แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับ
ไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย มีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิต เสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ "พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบา ไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง" จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ “เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ “สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง” แท่นหินตรงกลางลานพิธีเริ่มเปล่งแสงจาง ๆ เสาไม้รอบข้างค่อย ๆ ลุกเป็นไฟเงียบ ๆ โดยไม่มีเชื้อเพลิง ควันสีดำค่อย ๆ ไหลออกจากเสาแต่ละต้น ลอยคละคลุ้งกลางอากาศ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของรัฟเฟอร์ “รัฟเฟอร์! อย่าหลับตา!” ไอล่าร้องเตือน น้ำเสียงสั่นระรัว “อย่าให้พวกมันเข้าไปในใจเจ้า!” แสงสีดำพลันปะทุจากดวงตารัฟเฟอร์ เงาไร้รูปร่างค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลังเขา คล้ายสิ่งมีชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ ลมหายใจหายไปชั่วขณะ ทุกอย่างเหมือนถูกกลืนลงหลุมมืด แต่ก่อนที่พิธีจะสำเร็จ—เสียงฟันดาบจากป่าเบื้องล่างก็ดังขึ้น เสียงฝีเท้ากระทบพื้น และเสียงตะโกนอันคุ้นเคยของชายคนหนึ่ง “ไอล่า!!” อีธานพุ่งเข้ามาพร้อมดาบในมือ ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะและความกลัว วิญญาณเงามืดหันขวับมาทางเขา พร้อมเปล่งเสียงกรีดร้องบาดแก้วหู จุดเริ่มของความมืด ปีที่ 78 เรือโจรสลัดกลุ่มแรกนำโดย “กัปตันเฮนรี่ เบรนเดล” เทียบท่าที่อาเรซุน เขาไม่ได้มาค้าขาย หากแต่นำ “สิ่งของต้องสาป” มาด้วย — หีบเงินที่ภายในบรรจุ หัวใจของผู้ทรยศ ซึ่งเขาได้มาจากการปล้นเกาะหนึ่งที่ว่ากันว่าไม่มีใครออกมาได้ เผ่าซาเร ผู้ไม่เคยรู้จักคำว่า “คำสาป” นำหีบนั้นไปไว้ในวิหารด้วยความเคารพ เพราะมันเปล่งแสงประหลาดคล้ายผลึก แต่แล้ว...ภัยพิบัติก็เริ่มขึ้นในคืนจันทราสีเลือด เด็กเกิดมาร้องไห้เป็นเสียงกรีดร้องของหญิงแก่ สัตว์ที่เลี้ยงไว้เริ่มหายตัว และคนแรกที่ตาย...กลับฟื้นขึ้นมาด้วยดวงตาสีดำสนิท และเสียงกระซิบจาก "เทพที่ไม่รู้จัก" --- คำสาป วิญญาณที่อยู่ในหัวใจต้องสาป กลืนกินพลังของเกาะด้วยความหิวกระหาย มันสัญญา "ชีวิตนิรันดร์" ให้แก่ผู้นำเผ่าหากยอมถวายจิตวิญญาณแก่ตน หลายคนต่อต้าน แต่ก็ล้มตาย ส่วนผู้ที่ยอม...กลายเป็นเงา กลายเป็น ผู้กินเนื้อวิญญาณ ผู้คงอยู่ในความมืดตลอดกาล เมื่อเวลาผ่านไป ร่างเนื้อของเผ่าทั้งหมดก็ผุพัง เหลือเพียงเสียง กระซิบ ความทรงจำที่สาปแช่งตัวเอง พวกเขาไม่ตาย...แต่ไม่อาจมีชีวิต --- การล่มสลาย กัปตันเฮนรี่ เบรนเดล ผู้เป็นต้นเหตุ กลับมาพร้อมกองเรืออีกครั้ง หวังจะชิงสมบัติในวิหาร แต่เขาไม่เคยได้กลับออกไป.. เพราะเกาะได้กลืนกินเขาไปแล้ว นับแต่นั้น ไม่มีเรือลำใดเทียบท่าที่อาเรซุนอีก แผนที่ถูกฉีกทำลาย ชื่อเกาะหายไปจากบันทึกของทุกประเทศ แต่คำสาปยังคงอยู่... รอเหยื่อใหม่ รอ “สะพานวิญญาณ” ที่จะนำพวกมันกลับมามีร่างเนื้ออีกครั้ง... เสียงกรีดร้องของพวกมัน...ไม่ใช่เพียงแค่เสียง มันคือแรงสั่นสะเทือนในอากาศ คือเสียงของความตาย ความโกรธ และความหิวกระหาย ...ที่อัดแน่นอยู่ในความมืดมาเนิ่นนานเกินไป อีธานกระโจนเข้ากลางลานพิธี เสียงดาบในมือเขาฟันฉับใส่เถาวัลย์ต้องสาปที่มัดร่างไอล่า พริบตาเดียวเชือกหลุดกระเด็น “ลุกขึ้น! ไปกับข้า!” เสียงเขาเข้มแต่ไม่สั่น ไอล่าหน้าเปื้อนน้ำตา พยักหน้าทันที นางแทบไม่เชื่อว่าเขามาถึงได้จริง ๆ แต่ยังไม่ทันก้าวหนี แสงดำพลันพวยพุ่งจากแท่นหินกลางพิธี เงามืดรวมตัวกันเหมือนงูพันรอบศีรษะรัฟเฟอร์ ร่างของเขายืดตรงขึ้น ดวงตาที่เคยเป็นมนุษย์กลายเป็นหลุมลึกสีเทาดำ เสียงจากลำคอเขาไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป... > “หนีไม่ได้... ไม่มีใครหนีจากข้าได้…” “รัฟเฟอร์…?” ไอล่ากระซิบ แต่เขาไม่ตอบ วิญญาณเงามืดแผดกรีดร้องออกมา เสียงนั้นบีบหูจนแทบทรุด และร่างของรัฟเฟอร์...พุ่งใส่อีธาน ฉัวะ! อีธานยกดาบขึ้นกันไว้ได้ทัน ใบดาบกระแทกกับกรงเล็บสีดำที่ยืดยาวจากมือเพื่อนของเขา...หรือสิ่งที่เคยเป็นเพื่อน "เขาไม่ใช่รัฟเฟอร์แล้ว!" อีธานตะโกน เสียงกรีดร้องรอบลานดังลั่นอีกครั้ง เงาดำบนพื้นเริ่มลุกไหม้ราวกับแผ่ขยายเป็นไฟเงา ทุกอย่างกำลังพังพินาศ ลานพิธีสะเทือนด้วยแรงสาปโบราณที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการถูกรบกวน อีธานหันไปคว้าแขนไอล่าแน่น “เราต้องไป!” “แต่รัฟเฟอร์—!” “ไอล่า!! ถ้าพวกเราตาย ใครจะหยุดพวกมันได้!” เธอกัดฟันแน่น น้ำตาไหล แต่สุดท้ายก็พยักหน้า ทั้งสองคนวิ่งพ้นขอบลาน ข้ามผ่านแนวเสาไม้ต้องสาป ทันใดนั้นเงามืดพลันถูกดีดกลับ เสียงร้องของรัฟเฟอร์กลายเป็นเสียงคำราม เงาที่พุ่งไล่ตามถึงขอบลาน...กลับลอยค้างและสลายไปกับอากาศราวถูกขังไว้ในขอบเขตพิธี แค่ก้าวข้ามเส้นเขตแดนได้...นางกับอีธานก็ทรุดลงหอบหายใจ ในความมืดเงียบ มีเพียงเสียงลมหอบกระชั้น และหัวใจที่ยังเต้นแรง ไอล่าหันไปมองลานเบื้องหลังอีกครั้ง ตรงแท่นกลาง...ร่างของรัฟเฟอร์ยืนนิ่ง ราวรูปสลักดำคล้ำ ตาไร้แวว แต่บางสิ่งในใจนางบอกว่า เขายังอยู่ในนั้น... ถูกขัง รอการช่วยเหลือ หรือ...รอเวลาที่จะถูกกลืนจนหมดสิ้นเมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร