เสียงคลื่นกระแทกหาดดังปัง ๆ พร้อมเสียงนกทะเลที่โฉบผ่านยอดไม้
ภายใต้ร่มใบตาลขนาดใหญ่ ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ผิวขาวซีดมีเลือดซึมที่แผลกลางอก อีธาน...ยังไม่สิ้นใจ “ข้ายังได้ยินเสียงลมหายใจเขาอยู่” เสียงชายชรา—หมอประจำท่าเรือ—เอ่ยพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “แม้เจ้าคนนี้จะโดนฟันเฉียดหัวใจ หากไม่ใช่เพราะชาวประมงช่วยเขาได้ ข้าคงได้ฝังเสียแล้ว” อีธานกระพริบตาช้า ๆ ลมหายใจของเขายังคงแผ่วบาง “...นีร่า…” เสียงพร่าที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปาก แทบไม่ต่างอะไรจากสายลมผ่านหญ้า หลายวันผ่านไป ด้วยการดูแลของหมอ และสมุนไพรจากป่า อีธานเริ่มขยับตัวได้อีกครั้ง แม้ความเจ็บแผลยังเหมือนมีไฟสุมในอก แต่ในใจเขากลับร้อนแรงยิ่งกว่า—เพลิงแห่งความมุ่งมั่น “ข้าจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป” ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืน ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของชาวบ้าน “ใจเย็นก่อนเถอะ เจ้ายังเดินไม่ไหว!” “ข้าไม่อาจอยู่เฉยได้ หากนีร่าตกอยู่ในมือโจรสลัดพวกนั้น…ข้าจะเอานางคืนมา แม้ต้องแลกด้วยลมหายใจ!” เช้าวันถัดมา อีธานยืนอยู่หน้าท่าเรือเก่า ฝุ่นทรายปลิวว่อนเมื่อเขาชักดาบออกจากฝัก “ผู้ใดสมัครใจล่องเรือกับข้า—ออกตามล่าพวกโจรนรกนั่น! ข้าต้องการเพียงหัวใจกล้า ไม่กลัวตาย!” เหล่าชายหนุ่มในหมู่บ้านมองหน้ากัน ก่อนจะมีชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมา “ข้า—บอร์ก ลูกเรือเก่าของกัปตันเเบลคธอร์น ข้าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง ครั้งนี้...ข้าจะติดตามเจ้าไปจนสุดฟ้า!” “นับข้าด้วย!” เสียงอีกคนตะโกน “พี่สาวข้าถูกจับไปกับนีร่า...ข้าจะไม่มีวันให้นางหายไปเฉย ๆ!” เมื่อเรือ “ลูนาร่า” ลำเก่าถูกดึงออกจากคลัง อีธานยืนประจำหัวเรือ ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและแรงศรัทธา “รอข้า นีร่า...ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ปลายฟ้าหรือใต้หล้ามหาสมุทร ข้าจะหาทางไปถึงเจ้า!” แล้วเรือก็แล่นออกไป กลืนหายใต้ฟ้าสีหม่น… ลมทะเลพัดแรง คลื่นซัดสูง ...ฤดูแห่งการล่าโจรสลัดได้เริ่มขึ้นเเล้ว กลางเมืองคอร์เซียร์ – ยามเช้าอันวุ่นวาย เสียงฝีเท้าเร่งรีบและเสียงตะโกนดังระงม “เธออยู่แถวนี้แน่! พวกเจ้า แยกย้ายค้นซอกซอย อย่าให้มันหนีไปได้อีก!” เหล่าคนงานโรงละครสัตว์ทั้งห้ากระจายกำลังกันเดินลัดเลาะทั่วเมือง ภาพหญิงสาวผมทอง หางสีทองสะท้อนแดด เป็นเอกลักษณ์จนใคร ๆ จำได้ “มันเหมือนปีศาจในนิทานทะเลจริง ๆ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งชี้ ...แล้วเสียงตะโกนก็ดังลั่น “อยู่นั่น! นางอยู่ตรงนั้น—ตรงข้างกำแพงหิน!” นีร่า ที่สวมผ้าคลุมเก่า ๆรีบวิ่งสุดแรงหัวใจเธอเต้นรัว เสียงฝีเท้าของคนงานตามหลังมาไม่ห่าง “ปล่อยข้าไปเถอะ...ได้โปรด” เสียงในใจตะโกน แต่เท้าไม่หยุดวิ่ง ปัง!! เสียงปืนดังลั่นขึ้นกลางตลาด กระสุนปืนเฉียดเนื้อขา เธอล้มลงทันที เลือดไหลซึมจากแผลสด “จับมันไว้! อย่าให้ดิ้น!” พวกมันกรูเข้าไปล็อกร่างนีร่าไว้ทั้งที่เธอยังดิ้นสุดแรง “ข้าไม่กลับไป...ข้าไม่กลับไปที่นั่น!!” “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก” คนงานหัวหน้าแสยะยิ้มก่อนจะสั่งเสียงเย็น “ลากกลับไปซะ อย่าให้มันมีแรงหนีอีก!” --- คืนต่อมา – โรงละครสัตว์กลางเมืองคอร์เซียร์ เสียงเหล็กกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง นีร่าถูกโยนเข้าไปในกรงแคบ ๆ ท่ามกลางเสียงเห่าหอนของสัตว์แปลกประหลาดรอบข้าง เธอทรุดตัวลง ขาเจ็บจนแทบขยับไม่ได้ น้ำตาไหลซึมลงพื้นดินที่แข็งและเย็น “นี่เจ้ามาใหม่หรือ…” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาจากเงามืด เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด นีร่าจึงเห็นเงาร่างหญิงสาวผิวคล้ำ ผมดำขลับ ตาเป็นประกายเศร้า “ข้า...ชื่อไอล่า” เธอกระซิบ “ข้าอยู่ที่นี่มานาน..นานจนข้าเเทบลืมน้องชายข้า นีร่าเบือนหน้ามองเธอด้วยความแปลกใจและสะเทือนใจ ไอล่ายิ้มบาง ๆ แม้รอยช้ำเต็มใบหน้า ...เสียงคลื่นจากทะเลไกล ๆ พัดมากระทบหน้ากรง นีร่ากำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยแรงแค้น “สักวันหนึ่ง...ข้าจะเป็นคนลากพวกมันเข้ากรงแทน” คืนเงียบสงัดภายใต้ผ้าห่มแห่งความหวาดกลัว นีร่าหลับไปเพียงครู่เดียวก่อนเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จะดังใกล้เข้ามา ลูกกรงเหล็กส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกเปิดออก “เจ้าลุกขึ้น ” เสียงเย็นชาจากคนงานในโรงละครดังลอดเข้ามา หญิงสาวผิวคล้ำเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ในแววตามีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้ความโกรธหรือต่อต้าน เธอไม่พูดอะไร…เพียงเดินตามออกไปอย่างเงียบงัน นีร่ารีบยันตัวขึ้น แม้ขาจะยังเจ็บ “เจ้า...จะไปไหน?” ไอล่าหันมา ยิ้มอ่อน ๆ แต่ในแววตาเหมือนมีคลื่นน้ำตาซัดอยู่ข้างใน “ที่เดิม...ที่ข้าต้องไปทุกคืน” และแล้วเงาของเธอก็ถูกกลืนไปในความมืด --- รุ่งเช้า เสียงโซ่กระทบกันดังเบา ๆ ไอล่าถูกโยนกลับเข้ากรง ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น นีร่าวิ่งไปหาเธอทันที “เจ้าโอเคหรือไม่!?” ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงหายใจแผ่วบาง และรอยฟกช้ำใหม่บนต้นแขนกับลำคอ “มัน...พวกมันทำอะไรกับเจ้า…” ไอล่าหลุบตาลง ไม่ตอบ น้ำตาหยดหนึ่งไหลซึมจากหางตา “พวกมันพรากทุกอย่างจากข้า...จนข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข้ายังเหลืออะไรอยู่บ้าง” นีร่ากัดฟันแน่น น้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวดแทน เธอยื่นมือไปจับมือของไอล่าไว้แน่น “แต่เจ้าก็ยังมีข้า” เสียงเธอสั่น “และข้าจะไม่ยอมให้มันทำแบบนี้กับเราอีก ข้าสาบาน…” ในเงามืดของกรงเหล็ก – กลางดึกที่โรงละครสัตว์ เสียงลมหายใจของสัตว์ในกรงข้างเคียงดังคลอเคล้าไปกับเสียงคลื่นทะเล นีร่ากระพริบตาช้า ๆ แม้จะเจ็บขา แต่เธอก็ยังไม่ยอมนอน “ไอล่า…เจ้าตื่นอยู่ไหม” เสียงกระซิบของนางเบาเกือบเท่าลมพัด “ข้าไม่เคยหลับจริง ๆ อีกเลย” ไอล่าตอบพลางมองผ่านซี่กรงออกไปยังแสงจันทร์ที่ลอดลงมา นีร่าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมเก่าขึ้นเพื่อปิดบังร่างกาย “ข้ามีความคิดอยู่...เจ้าเห็นกุญแจที่ชายคนนั้นพกติดเอวหรือไม่—คนที่เฝ้าเราเปลี่ยนเวรตอนยามดึก” ไอล่าขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะขโมยมัน?” นีร่าพยักหน้าเบา ๆ “ข้าเคยลอบเดินตามพวกมันเมื่อยังไม่ถูกจับกลับ...พวกมันจะเปลี่ยนเวรช่วงใกล้สว่าง และคนใหม่มักมึนเมา เขาจะวางกุญเเจทิ้งไว้” “แล้วเราจะหนีไปทางไหน? ท่อระบายน้ำใต้โรงเก็บสัตว์ ไอล่าสบตานางด้วยความลังเล “หากเราพลาด...” “...ก็แค่ตาย” นีร่าตอบเสียงเรียบ “แต่ข้ายอมตายกลางทะเลมากกว่าถูกขังอยู่ที่นี่จนไม่เหลือวิญญาณ” จากคืนนั้น ทั้งสองเริ่มสังเกตพฤติกรรมคนเฝ้า ค่อย ๆ เก็บรายละเอียด ขโมยเสื้อคลุมเก่า ซ่อนเศษไม้ไว้ใต้ฟาง วันเวลาผ่านไป ทุกค่ำคืนคือการฝึก—เดินเบา ๆ ขยับเงียบ ๆ แม้แผลของนีร่าจะยังไม่หายดี แต่นางกัดฟันทุกคืนเพื่อฝึกให้ขาทำตามใจ “อีกสามวัน...ถ้าฟ้าใส และลมพัดจากทิศตะวันตก เราจะลงมือ” เสียงของนีร่าแน่วแน่ อีกฟากหนึ่งของทะเล – บนเรือ 'ลูนาร่า' อีธานยืนอยู่ที่หัวเรือ มือจับพังงาแน่น สายตากวาดไปรอบขอบฟ้า เรือแล่นฝ่าคลื่นกลางแสงแดดบ่าย “เห็นเรือที่มีธงสีแดงขลิบดำเมื่อสองวันก่อนตรงแนวนั้น...” บอร์ก ผู้ช่วยเขาชี้ไปยังแผนที่ “มันเป็นเรือของโจรสลัดแน่นอน ข้าเคยเห็นมาก่อนที่ท่าเรือคอร์เซียร์ อีธานเม้มปากแน่น ข้าจะลากพวกมันลงนรก ถ้ามันแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว…” บอร์กวางมือบนบ่าชายหนุ่ม “เราจะได้ตัวนางกลับมา นายท่าน ข้ามั่นใจ” กลางคืนอันหนาวเย็น อีธานนั่งเขียนบางสิ่งลงในสมุดหนังสีน้ำตาลเก่า > "ข้าจะไม่ให้นางต้องกลายเป็นเงาแบบที่ข้าเคยเป็น นีร่า…เจ้ารอดมาให้ได้ ข้ากำลังจะไปหาเจ้า" แล้วเขาก็ลุกขึ้น “ปรับใบเรือ! มุ่งหน้าไปทางคอร์เซียร์!” เสียงของเขาดังกังวานสู่ฟ้า --- สองหัวใจ…ต่างดิ้นรนอยู่คนละฟากทะเล หนึ่งคือหญิงสาวที่เดิมพันด้วยชีวิตในความมืด อีกหนึ่งคือชายหนุ่มที่แล่นฝ่าแดดและพายุเพื่อไถ่คืนคนรัก คืนหลบหนีกำลังใกล้เข้ามา… แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยโจรสลัดและความโลภ ไม่มีอะไรแน่นอน ยกเว้นเพียง…หัวใจที่ไม่ยอมแพ้เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ
แสงจันทร์ส่องลงมากระทบลานหินกลางป่าลึก เงาไม้โยกไหวตามแรงลม คืนนี้เงียบผิดปกติ—เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ถูกจับไอล่าและรัฟเฟอร์นั่งอยู่กลางวงพิธี แขนทั้งสองข้างถูกมัดด้วยเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ พวกเขาไม่ได้ถูกทำร้าย ไม่แม้แต่รอยขีดข่วนบนร่างกาย...แต่หัวใจกลับสั่นสะท้านด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเพราะรอบตัวพวกเขา...ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยมีเพียง "เงา" — เงาบางเบาของสิ่งที่เคยมีชีวิตเสียงสวดมนต์ต่ำ ๆ ดังขึ้นจากทุกทิศ เสียงนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นเสียงกระซิบของลมหายใจในอดีต เสียงของวิญญาณที่เคยมีเลือดเนื้อ และบัดนี้...หลงเหลือเพียงเศษความตายที่ยังไม่สงบ"พวกมัน...ไม่มีร่าง" รัฟเฟอร์กระซิบเบาไอล่าหันมามอง สีหน้าซีดเผือด "แต่ยังมีเจตจำนง"จู่ ๆ อากาศรอบกายเย็นวาบ ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน ก่อนที่แสงสีฟ้าหม่นจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างของหญิงชราโบราณ ใบหน้าซีดเผือดดั่งกระดูก ห้อยลอยอยู่เหนือพื้นเพียงนิ้วเดียว ดวงตาขาวขุ่นไร้แววชีวิต แต่มองตรงมาราวกับมองทะลุหัวใจ“เจ้าจะเป็นสะพาน...” เสียงนั้นดังกังวานโดยไม่มีปากขยับ“สะพานเพื่อพวกข้า...จะกลับมาอีกครั้ง”แท่นหิ
เปลวแดดยามสายส่องทะลุม่านเมฆครึ้ม ปลายหางเรือเล็กแหวกผืนน้ำอย่างเงียบงัน อีธานนั่งนิ่งบนหัวเรือ สายตาคมใต้คิ้วเข้มทอดมองไปยังผืนป่าแน่นทึบบนเกาะร้างเบื้องหน้า"ตรงนี้แหละ" เสียงไอล่าเอ่ยพลางหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู เธอชี้ไปยังฝั่งที่มีโขดหินเรียงตัวคล้ายประตูธรรมชาติ "ฉันเห็นรอยเท้า...มันมุ่งเข้าไปด้านใน"อีธานพยักหน้า รอยแผลบนแขนยังไม่ทันแห้งดี แต่เขาไม่อาจรอให้บาดแผลสมานก่อน รอยเลือดของพวกโจรสลัดยังเปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อผ้า กลิ่นคาวยังติดปลายจมูก — มันคือเครื่องเตือนใจว่าเขาต้องเร็วขึ้นอีก ก่อนจะสายเกินไปลูกเรืออีกคนที่ยังเหลือ—ชายร่างสูงชื่อรัฟเฟอร์—เป็นคนเงียบขรึม แต่ซื่อสัตย์ เขาหิ้วสัมภาระตามหลัง ไม่เอ่ยถ้อยคำใด นอกจากพยักหน้าอย่างพร้อมเคียงบ่าเคียงไหล่สามคนขึ้นฝั่ง ใต้ร่มไม้เงียบงัน เย็นยะเยือกผิดกับแสงแดดข้างนอก เสียงใบไม้แห้งลั่นกรอบใต้เท้า พร้อมกลิ่นดินชื้นที่คละเคล้ากลิ่นเกลือทะเล"หยุดก่อน..." เสียงอีธานเบาและกดต่ำ ขณะเขาย่อตัวลง มือหนาแตะบางสิ่งบนพื้นมันคือหยดเลือด...เล็กแต่ยังสดไอล่าถลาเข้ามาอย่างเร็ว "เลือดเหรอ?"อีธานไม่ตอบ เขายืนนิ่ง ขมวดคิ้วแน่น ดวงตาเขาสั่นไหว.
แสงจันทร์สาดสีเงินลงเหนืออ่าวลับ เงาน้ำพลิ้วไหวใต้ผืนฟ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความเงียบงันที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ข้าค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากแอ่งน้ำข้างหาด ดินเหนียวเปรอะขา เท้าของข้าเหยียบลงไปบนผืนทรายที่เย็นชื้นเท้า—ไม่ใช่หางเงือกอีกต่อไปข้ามองปลายขาตัวเองอย่างอึ้งงัน ผิวเนื้อที่เคยเป็นเกล็ดทองสะท้อนแสงบัดนี้กลายเป็นผิวมนุษย์เรียบเนียน ซีดขาวด้วยไอเย็นของน้ำและความเหน็ดเหนื่อยข้าไม่รู้ว่าสิ่งใดเปลี่ยนร่างข้ากับน้อง…บางที อาจเป็นเวทมนตร์ของโพรงน้ำใต้เกาะ หรือบางสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ> “พี่…” เสียงเบาเรียกจากข้างหลัง ข้าหันไปเห็นมาริเบลกำลังพยายามพยุงตัวลุกขึ้นเช่นกัน“ข้า…ข้าก็มีเท้าเหมือนเจ้าแล้ว”ข้าประคองนางขึ้นจากน้ำ ดวงตานางเบิกโพลง ขณะจ้องมองปลายเท้าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่เพิ่งเห็นโลกเป็นครั้งแรก ผมของนางเปียกปอนแนบแก้ม หยดน้ำยังเกาะตามขนตาคล้ายหยดน้ำตาข้าจับมือนางไว้แน่น> “เรายังมีชีวิตอยู่ และนั่น…คือสิ่งเดียวที่สำคัญ”สายลมยามค่ำคืนพัดหอบเอากลิ่นทะเล กลิ่นดิน กลิ่นมอส และกลิ่นไม้ผุจากป่าด้านหน้าเข้ามา ด้านหลังของเราคือผืนน้ำกว้างใหญ่เบื้องหลังภูเขาหินสูงชัน ไม่มี
เพลิงลุกไหม้ยอดไม้ โหมกระท่อมริมฝั่งทะเลสาบให้กลายเป็นเศษเถ้าดำราวสรวงสวรรค์เคยทอดทิ้งที่นี่ไปนานแล้ว...ข้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ใต้แสงสีส้มของความสูญเสียข้ารู้สึกราวกับห้วงเวลาหยุดหมุนในชั่วครู่ที่สายตาจับจ้องไปยังร่างหนึ่งบนพื้น—เรน ชายผู้เคยเป็นทั้งเพื่อน ทั้งรัก และบัดนี้…เป็นเพียงซากอดีตที่ไร้คำแก้ตัวเสียงสะอื้นของนีร่าดังแผ่วอยู่เบื้องหลัง หยดน้ำตาสีดำยังร่วงทีละหยดลงสู่ผืนดินที่เปียกชื้นจากทั้งฝนที่เพิ่งจางหาย และเลือดที่ยังไม่แห้งข้าอยากยื่นมือไปปลอบนางแต่ข้ากลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น...เพราะบางความเจ็บ ก็ไม่มีถ้อยคำใดปลอบประโลมได้> “อีธาน…”เสียงนางเบาเหมือนเสียงคลื่นลมที่ซัดชายฝั่งข้าหันมาช้า ๆ และสบตากับนางดวงตาคู่นั้น—แม้จะยังงดงาม—กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของการแตกสลาย> “ข้า…เหนื่อยเหลือเกิน…”นางเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงบนบ่าข้า ข้าได้แต่ยกแขนขึ้นโอบประคองแผ่นหลังบางเอาไว้แน่น มาริเบลยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ร่างเล็กที่เปื้อนเลือดและดินเงยหน้ามองพี่สาวอย่างเงียบงัน น้ำตาของนางไม่ไหล…เพราะนางไม่เหลือแม้แรงจะร้องไห้อีกแล้วข้าอยากให้คืนวันสงบกลับมา แต่ในโลกนี้—มันไม่เคยง่ายเช่นนั้นเพร