น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ
“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรง ดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆ นีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!” สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว “นอน…” ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณ คาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหิน ราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ ฟุ่บ! เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเขาจะฟาดลงบนคอของราชินีอย่างแม่นยำ ในจังหวะเดียวกัน ไอล่าแทงหอกสั้นเข้าใต้กระดูกไหปลาร้าเพื่อปักร่างเธอให้อยู่กับที่ เลือดสีฟ้าเข้มพุ่งออกมากลางน้ำ เหมือนหมึกละลายไปรอบตัว แรงกระแทกทำให้ราชินีปล่อยดรานทันที ร่างเขาลอยอิสระก่อนคาเอลจะโฉบเข้าไปรับไว้ ราชินียังหันกลับมา ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่ยอมจำนน ริมฝีปากของเธอกำลังจะร่ายเวทครั้งสุดท้าย—แต่ไอล่าหมุนหอกบิดเต็มแรง เสียงกระดูกคอแตกดัง “กร๊อบ” ตามด้วยแรงฟันสุดท้ายของอีธานที่ตัดผ่านกระดูกจนขาดสนิท หัวของราชินีใต้น้ำลอยช้า ๆ กลางน้ำ ผมยาวฟุ้งเหมือนดอกไม้ทะเล ดวงตายังคงจ้องทุกคนราวกับคำสาปจะตามไปถึงปลายโลก ก่อนที่แสงสีเขียวในตาจะดับลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ทันใดนั้น แสงจากประตูที่พวกเขาเข้ามาก็เริ่มร้าว เสียงแตกดังสะท้อนเหมือนแก้วแตกใต้น้ำ อาณาจักรของราชินีเริ่มสั่นไหว พื้นปะการังถล่มเป็นฝุ่นคลุ้ง น้ำหมุนแรงขึ้นเป็นหลายเท่า อีธานตะโกน “ทุกคน! ออกไปเดี๋ยวนี้!” เสียง “ครืดดดดดด” ดังลั่นเหมือนโลกใต้ทะเลกำลังแตกออกเป็นสองส่วน เศษปะการังและหินทะเลร่วงหล่นจากเพดานเป็นสาย ฝุ่นตะกอนลอยหนาทึบจนมองแทบไม่เห็นหน้าเพื่อนที่อยู่ห่างเพียงไม่กี่ช่วงแขน อีธานเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว “ตามมา! อย่าแยกกัน!” เสียงตะโกนของเขาถูกกลืนในกระแสน้ำเชี่ยว แต่ทุกคนก็รีบพุ่งตามทันที ทางออกที่พวกเขาเข้ามาเมื่อครู่กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป—ซากปะการังขวางเต็มและกระแสน้ำหมุนวนเหมือนกรงคุมขัง ดรานที่เพิ่งฟื้นยังไม่เต็มที่กัดฟันฝ่าไปข้างหน้า ไอล่าใช้หอกช่วยงัดเศษหินออก คาเอลคอยยิงเวทน้ำแรงดันสูงเปิดทางเป็นช่วง ๆ แต่ทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าหลุดพ้น เสียง “ครืนนนนน” ก็ดังจากด้านหลัง พร้อมเงาดำขนาดมหึมาพุ่งเข้ามา—มันคือพี่ชายราชินี เขาไม่ได้วิ่งตาม… เขา “ไหลไปกับน้ำ” อย่างเป็นส่วนหนึ่งของมัน ดวงตาสีเงินเข้มจับจ้องพวกเขาเหมือนนักล่ามองเหยื่อ “เขาไม่ปล่อยเราไปแน่!” นีร่ากัดฟัน “ต้องรีบให้พ้นเขตของราชวงศ์ก่อนที่น้ำจะปิดตัวเอง!” พวกเขาพุ่งไปตามอุโมงค์โบราณที่ผนังเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เก่าแก่ แสงจากด้านปลายอุโมงค์คือความหวังเดียว แต่ทุกก้าวที่เข้าใกล้ เสียงพายุน้ำด้านหลังยิ่งดังขึ้นจนความดันแทบทำให้หูเเทบแตก ทันใดนั้น เศษซากโบราณจากเพดานถล่มลงขวางทาง ไอล่ารีบตะโกน “หลบ!” อีธานใช้แรงทั้งหมดฟันเปิดช่องเล็กพอให้คนผ่านทีละคน คาเอลดันดรานเข้าไปก่อน ตามด้วยนีราที่เหลียวกลับมามอง—เห็นร่างมหึมาของพี่ชายราชินีเพียงไม่กี่ก้าวหลังพวกเขา แสงเงินในดวงตาของเขาเหมือนคมมีดที่บาดลึกลงในใจ ก่อนที่เขาจะเอื้อมมือมาคว้าข้อมือของนีราทันเวลา—แต่นีราหมุนตัวหลบผ่านช่องออกไปได้ในเสี้ยววินาที เสียงคำรามต่ำก้องสะท้อนตามน้ำ “เราจะพบกันอีก… และครั้งหน้า พวกเจ้าจะไม่มีทางขึ้นถึงผิวน้ำ” ช่องทางออกพังทลายปิดผนึกทันที ราวกับกำแพงน้ำแข็งตัดขาดทุกเสียงและภาพของเขา เหลือเพียงความมืดและแรงสั่นที่ค่อย ๆ จางลง แสงแดดบ่ายสาดลงมากระทบผิวน้ำ พวกเขาลอยขึ้นสู่ผิวน้ำทีละคน หอบหายใจแรงเหมือนเพิ่งวิ่งหนีตายมาเป็นชั่วโมง เสียงคลื่นกระทบเรือไม้ขนาดกลางดังแว่วมา พร้อมเงาหนึ่งทอดยาวทาบเหนือพวกเขา “โอ้โห… นึกว่าปลาเน่าลอยมา” เสียงผู้ชายเอ่ยขึ้นอย่างกวนประสาท น้ำเสียงเต็มไปด้วยความขี้เล่น แต่ก็เหมือนตั้งใจจงใจให้คนฟังโมโห พวกเขาเงยหน้าขึ้น—ฟรอเรสยืนบนดาดฟ้าเรือ มือหนึ่งถือขวดเหล้า อีกมือเท้าเอว มองพวกเขาราวกับชมละครตลก นีร่าเช็ดน้ำออกจากหน้าแล้วตะโกนกลับทันที “ฟรอเรส! แกกล้ามาพูดแบบนี้หลังจากทิ้งพวกเราให้สู้ตายเหรอ?!” ฟรอเรสยักไหล่ ยิ้มมุมปาก “ก็เห็นพวกเจ้าสนุกอยู่เลยไม่อยากขัด… ไหน ๆ ก็ออกมาได้ครบ นับว่าฝีมือใช้ได้” เขากวาดตามองพวกที่เปียกโชกและมีบาดแผลเล็กน้อย “หรือว่าไม่ครบ… ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะนับผิด” อีธานถอนหายใจ แต่ฟรอเรสกลับทำหน้าทำตาเหมือนคิดหนัก “อืม… ถ้าข้าดึงขึ้นมา พวกเจ้าจะทำตัวดี ๆ หรือจะมาว่าข้าทีหลัง?” นีร่าโวยลั่น “ฟรอเรส!!” เสียงหัวเราะของเขาดังลั่นไปทั่วทะเลก่อนที่เขาจะโยนบันไดเชือกลงมา “เอ้า ขึ้นมาเร็ว ๆ ก่อนที่พวกเจ้าจะกลายเป็นอาหารปลาจริง ๆ” ทุกคนปีนขึ้นเรือทีละคน ดรานแทบจะล้มลงนั่งทันที ฟรอเรสมองเขาแล้วทำเสียงกระซิบเหมือนคุยกับตัวเอง “โห… หน้าเจ้าซีดมาก แม้บรรยากาศจะกวนประสาทสุด ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสียงหัวเราะของฟรอเรสช่วยคลายความตึงเครียดจากนรกใต้น้ำเมื่อครู่ได้ไม่น้อยพระราชวัง ถูกแปลงเป็นสวนแห่งแสงไฟ โคมไฟกระจกน้ำมันแขวนเรียงรายเหนือสวนล้อมด้วยต้นปาล์มทะเล แสงสีทองสะท้อนลงบนผิวน้ำบ่อน้ำพุที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และเปลือกหอย เสียงคลื่นทะเลด้านนอกผสมกับเสียงดนตรีสดที่เล่นท่วงทำนองโจรสลัดปนหวานโต๊ะยาวจากไม้โอ๊กวางเรียงซ้อนด้วยจานเงิน จานทอง และชามมุก ภายในเต็มไปด้วยอาหาร—กุ้งย่างราดซอสไวน์ขาว ปูทะเลนึ่งเสิร์ฟคู่เนยสมุนไพร หอยนางรมสดวางบนก้อนน้ำแข็ง กุหลาบทอดคลุกเกลือทะเล และขนมปังอบใหม่ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลฟรอเรสในชุดเจ้าชายโจรสลัดเต็มยศเดินถือแก้วไวน์แดง ผ่านแขกเหรื่อที่กำลังหัวเราะเสียงดัง เขายืนคุยกับดรานที่กำลังหั่นเนื้อกวางป่า"บอกข้ามาตรง ๆ ดราน—เจ้าเคยคิดไหมว่าข้าจะลงเอยแต่งงานแบบราชพิธี?"ดรานเหลือบมองแล้วยักไหล่ "ข้าคิดว่าเจ้าคงลงเอยในคุกมากกว่า"เสียงหัวเราะจากโต๊ะดังขึ้นทันทีที่ฟรอเรสหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า! ดีที่วันนี้ไม่ใช่คุก แต่ถ้าเป็นคุกที่มีไอล่าอยู่ด้วย ข้าก็ยอม”อีกมุมหนึ่งของงาน นีร่ากำลังสอนเด็ก ๆ ในเมืองเต้นรำแบบโจรสลัด เด็ก ๆ หัวเราะคิกคักขณะที่พยายามหมุนตัวและกระทืบเท้าตามจังหวะกลองอีธานกับซารีนกำลังเล่นพนันเล็ก ๆ ด้วยลูกเต๋า—แต่แ
เรือไม้ของฟรอเรสแล่นฝ่าคลื่นออกจากเขตน้ำวนได้ในที่สุด ทะเลกลับมาสงบลงทีละน้อย กลิ่นเกลือคละเคล้ากับกลิ่นไม้เก่า ๆ ของดาดฟ้าให้ความรู้สึกโล่งใจหลังผ่านพายุ“ฟู่… ข้าว่าเราสมควรหาที่นั่งดื่มสักเจ็ดแปดขวดเพื่อฉลองที่ยังมีชีวิต” ฟรอเรสเอ่ยพลางลูบหนวดตัวเองยิ้มกว้าง“ถ้าดื่มแล้วเรือไม่ถึงฝั่ง ก็ไม่ต้องฉลองหรอก”“เชื่อมือข้าเถอะ กัปตันเรือผู้นี้ไม่เคยชนโขดหิน… เอ่อ ก็มีครั้งเดียว แต่นั่นเพราะหินมันขยับเข้ามาหาข้า” ฟรอเรสว่าพลางหัวเราะเสียงดังในที่สุด เส้นขอบฟ้าก็เผยให้เห็นเงาของวังใหญ่ตั้งตระหง่านบนเกาะกลางทะเล ตัวปราสาทเป็นหินสีทองปนส้ม หลังคามุงกระเบื้องสีเขียวมรกตสะท้อนแดดจนแสบตา รอบ ๆ มีท่าเรือหินอ่อนและสวนปาล์มไหวเอนตามลมเมื่อเรือเทียบท่า บรรดาคนรับใช้สวมเสื้อผ้าสีสดพากันออกมาต้อนรับ ทั้งยกผลไม้ เหล้า และผ้าขนหนูผืนใหญ่ให้ทุกคนฟรอเรสยิ้มร่าแล้วหันไปหาไอล่า ซึ่งกำลังยืนมองวิวรอบ ๆ อย่างสงบ “นี่… เอ่อ…” เขาเกาท้ายคออย่างเก้อ ๆไอล่าเลิกคิ้ว “อะไรหรือ?”“คือ… ข้าเคยพาใครมาที่นี่ไม่กี่ครั้งนะ ส่วนใหญ่ก็แค่พวก… เอ่อ… ลูกเรือขี้เมา หรือไม่ก็พวกนักล่าค่าหัวที่มาขอที่ซุกหัวนอน”“แล้วทำไมถ
เสียงคลื่นกระแทกตัวเรือไม้ดัง ป้าบ… ป้าบ… กลิ่นน้ำทะเลผสมกลิ่นไม้เก่าของดาดฟ้าอบอวลอยู่ในอากาศ แสงแดดบ่ายส่องสะท้อนผิวน้ำเป็นประกาย แต่ในอกของทุกคนกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นแม้แต่น้อยนีร่าทิ้งตัวนั่งลงบนกล่องไม้ มือยังสั่นน้อย ๆ จากภาพที่เพิ่งผ่านมา ดวงตาสีฟ้าของเธอมองออกไปยังผิวน้ำ—แค่เพียงใต้ชั้นผิวน้ำไม่กี่เมตร เธอสาบานว่าเห็นเงามืดขนาดใหญ่เคลื่อนขนานไปกับเรือช้าๆ.."นีร่า?" คาเอลที่กำลังเช็กบาดแผลตัวเองเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเธอจ้องออกไปนิ่งผิดปกติเธอกะพริบตาช้า ๆ แล้วตอบด้วยเสียงแผ่ว "เรา… ไม่ได้หนีรอดจริง ๆ"คาเอลเลิกคิ้ว แต่ก่อนจะถามต่อ เสียงไอของดรานก็ดังขึ้น เขานั่งพิงเสาเรือ หายใจแรงเหมือนยังไม่ฟื้นเต็มที่จากพิษเวทมนตร์ของราชินี น้ำหยดจากผมลงบนพื้นดาดฟ้าเป็นสาย"เขาจะกลับมา…" ดรานเอ่ยเสียงแหบ "และครั้งหน้า… พวกเราจะไม่มีโชคช่วยอีก"ฟรอเรสซึ่งกำลังรินเหล้าลงแก้วหัวเราะในลำคอ"เฮ้… อย่าเพิ่งทำหน้าเหมือนโดนสาป ข้าเพิ่งเปิดเหล้าขวดใหม่ จะให้บรรยากาศตึงแบบนี้ไม่ได้นะ" เขายกแก้วขึ้นจิบอย่างสบายใจ แต่ยังไม่ทันที่เหล้าจะไหลลงคอเต็มคำ—เรือทั้งลำก็สั่นสะเทือนอย่างแรง ครืนนนนน!เสียงไม้ครา
น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่