จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนกลายเป็นปี
นีร่าเริ่มชินกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่วิ่งเล่นท้ายหมู่บ้านบ้าน เริ่มชินกับกลิ่นแดดแรง ๆ ที่แผดลงบนผ้าปูที่ตากไว้หลังบ้าน เริ่มชินกับการถูกแม่บาร์บราชวนไปช่วยจัดปลาทู และถูกยายมัลด้าบ่นเวลาเดินทำเทียนน้ำมันหก นางเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบชาวบ้านทีละนิด ขูดมะพร้าว หาบน้ำ ผ่าฟืน และแน่นอน...นางหั่นผักได้เท่ากันหมดแล้วในตอนนี้ (แม้อีธานจะแอบแก้ให้บ้างเวลานางเผลอก็ตาม) ชีวิตที่เรียบง่ายนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะยามที่ข้ากับอีธานได้นั่งฟังเสียงคลื่นเบา ๆ ริมระเบียง มือของเขาอุ่นเสมอ เวลาวางลงบนมือนาง และหัวใจของก็เต้นแปลก ๆ เสมอ เวลาที่เขามองตานางแล้วเงียบไป แต่ท้องทะเล…ไม่มีวันสงบนานนัก เย็นวันหนึ่ง ฟ้าเปลี่ยนสีเร็วกว่าทุกวัน ลมแรงพัดฝุ่นคลุ้ง เด็ก ๆ หายตัวจากลานเล่น เหลือเพียงเสียงแม่ค้าลากผ้าคลุมแผงกันลม จากขอบฟ้า เรือใบสีดำลำหนึ่งโผล่ขึ้น "เรือธงดำ! โจรสลัดมา!!" เสียงตาเฟร็ดหัวแหลมร้องลั่น ทุกคนวิ่งวุ่น ซ่อนของ ซ่อนตัว แต่ไม่ทัน...โจรสลัดกว่า 10 คนกระโดดขึ้นฝั่ง พวกมันลากของ ขูดทอง จับคนตะโกนใส่กันระงม อีธานคว้าดาบสนิมๆ ข้างฝาไว้ “เจ้าหนีไปนีร่า!” “ไม่! ข้า—” “ไป!!!” เขาพุ่งเข้าใส่ชายตัวโตที่ดูเป็นหัวหน้า แต่เพียงไม่นาน ดาบของศัตรูก็ฟาดลงกลางแผ่นหลังของเขาอย่างแรง เลือดพุ่งกระเซ็น “อีธาน!!!” นีร่ากรีดร้องสุดเสียง ร่างเขาล้มลง ขยับไม่ได้อีก นางวิ่งไปหา แต่โดนกระชากหัวกลับ มือของโจรสลัดตะครุบเธอไว้ พร้อมหัวเราะเสียงต่ำ “หญิงสาวแบบเจ้านี่ ข้าจะเอาไปขายดีมั้ยน้า…” นางร้องไห้ หันไปมองร่างที่นอนแน่นิ่งของอีธาน หัวใจเหมือนจะฉีกขาด “อย่าตายนะ...ข้า ขอร้อง...อีธาน...” ภาพสุดท้ายที่นางเห็น คือแม่บาร์บรา วิ่งฝ่าฝูงคนเข้ามากับช่างไม้บีลาร์ และลุงโทบี้ พวกเขาช่วยกันไล่พวกโจรออกไป และลากตัวอีธานเข้าไปในบ้านแม่เฒ่ามาร์ธา ก่อนที่โจรสลัดจะพานางขึ้นเรือลอยหายออกทะเลไป… นางถูกจับโยนใส่ห้องเก่า ๆ ใต้ท้องเรือ แสงไฟสลัวลอดผ่านช่องไม้ผุ น้ำหยดติ๋ง ๆ จากเพดาน นางกอดเข่าตัวเองเอาไว้แน่น แม้เพียงเสื้อผ้าธรรมดาที่ใส่ติดตัวมา ก็ยังรู้สึกเย็นเฉียบจนแทบสั่น หัวใจนางเหมือนจะหยุดเต้น เมื่อนึกถึงร่างของอีธานที่นอนแน่นิ่งในกองเลือด “เจ้า...อย่าเป็นอะไรเลยนะ...” นางพึมพำเบา ๆ เสียงแหบพร่า เจ้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะนางซุกหน้ากับเข่าตนเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น ประตูไม้ถูกเปิดออก พร้อมเงาใหญ่ของชายคนหนึ่ง “เจ้าชื่ออะไร” เขาถามเสียงเข้ม “...ข้าไม่จำเป็นต้องบอกกับโจรอย่างท่าน” นางเชิดหน้าตอบ แม้จะกลัวจนแทบขาสั่น เขาหัวเราะ “มีน้ำอดน้ำทนดีนัก ข้าชอบ...ไว้ขายให้พ่อค้ามหาเศรษฐีในเมืองคอร์เซียร์ก็ยังได้กำไร” เขาเดินจากไป ทิ้งให้นางนั่งท่ามกลางความชื้นและกลิ่นเค็มของน้ำทะเล คืนต่อมา ขณะเรือโคลงเคลงจากพายุฝน น้ำทะเลสาดเข้ามาทางช่องไม้ แฉะลงพื้นห้องขังของนางอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ “ไม่...อย่า...” นางถอยหนีไปจนชิดมุม แต่ก็สายเกินไป หยดน้ำแรกสัมผัสปลายนิ้ว ผิวของนางเริ่มเรืองแสงสีมุกบาง ๆ เส้นผมพลิ้วสยาย กลายเป็นประกายสีทองอร่ามดุจเส้นไหมเปียกฝน ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นไหว ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นหางเงือกสีทองสว่างวาบ! แปร๊บ! เสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เมื่อหางนางฟาดลงบนพื้นเปียก ราวกับกระจกเงาที่แตกกระจาย เกล็ดบางแวววาวกระพริบแสงเป็นประกายใต้น้ำ นางหายใจหอบ ตัวสั่นเทิ้ม และเมื่อหันไปมองประตูไม้...นางก็พบว่า ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นพอดี! เป็นหนึ่งในโจรสลัด...และเขาเห็นทั้งหมด! “เจ้าคือ...เงือก?” เขากระซิบเบา ๆ ด้วยแววตาตกตะลึง นางนิ่ง สายตาแข็งกร้าว “แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อเล่า? จะลากข้าไปประมูลในตลาดรึ? หรือจะเอาเกล็ดของข้าไปต้มเป็นยา?” เขากลืนน้ำลาย ไม่พูดอะไร เพียงแค่ค่อย ๆ ถอยหลังออกไป…และปิดประตูลงอย่างช้า ๆ แต่สายตาคู่นั้นยังคงฝังอยู่ในหัวใจนาง เสียงตะโกนจากชายบนเรือดังขึ้นท่ามกลางหมอกควันหลังศึกปล้นหมู่บ้าน > “ข้าสาบานต่อชื่อแม่ข้า! นางเป็นเงือกจริง ๆ!” ชายหนุ่มชื่อ รัฟเฟอร์ ผู้หนึ่งวิ่งหน้าตื่นขึ้นไปยังดาดฟ้าเรือ บอกเล่าแก่ กัปตันแบร็กซ์ตัน โจรสลัดเฒ่าที่ตาเป็นมันไม่ต่างจากงู > “เจ้าแน่ใจหรือไม่?” กัปตันหรี่ตา เสียงต่ำดังลอดไรฟันเหลือง > “ข้าเห็นกับตา! พอร่างนางเปียก...หางสีทองมันโผล่จากผ้าแถบที่พันไว้ นางกรีดร้องด้วย!” กัปตันหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ก่อนชักดาบเล่มเขื่องมาเกี่ยวสายรัดคอเสื้อรัฟเฟอร์ > “เช่นนั้น อย่าปล่อยให้หลุดมือ...นำข้าไปดูนางเดี๋ยวนี้!” --- ในห้องเก็บของใต้ท้องเรือที่ชื้นเย็น นีร่านั่งแน่นิ่งในมุมมืด เสื้อผ้าที่เคยแห้งตอนนี้เปียกโชกเพราะลมฝนสาดเข้าเรือ ร่างบางสั่นเทา หางเงือกสีทองอร่ามเผยชัดออกมาจากชายผ้าที่หลุดร่นลงขา เมื่อกัปตันแบร็กซ์ตันเดินมาถึง เขาเบิกตาโต มองนางจากศีรษะจรดปลายหาง > “โอ้ว...เจ้าเป็นของจริง…” เขาเดินวนรอบตัวนางราวกับนางเป็นสมบัติ ลูบเคราอย่างใช้ความคิด > “ข้าจะรวย! ละครสัตว์เมืองหลวงย่อมยอมจ่ายมหาศาลเพื่อครึ่งมนุษย์ครึ่งปลาแบบเจ้า!” > “ท่านไม่มีสิทธิ์...” นีร่าเอ่ยเสียงแข็ง > “เจ้าถูกจับ! อยู่บนเรือข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น!” หลังจากที่โจรสลัดจับนางขึ้นมาจากทะเล เรือก็แล่นสู่เมืองท่าขนาดใหญ่ชื่อ คอร์เซียร์ เมืองซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการค้าทุกสิ่ง แม้กระทั่ง "ชีวิต" ของสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด เมื่อถึงท่าเรือ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นคาวปลาและเหล้าราคาถูก ตะโกนโหวกเหวกของพ่อค้า แรงงาน และนักเลงท่าเรือทำเอานีร่าต้องก้มหน้าซ่อนตาไว้ใต้ผ้าเก่า ๆ ที่โจรสลัดคลุมให้ก่อนจะโยนตัวนางลงกรงบนเกวียน > “อย่าคิดหนีล่ะ เจ้านางปลา” หนึ่งในลูกเรือแสยะยิ้มเหี้ยม --- ค่ายละครสัตว์กลางเมือง นีร่าถูกส่งเข้าไปยังเขตโรงละครสัตว์ กลิ่นของม้าเปียก เหงื่อคน และเสียงแส้ดังฉับ ๆ ทำให้นางหายใจไม่ทั่วท้อง > “แปะป้ายไว้! ครึ่งมนุษย์ครึ่งเงือก! แสดงสัปดาห์หน้า!” > “ข้าไม่ใช่ของเจ้า...” นีร่าเอ่ยเสียงแผ่ว > “ที่นี่ ไม่มีใครมีสิทธิ์เลือก!” คืนแรกในกรงเหล็ก ท่ามกลางเสียงเห่าหอนและกลิ่นชื้น ชายอ้วนคนงานประจำโรงละครสัตว์โยนถาดไม้ใส่ขนมปังแข็ง ๆ ลงตรงหน้า เสียงเหล็กกระทบกันดังกริ๊ก ทว่าเขากลับหันหลังกลับไปทันทีโดยไม่ได้สังเกต... เขาลืมล็อกกรง! นีร่าชะงักไปชั่วครู่ หัวใจเต้นระรัวด้วยความไม่แน่ใจ นางเหลือบมองซ้ายขวา แล้วค่อย ๆ ขยับมือผลักบานกรงเบา ๆ แกร๊ก... เสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพียงพอให้นางรู้ว่า...ข้า...มีโอกาสแล้ว! --- กลางเมืองคาร์เซียร์ นางไม่รู้ว่าเดินไปทางไหน ใจเต้นระรัว ท้องร้องจ๊อก ๆ ทุกคราวที่ได้กลิ่นขนมปังหรือปลาย่าง > "ข้าจะไม่ตาย...ที่นี่" นีร่ากระซิบกับตัวเอง ก่อนจะหยิบเศษปลาสลิดจากกองขยะยัดใส่ปาก มือสั่นเทา นางซ่อนตัวในตรอกแคบ ซ่อนหางใต้ผ้าขาด ๆ หลบพวกนักล่าที่ออกตามหา กระทั่งนางเดินผ่านสภานที่เเห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าเรือนรื่นรมย์ เสียงหัวเราะคุ้นหูดังแว่วออกมาจากข้างใน > “ข้าสิ! ข้าน่ะ! เคยได้กับเจ้าหญิงทะเลนะเว้ย ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” นีร่าหยุดฝีเท้า หันขวับทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้าง > “เรน...?” ภายในนั้น แสงไฟสลัวปรากฏภาพชายหนุ่มผมยาวรุงรัง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อน มือกอดหญิงสาวสองนางไว้ข้างกาย ขณะที่อีกมือลูบไล้ขวดเหล้า > “เขา...คือ...เรนของข้า...” น้ำตาไหลอาบแก้มทันที นางยืนค้างอยู่ตรงนั้น...หัวใจแตกละเอียด ชายผู้ที่นางตามหามาทั้งชีวิต ผู้เคยบอกจะกลับมารับนางขึ้นฝั่ง บัดนี้กลับกลายเป็นคนแปลกหน้า หลงอยู่ในกลิ่นกายหญิงอื่นและเหล้าเน่าราคาถูก > “ข้าคิดถึงเจ้า...แต่นี่หรือคือคำตอบ?” นีร่าค่อย ๆ ถอยหลังออกจากที่นั่น มือยกขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านในเมืองบาป นางกลับรู้สึกว่างเปล่ากว่าเคยเสียงหยดน้ำจากผนังถ้ำกระทบแอ่งหินอย่างเนิบช้า กลิ่นชื้นของความตายเจืออยู่ในอากาศ แสงคบเพลิงสะท้อนประกายสีทองที่แวววาวอยู่รอบตัวกัปตันแบร์กตัน เขายืนอยู่กลางห้องถ้ำโอ่อ่า รายล้อมด้วยกองทองคำ เพชรนิลจินดา และถ้วยสุราจากยุคสมัยที่หล่นหายไปจากประวัติศาสตร์ ทว่าเบื้องหลังประกายนั้น ไม่มีอะไรขยับ ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของชีวิต"เจ้ามาได้ยังไง..." แบร์กตันเอ่ยเสียงต่ำ พริบตาเดียวมือขวาของเขาก็แตะปลายดาบแล้วอีธานยืนอยู่ตรงปากถ้ำ แสงคบเพลิงสะท้อนใบหน้าเปรอะโคลนและเหงื่อ “ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า… นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”สายตาของทั้งสองประสานกัน เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อีธานเหลือบมองรอบถ้ำด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่มีสมบัติใด ๆ นอกจากเศษซากกระดูกมนุษย์ เครื่องเงินขึ้นสนิม และคราบแห้งของเลือดที่ฝังในหิน"เจ้ามองไม่เห็นหรือ?" แบร์กตันกระซิบคล้ายละเมอ "ดูสิ… ทองคำของราชาโจรสลัด! อยู่ตรงนั้นน่ะ”“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น!” อีธานสวนเสียงแข็ง “ข้าเห็นแต่เงาแห่งความตาย”มือของแบร์กตันสั่นเล็กน้อย เขาหันขวับมามองอีธาน ดวงตาฉายแววสับสนและโกรธเคือง "เจ้าจะเอามันไปจากข้าใช่มั้ย... เจ้าคิ
แบร์กตันขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนักล่าทะเลในตัวเขาเตือนว่า ไม่ควรก้าวต่อไปแต่ก็เหมือนทุกคน…พวกเขาก้าวตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวรอยเท้าคนเปลือยเปล่านำพวกเขาสู่แนวหินสูงชัน ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และหญ้า เสียงลมหายใจเบา ๆ หลายเสียงที่ “ไม่ใช่ของพวกเขา”> “นั่น…” ซินชี้ขึ้นเบา ๆเบื้องหน้าคือ “ปากถ้ำ” มืดมิด ลึก และเย็นชืด แต่ด้านในกลับมีแสงระยิบระยับเหมือนเทียนนับร้อยเล่ม…หรือบางอย่างที่สว่างกว่า> “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยกัปตัน…” บรอลพึมพำ ขวานในมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุแบร์กตันเงียบ เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในถ้ำเมื่อพวกเขาก้าวข้ามเงาความมืดของปากถ้ำ—โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปภาพตรงหน้าเหมือนมาจากตำนานที่บรรพบุรุษยังไม่กล้าฝันถึงกอง ทองคำ หีบสมบัติ เพชร พลอย เหรียญทองเรียงรายซ้อนกันสูงจรดเพดานถ้ำ บางหีบเปิดออก เผยให้เห็นสร้อยคอแห่งราชา โล่ทองคำแห่งเทพเจ้า และมงกุฎที่ดูราวกับเป็นของกษัตริย์ในยุคโบราณ> “...พระเจ้า…” ซินพึมพำ เบิกตากว้างแสงสีทองกระทบดวงตาของพวกเขา ดึงดูดใจรุนแรงจนยากจะละสายตา> “ถ้าเราหอบไปแค่ครึ่งเดียว...ครึ่งเดียวก็พอ...” บรอลพูดทั้งที่น้ำลายไหล และมือเริ่มยื่นไปหา
กลุ่มของกัปตันแบร์กตัน ใน ป่าลึกของเกาะต้องสาปคบเพลิงเปลวสีส้มสาดเงาบิดเบี้ยวบนลำต้นไม้รอบข้างเสียงใบไม้แห้งกรอบใต้เท้าทำให้บรรยากาศเงียบงันดูอึดอัดยิ่งขึ้นกัปตันแบร์กตันเดินนำหน้า ร่างสูงของเขากดอากาศให้แน่นตึงราวกับแรงกดดันจากทะเลลึกซินเดินตามติด ส่วนบรอบลากขวานใหญ่ติดพื้นอย่างไม่ตั้งใจไม่มีใครพูดอะไร...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา> “...เดร็กซ์ไปไหน?”ซินหยุดเดิน ดวงตาเหลือบไปมองรอบตัว> “เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่…ข้างหลังเจ้า บรอลบรอลเงยหน้าอย่างงุนงง> “ข้า...คิดว่าเขาเดินล้าหลังอยู่นะ”แบร์กตันชะงัก ฝีเท้าหนักของเขาหยุดลงทันที> “หยุดทุกคน”เสียงของเขาเด็ดขาดเย็นยะเยือกกลุ่มโจรสลัดหันมามองกันและกัน> “ใครเห็นเดร็กซ์ครั้งสุดท้าย?”แบร์กตันถามช้า ๆ น้ำเสียงต่ำแต่กดดันราวกับลมพายุก่อนคลื่นซัดความเงียบกลืนกลุ่มลงชั่วขณะบรอลเป็นคนแรกที่พูด> “ตอนเราผ่านแนวหินด้านหลัง...เขาหยุดฉี่”ซินหันขวับ> “แล้วทำไมเจ้าไม่รอเขา!?”> “เพราะข้าไม่คิดว่าเขาจะ ‘หายตัว’!”เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้นแต่แบร์กตันไม่สน เขาหันหลังทันที ก้าวยาวกลับไปทางที่มาในมือขวา เขาคว้าดาบออกมาอ
บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ”วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น“ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ”ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์“เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า”แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ“เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย”(เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า)เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ“นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว“ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?”แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ“เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ”บรอลสอดแทรกขึ้นมา“แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?”แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล“ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิ
เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ