสียงของเราดังชัดในป่าเงียบอย่างไม่น่าไว้วางใจ > “พี่…นี่มันที่ไหนกันแน่ ทำไมถึงเงียบขนาดนี้…” > “ข้าไม่รู้…แต่มันเหมือนป่าที่ไม่อยากให้ใครเข้ามา” ข้าตอบในลำคอ เสียงสัตว์ป่ากระซิบแว่วตามสายลม—นกกลางคืนตัวเล็กส่งเสียงร้องหวิว หมากลางป่าหอนเบา ๆ อย่างไม่แน่ใจว่ากำลังขู่ภัย หรือเตือนให้เราถอยกลับ เถาวัลย์เลื้อยพันตามกิ่งไม้ ก่อตัวเป็นอุโมงค์ธรรมชาติที่แสงจันทร์ลอดผ่านเพียงเล็กน้อย เงาไม้ตกทอดลงบนผิวของเรา ราวกับมือของสิ่งลึกลับจากอดีตกำลังลูบไล้ผิวเนื้อที่ไม่คุ้นเคย > “พี่ นั่นแสงอะไร…” ข้าหยุดฝีเท้า หรี่ตามอง—เบื้องหน้าในพงไม้หนา มีแสงสีฟ้าเรืองรองลอดช่องใบไม้ คล้ายแสงจากหิ่งห้อย หากแต่มันไม่เคลื่อนไหว…นิ่งเหมือนหยดแสงจากดวงวิญญาณ ข้าดึงมือมาริเบลไว้แน่น > “เราอาจจะต้องไปดู…มันอาจนำทางเรา หรือ…เป็นกับดักก็ได้” ข้าเอ่ยพลางสูดหายใจเข้าลึก ฝีเท้าเราแผ่วเบาลง ข้าก้าวนำช้า ๆ ผ่านพงไม้และเถาวัลย์ แล้วแหวกแนวพุ่มไม้สุดท้ายออก ตรงหน้าคือ…ที่ราบเล็ก ๆ กลางป่าที่ถูกล้อมรอบด้วยต้นไม้สูงชะลูด แสงสีน้ำเงินที่เห็นคือแหล่งน้ำ—บ่อน้ำตื้นที่ผิวสะท้อนแสงเหมือนท้องฟ้ายามรุ่งสาง ใต้น้ำนั้นมีประกายแสงบางอย่างเคลื่อนไหว…คล้ายสิ่งมีชีวิต แต่ไม่ใช่ปลา > “ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย…” มาริเบลกระซิบ ดวงตานางเบิกกว้างขณะจ้องมองลงไป ข้าค่อย ๆ คุกเข่าลงข้างบ่อ เอื้อมมือแตะผิวน้ำเบา ๆ แสงสีน้ำเงินพุ่งวาบขึ้นรอบนิ้วคล้ายมีบางอย่างตอบรับการสัมผัส และทันใดนั้น…แสงนั้นก็พุ่งผ่านขึ้นสู่กลางอากาศ กลายเป็นภาพลาง ๆ ของหญิงสาวคนหนึ่ง—ใบหน้าซีดขาว ดวงตาเศร้าสร้อย สวมผ้าคลุมยาวจรดพื้น > “จงระวัง…ทางข้างหน้าไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่ตาเห็น” เสียงของนางดังก้องในหัว ไม่ใช่การพูด แต่เหมือนถ้อยคำถูกส่งตรงเข้าจิตใจ มาริเบลตัวสั่น ข้าดึงนางเข้ามากอดแน่นอีกครั้ง แสงนั้นค่อย ๆ จางลง ก่อนบ่อจะกลับมาเงียบงันราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พวกเราสองพี่น้องไม่พูดอะไรอีก เพราะคำเตือนนั้น…มันชัดเจนพอแล้ว เราเดินต่อท่ามกลางป่าเงียบ ความมืดคลืบคลานเข้ามาในจิตใจไม่ต่างจากเงาไม้ที่ทอดทับลงบนผิว ร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า เท้าที่เพิ่งได้มายังอ่อนแรง มาริเบลเริ่มก้าวช้าลง น้ำเสียงนางเริ่มอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ > “พี่…ข้ารู้สึก…มึน ๆ” ข้าเหลือบตามองนาง สีหน้านางซีดจางเกินธรรมดา > “อดทนอีกนิดนะ เราต้องหาที่พักคืนนี้ให้ได้ก่อน” พงไม้เบื้องหน้าเปิดออกอีกครั้ง เผยให้เห็นซากกระท่อมไม้เก่าแก่ กำแพงผุพัง หลังคาเอนเอียง แต่ยังมีบางส่วนที่พอจะกันลมกันฝนได้ ข้าพยุงน้องเข้าด้านใน ใช้ใบไม้แห้งที่กวาดได้ปูรองพื้นอย่างลวก ๆ > “คืนนี้เราจะพักที่นี่” ข้ากระซิบข้างหูนาง ลูบผมนางเบา ๆ พลางแนบมือลงบนหน้าผาก มันร้อน…ผิดปกติ ข้าขมวดคิ้ว หัวใจเริ่มสั่นไหว > “ขออย่าให้เป็นอะไรร้ายแรงเลย…” เช้าวันถัดมา เสียงนกร้องแผ่วเบาในผืนป่าที่เงียบสงบ...แต่ภายในกระท่อมไม้เก่ากลางเกาะ กลับไม่สงบเช่นธรรมชาติที่ล้อมรอบ มาริเบลนอนนิ่งอยู่บนพื้นใบไม้ที่ข้าเพิ่งสางทำความสะอาดเมื่อคืน มือข้างหนึ่งของนางวางพาดเหนืออก ส่วนอีกข้างถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวเก่า ๆ ซึ่งเริ่มซึมเป็นสีคล้ำแดง น้ำหนองไหลซึมผ่านผืนผ้าอย่างช้า ๆ จนเปียกชื้นตรงกลาง แผลฟันที่แขนของนาง—รอยลึกที่ได้จากการถูกฟันด้วยดาบสั้นของโจรสลัด—เริ่มบวมพอง ปากแผลบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเถาไม้มีพิษแทรกเข้าไปในเนื้อใน ข้านั่งอยู่ข้างกาย ก้มหน้าแนบมือแตะหน้าผากนาง—เย็นเฉียบผิดธรรมดา แต่เหงื่อกลับซึมทั่วขมับ > “มาริเบล…” ข้าเรียกเบา ๆ ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมเปียกเหงื่อของนางออกจากใบหน้า “อดทนไว้นะเจ้า…อีกนิดเดียว พี่จะหายาให้เจ้าเอง…” มาริเบลลืมตาช้า ๆ ดวงตาของนางแดงจัด ขอบตาอักเสบเล็กน้อย > “ข้า…เจ็บจังเลยพี่” เสียงของนางแหบพร่า “เหมือนไฟมันแผดเผาอยู่ข้างใน…” ข้าสูดหายใจลึก พยายามไม่ให้แววตาแสดงความกลัว แผลฟันนั้น...ไม่ได้ลึกถึงกระดูก แต่ดูไม่ปกติเลยสักนิด ข้าคิดย้อนถึงตอนที่พวกเราวิ่งหนีจากชายฝั่ง ตอนที่พวกมันกรูเข้ามา น้องสาวข้าถูกเฉือนแขนด้วยดาบของชายในชุดคลุมสีเลือดคนนั้น—คนที่ตะโกนสั่งให้นำพวกเราไปขึ้นเรือของแบร์กตัน ดาบของมันไม่ใช่แค่ดาบธรรมดา…ข้ายังจำได้ดี—ขอบดาบคมปลาบมีคราบบางอย่างที่เหมือนยางไม้สีม่วงเข้มเคลือบอยู่…กลิ่นฉุนรุนแรงเหมือนดอกไม้ป่าที่เน่าเปื่อย ข้าไม่เคยสนใจนักในตอนนั้น แต่ตอนนี้... > “พิษ…” ข้ากระซิบกับตนเองเบา ๆ “ดาบของมันน่าจะเคลือบพิษ…” มาริเบลเริ่มหายใจถี่ขึ้น สีหน้าเริ่มซีดเซียวจนข้าต้องจับไหล่นางไว้แน่น > “อย่าเพิ่งหลับนะ…เจ้าได้ยินเสียงข้าไหม?” ข้าพูดใกล้หูนาง “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน…ได้ยินไหม มาริเบล?” > “พี่…” นางกัดฟันแน่น น้ำตาไหลออกจากหางตา “ข้ารู้สึกเหมือนตัวข้ากำลังละลาย…” ข้ากำมือแน่น…ตัวสั่น ในใจรู้ดีว่า ถ้ายังไม่หาทางรักษา—หรืออย่างน้อยก็หาสมุนไพรที่พอจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้—มาริเบลอาจไม่รอดถึงคืนถัดไป ข้าตัดสินใจในวินาทีนั้น > “เจ้าต้องรออยู่ตรงนี้ เข้าใจไหม?” ข้าบอกเสียงหนักแน่น “พี่จะเข้าไปในป่าลึก หายา หาหมอ หาอะไรก็ได้ที่จะช่วยเจ้าให้พ้นจากคำสาปร้ายนี้…” นางมองข้าด้วยแววตาเลือนลาง—แต่ก็พยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง ราวกับหมดแรงจะฝืน ข้าโน้มตัวจูบหน้าผากนาง—เย็นดั่งน้ำแข็ง ข้าลุกขึ้น...หันหน้าสู่ป่าทึบที่ไม่เคยรู้จัก เส้นทางไม่มีใครบอก ทิศไม่มีใครนำ แต่ข้าจะไป—แม้ต้องสู้กับปีศาจแห่งผืนป่า แม้ต้องฝ่าลมพายุและคำสาปของแผ่นดินลับแลอุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส