เสียงคลื่นกระแทกหาดดังปัง ๆ พร้อมเสียงนกทะเลที่โฉบผ่านยอดไม้
ภายใต้ร่มใบตาลขนาดใหญ่ ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ ผิวขาวซีดมีเลือดซึมที่แผลกลางอก อีธาน...ยังไม่สิ้นใจ “ข้ายังได้ยินเสียงลมหายใจเขาอยู่” เสียงชายชรา—หมอประจำท่าเรือ—เอ่ยพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “แม้เจ้าคนนี้จะโดนฟันเฉียดหัวใจ หากไม่ใช่เพราะชาวประมงช่วยเขาได้ ข้าคงได้ฝังเสียแล้ว” อีธานกระพริบตาช้า ๆ ลมหายใจของเขายังคงแผ่วบาง “...นีร่า…” เสียงพร่าที่เล็ดลอดออกจากริมฝีปาก แทบไม่ต่างอะไรจากสายลมผ่านหญ้า หลายวันผ่านไป ด้วยการดูแลของหมอ และสมุนไพรจากป่า อีธานเริ่มขยับตัวได้อีกครั้ง แม้ความเจ็บแผลยังเหมือนมีไฟสุมในอก แต่ในใจเขากลับร้อนแรงยิ่งกว่า—เพลิงแห่งความมุ่งมั่น “ข้าจะไม่อยู่เฉยอีกต่อไป” ชายหนุ่มกัดฟันลุกขึ้นยืน ท่ามกลางเสียงห้ามปรามของชาวบ้าน “ใจเย็นก่อนเถอะ เจ้ายังเดินไม่ไหว!” “ข้าไม่อาจอยู่เฉยได้ หากนีร่าตกอยู่ในมือโจรสลัดพวกนั้น…ข้าจะเอานางคืนมา แม้ต้องแลกด้วยลมหายใจ!” เช้าวันถัดมา อีธานยืนอยู่หน้าท่าเรือเก่า ฝุ่นทรายปลิวว่อนเมื่อเขาชักดาบออกจากฝัก “ผู้ใดสมัครใจล่องเรือกับข้า—ออกตามล่าพวกโจรนรกนั่น! ข้าต้องการเพียงหัวใจกล้า ไม่กลัวตาย!” เหล่าชายหนุ่มในหมู่บ้านมองหน้ากัน ก่อนจะมีชายหนุ่มร่างใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมา “ข้า—บอร์ก ลูกเรือเก่าของกัปตันเเบลคธอร์น ข้าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งหนึ่ง ครั้งนี้...ข้าจะติดตามเจ้าไปจนสุดฟ้า!” “นับข้าด้วย!” เสียงอีกคนตะโกน “พี่สาวข้าถูกจับไปกับนีร่า...ข้าจะไม่มีวันให้นางหายไปเฉย ๆ!” เมื่อเรือ “ลูนาร่า” ลำเก่าถูกดึงออกจากคลัง อีธานยืนประจำหัวเรือ ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บแค้นและแรงศรัทธา “รอข้า นีร่า...ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ปลายฟ้าหรือใต้หล้ามหาสมุทร ข้าจะหาทางไปถึงเจ้า!” แล้วเรือก็แล่นออกไป กลืนหายใต้ฟ้าสีหม่น… ลมทะเลพัดแรง คลื่นซัดสูง ...ฤดูแห่งการล่าโจรสลัดได้เริ่มขึ้นเเล้ว กลางเมืองคอร์เซียร์ – ยามเช้าอันวุ่นวาย เสียงฝีเท้าเร่งรีบและเสียงตะโกนดังระงม “เธออยู่แถวนี้แน่! พวกเจ้า แยกย้ายค้นซอกซอย อย่าให้มันหนีไปได้อีก!” เหล่าคนงานโรงละครสัตว์ทั้งห้ากระจายกำลังกันเดินลัดเลาะทั่วเมือง ภาพหญิงสาวผมทอง หางสีทองสะท้อนแดด เป็นเอกลักษณ์จนใคร ๆ จำได้ “มันเหมือนปีศาจในนิทานทะเลจริง ๆ!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งชี้ ...แล้วเสียงตะโกนก็ดังลั่น “อยู่นั่น! นางอยู่ตรงนั้น—ตรงข้างกำแพงหิน!” นีร่า ที่สวมผ้าคลุมเก่า ๆรีบวิ่งสุดแรงหัวใจเธอเต้นรัว เสียงฝีเท้าของคนงานตามหลังมาไม่ห่าง “ปล่อยข้าไปเถอะ...ได้โปรด” เสียงในใจตะโกน แต่เท้าไม่หยุดวิ่ง ปัง!! เสียงปืนดังลั่นขึ้นกลางตลาด กระสุนปืนเฉียดเนื้อขา เธอล้มลงทันที เลือดไหลซึมจากแผลสด “จับมันไว้! อย่าให้ดิ้น!” พวกมันกรูเข้าไปล็อกร่างนีร่าไว้ทั้งที่เธอยังดิ้นสุดแรง “ข้าไม่กลับไป...ข้าไม่กลับไปที่นั่น!!” “เจ้าไม่มีสิทธิ์เลือก” คนงานหัวหน้าแสยะยิ้มก่อนจะสั่งเสียงเย็น “ลากกลับไปซะ อย่าให้มันมีแรงหนีอีก!” --- คืนต่อมา – โรงละครสัตว์กลางเมืองคอร์เซียร์ เสียงเหล็กกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง นีร่าถูกโยนเข้าไปในกรงแคบ ๆ ท่ามกลางเสียงเห่าหอนของสัตว์แปลกประหลาดรอบข้าง เธอทรุดตัวลง ขาเจ็บจนแทบขยับไม่ได้ น้ำตาไหลซึมลงพื้นดินที่แข็งและเย็น “นี่เจ้ามาใหม่หรือ…” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบาจากเงามืด เมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืด นีร่าจึงเห็นเงาร่างหญิงสาวผิวคล้ำ ผมดำขลับ ตาเป็นประกายเศร้า “ข้า...ชื่อไอล่า” เธอกระซิบ “ข้าอยู่ที่นี่มานาน..นานจนข้าเเทบลืมน้องชายข้า นีร่าเบือนหน้ามองเธอด้วยความแปลกใจและสะเทือนใจ ไอล่ายิ้มบาง ๆ แม้รอยช้ำเต็มใบหน้า ...เสียงคลื่นจากทะเลไกล ๆ พัดมากระทบหน้ากรง นีร่ากำมือแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยแรงแค้น “สักวันหนึ่ง...ข้าจะเป็นคนลากพวกมันเข้ากรงแทน” คืนเงียบสงัดภายใต้ผ้าห่มแห่งความหวาดกลัว นีร่าหลับไปเพียงครู่เดียวก่อนเสียงฝีเท้าหนัก ๆ จะดังใกล้เข้ามา ลูกกรงเหล็กส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อถูกเปิดออก “เจ้าลุกขึ้น ” เสียงเย็นชาจากคนงานในโรงละครดังลอดเข้ามา หญิงสาวผิวคล้ำเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ในแววตามีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีแม้ความโกรธหรือต่อต้าน เธอไม่พูดอะไร…เพียงเดินตามออกไปอย่างเงียบงัน นีร่ารีบยันตัวขึ้น แม้ขาจะยังเจ็บ “เจ้า...จะไปไหน?” ไอล่าหันมา ยิ้มอ่อน ๆ แต่ในแววตาเหมือนมีคลื่นน้ำตาซัดอยู่ข้างใน “ที่เดิม...ที่ข้าต้องไปทุกคืน” และแล้วเงาของเธอก็ถูกกลืนไปในความมืด --- รุ่งเช้า เสียงโซ่กระทบกันดังเบา ๆ ไอล่าถูกโยนกลับเข้ากรง ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น นีร่าวิ่งไปหาเธอทันที “เจ้าโอเคหรือไม่!?” ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงหายใจแผ่วบาง และรอยฟกช้ำใหม่บนต้นแขนกับลำคอ “มัน...พวกมันทำอะไรกับเจ้า…” ไอล่าหลุบตาลง ไม่ตอบ น้ำตาหยดหนึ่งไหลซึมจากหางตา “พวกมันพรากทุกอย่างจากข้า...จนข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ข้ายังเหลืออะไรอยู่บ้าง” นีร่ากัดฟันแน่น น้ำตาคลอด้วยความเจ็บปวดแทน เธอยื่นมือไปจับมือของไอล่าไว้แน่น “แต่เจ้าก็ยังมีข้า” เสียงเธอสั่น “และข้าจะไม่ยอมให้มันทำแบบนี้กับเราอีก ข้าสาบาน…” ในเงามืดของกรงเหล็ก – กลางดึกที่โรงละครสัตว์ เสียงลมหายใจของสัตว์ในกรงข้างเคียงดังคลอเคล้าไปกับเสียงคลื่นทะเล นีร่ากระพริบตาช้า ๆ แม้จะเจ็บขา แต่เธอก็ยังไม่ยอมนอน “ไอล่า…เจ้าตื่นอยู่ไหม” เสียงกระซิบของนางเบาเกือบเท่าลมพัด “ข้าไม่เคยหลับจริง ๆ อีกเลย” ไอล่าตอบพลางมองผ่านซี่กรงออกไปยังแสงจันทร์ที่ลอดลงมา นีร่าเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ค่อย ๆ ดึงผ้าคลุมเก่าขึ้นเพื่อปิดบังร่างกาย “ข้ามีความคิดอยู่...เจ้าเห็นกุญแจที่ชายคนนั้นพกติดเอวหรือไม่—คนที่เฝ้าเราเปลี่ยนเวรตอนยามดึก” ไอล่าขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะขโมยมัน?” นีร่าพยักหน้าเบา ๆ “ข้าเคยลอบเดินตามพวกมันเมื่อยังไม่ถูกจับกลับ...พวกมันจะเปลี่ยนเวรช่วงใกล้สว่าง และคนใหม่มักมึนเมา เขาจะวางกุญเเจทิ้งไว้” “แล้วเราจะหนีไปทางไหน? ท่อระบายน้ำใต้โรงเก็บสัตว์ ไอล่าสบตานางด้วยความลังเล “หากเราพลาด...” “...ก็แค่ตาย” นีร่าตอบเสียงเรียบ “แต่ข้ายอมตายกลางทะเลมากกว่าถูกขังอยู่ที่นี่จนไม่เหลือวิญญาณ” จากคืนนั้น ทั้งสองเริ่มสังเกตพฤติกรรมคนเฝ้า ค่อย ๆ เก็บรายละเอียด ขโมยเสื้อคลุมเก่า ซ่อนเศษไม้ไว้ใต้ฟาง วันเวลาผ่านไป ทุกค่ำคืนคือการฝึก—เดินเบา ๆ ขยับเงียบ ๆ แม้แผลของนีร่าจะยังไม่หายดี แต่นางกัดฟันทุกคืนเพื่อฝึกให้ขาทำตามใจ “อีกสามวัน...ถ้าฟ้าใส และลมพัดจากทิศตะวันตก เราจะลงมือ” เสียงของนีร่าแน่วแน่ อีกฟากหนึ่งของทะเล – บนเรือ 'ลูนาร่า' อีธานยืนอยู่ที่หัวเรือ มือจับพังงาแน่น สายตากวาดไปรอบขอบฟ้า เรือแล่นฝ่าคลื่นกลางแสงแดดบ่าย “เห็นเรือที่มีธงสีแดงขลิบดำเมื่อสองวันก่อนตรงแนวนั้น...” บอร์ก ผู้ช่วยเขาชี้ไปยังแผนที่ “มันเป็นเรือของโจรสลัดแน่นอน ข้าเคยเห็นมาก่อนที่ท่าเรือคอร์เซียร์ อีธานเม้มปากแน่น ข้าจะลากพวกมันลงนรก ถ้ามันแตะต้องเธอแม้แต่นิดเดียว…” บอร์กวางมือบนบ่าชายหนุ่ม “เราจะได้ตัวนางกลับมา นายท่าน ข้ามั่นใจ” กลางคืนอันหนาวเย็น อีธานนั่งเขียนบางสิ่งลงในสมุดหนังสีน้ำตาลเก่า > "ข้าจะไม่ให้นางต้องกลายเป็นเงาแบบที่ข้าเคยเป็น นีร่า…เจ้ารอดมาให้ได้ ข้ากำลังจะไปหาเจ้า" แล้วเขาก็ลุกขึ้น “ปรับใบเรือ! มุ่งหน้าไปทางคอร์เซียร์!” เสียงของเขาดังกังวานสู่ฟ้า --- สองหัวใจ…ต่างดิ้นรนอยู่คนละฟากทะเล หนึ่งคือหญิงสาวที่เดิมพันด้วยชีวิตในความมืด อีกหนึ่งคือชายหนุ่มที่แล่นฝ่าแดดและพายุเพื่อไถ่คืนคนรัก คืนหลบหนีกำลังใกล้เข้ามา… แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยโจรสลัดและความโลภ ไม่มีอะไรแน่นอน ยกเว้นเพียง…หัวใจที่ไม่ยอมแพ้อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส