เสียงหยดน้ำจากผนังถ้ำกระทบแอ่งหินอย่างเนิบช้า กลิ่นชื้นของความตายเจืออยู่ในอากาศ แสงคบเพลิงสะท้อนประกายสีทองที่แวววาวอยู่รอบตัวกัปตันแบร์กตัน เขายืนอยู่กลางห้องถ้ำโอ่อ่า รายล้อมด้วยกองทองคำ เพชรนิลจินดา และถ้วยสุราจากยุคสมัยที่หล่นหายไปจากประวัติศาสตร์ ทว่าเบื้องหลังประกายนั้น ไม่มีอะไรขยับ ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของชีวิต
"เจ้ามาได้ยังไง..." แบร์กตันเอ่ยเสียงต่ำ พริบตาเดียวมือขวาของเขาก็แตะปลายดาบแล้ว อีธานยืนอยู่ตรงปากถ้ำ แสงคบเพลิงสะท้อนใบหน้าเปรอะโคลนและเหงื่อ “ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า… นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” สายตาของทั้งสองประสานกัน เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อีธานเหลือบมองรอบถ้ำด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่มีสมบัติใด ๆ นอกจากเศษซากกระดูกมนุษย์ เครื่องเงินขึ้นสนิม และคราบแห้งของเลือดที่ฝังในหิน "เจ้ามองไม่เห็นหรือ?" แบร์กตันกระซิบคล้ายละเมอ "ดูสิ… ทองคำของราชาโจรสลัด! อยู่ตรงนั้นน่ะ” “ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น!” อีธานสวนเสียงแข็ง “ข้าเห็นแต่เงาแห่งความตาย” มือของแบร์กตันสั่นเล็กน้อย เขาหันขวับมามองอีธาน ดวงตาฉายแววสับสนและโกรธเคือง "เจ้าจะเอามันไปจากข้าใช่มั้ย... เจ้าคิดจะหักหลังอีกแล้ว!" เสียงก้องในถ้ำกลายเป็นคำกระซิบของเสียงที่ไม่ควรมีอยู่ “ฆ่าเขา… ก่อนที่เขาจะฆ่าเจ้า…” อีธานขยับถอยหลัง มือแตะด้ามมีดพกใต้เสื้อ “เจ้ากำลังฟังเสียงอะไรอยู่ แบร์กตัน?” กัปตันไม่ตอบ เขาก้าวเข้าหาอีธานช้า ๆ ทุกย่างก้าวเหมือนก้าวข้ามเส้นบางของสติ “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า… ข้าไม่เคยไว้ใจใครเลย…” แต่ก่อนที่เขาจะชักดาบออก เสียงกระหึ่มเบา ๆ ดังขึ้นจากส่วนลึกของถ้ำ เหมือนเสียงหินบดทับกัน หรือบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้นกำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหล ทั้งสองชายชะงัก สายตาเบนไปทางต้นเสียง “เจ้าทำอะไรลงไป…” อีธานพึมพำ แต่คำตอบไม่ใช่คำพูด มันคือเงาดำรูปร่างบิดเบี้ยวที่คืบคลานออกมาจากความมืด เสียงหัวเราะเบา ๆ แทรกมาในหูเหมือนลมพัดผ่านโลงศพ และตอนนั้นเองที่ทั้งสองรู้ว่า สิ่งที่พวกเขาควรกลัว… ไม่ใช่กันและกัน เสียงหัวเราะเบา ๆ กลายเป็นกรีดร้องลากยาวอย่างผิดธรรมชาติ เงาดำเคลื่อนไหวเร็วผิดมนุษย์ มันคล้ายควันดำที่มีรูปร่าง ราวกับประกอบจากเงาวิญญาณมากมายที่บิดเกลียวเข้าด้วยกัน สายลมเย็นเฉียบพัดวูบผ่านร่างของกัปตันแบร์กตันและอีธาน กลิ่นเหม็นเน่าราวศพเปียกโชยขึ้นมาแทบพร้อมกัน “วิ่ง!” อีธานตะโกนขึ้น เสียงเขาสะท้อนก้องหายไปในถ้ำ แบร์กตันหันหลังกลับแทบจะทันที ลืมเลือนทองคำลวงตา เขากระโจนตามอีธานไปตามทางเดิมที่ทั้งสองเคยเข้ามา แสงคบเพลิงสะบัดไหวในมือ เหงื่อไหลซึมตามไรผม แต่เสียงบางอย่างไล่หลังพวกเขามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายฝีเท้าที่ไม่มีเท้า กระซิบที่ไม่มีปาก “ซ้าย! ทางแคบตรงนั้น!” อีธานพยักหน้าไปทางช่องหินที่ผนังถล่มลงมาบางส่วน ทั้งสองเบียดตัวลอดเข้าไปอย่างหวุดหวิด เงาดำพุ่งตามมาจนถึงปากช่องก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องลั่นถ้ำ — แหลมสูงจนหินบางจุดสั่นสะเทือน แล้วก็ค่อย ๆ จางหายไป เงียบลง… แต่ไม่ใช่ความปลอดภัย “นั่นมันอะไรกันแน่...” แบร์กตันหอบหายใจ ล้มตัวพิงผนังถ้ำ อีธานไม่ตอบทันที เขายกมือแตะหน้าอก เหงื่อชุ่ม และหัวใจยังเต้นระรัว “คำสาป… หรือวิญญาณที่ถูกขังไว้พร้อมสมบัติ…” เสียงกิ่งไม้แตกดังขึ้นจากปากถ้ำที่พวกเขาพุ่งออกมา ทั้งสองขยับตัวทันที มือแตะอาวุธ — แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าไม่ใช่ศัตรู… ...เป็นหญิงสาวสองคนที่โซซัดโซเซออกมาจากเงามืด นีร่าในร่างมนุษย์ มีเลือดซึมที่ไหล่ และแขนมีรอยขีดข่วน ส่วนมาริเบลที่พยุงเธอไว้มีสีหน้าหวาดกลัวจนซีดเผือด ชุดเธอเปรอะโคลนและฉีกขาด “นีร่า!” แบร์กตันร้อง รีบเข้าไปคว้าแขนเธอ หญิงสาวชะงักไปชั่วครู่เหมือนยังไม่แน่ใจว่าเห็นจริงหรือหลอน “เราต้องหนี… พวกมัน… มันไม่ใช่คน…” มาริเบลเอ่ยเสียงแผ่ว ราวกับกลัวว่าจะมีบางสิ่งได้ยิน “เจ้าเจอพวกมันด้วยเหรอ?” อีธานถามเสียงต่ำ นีร่าพยักหน้าเบา ๆ “ไม่ใช่แค่ในถ้ำ… ป่า… กำลังเปลี่ยน… เหมือนทุกสิ่งถูกปลุกให้ตื่น” แบร์กตันมองไปรอบตัว ใต้แสงคบเพลิงที่สั่นไหว ต้นไม้เริ่มเหมือนเคลื่อนไหวได้ เงาสะท้อนบนผิวน้ำไม่มีทิศทางที่ควรจะเป็น ในเงาเงียบของต้นมะฮอกกานีโบราณ เรือลำหนึ่งนอนสงบนิ่งครึ่งฝังในโคลนชื้น ตัวเรือเอนเอียงเล็กน้อย ใบเรือขาดรุ่งริ่ง บันไดห้อยต่องแต่งเหมือนแขนที่ถูกหัก แต่ชื่อยังอยู่ชัดเจนบนหัวเรือ "แบลควัลเชอร์"นกแร้งดำในตำนานที่เคยแล่นเหนือคาบสมุทร แบร์กตันก้าวเข้าหามันด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย “ข้าคิดว่ามันจมไปนานแล้ว…” “หรือไม่มันก็ถูกเกาะนี่ดึงกลับมา” อีธานเอ่ยเบา ๆ ทุกคนช่วยกันอย่างแข็งขัน ลากเชือก ดันล้อไม้ พยุงกระดานเรือให้หลุดจากหล่มโคลน เรือค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้น้ำ เสียงลื่นไถลของท้องเรือบดกับเปลือกหอยเก่าทำให้หัวใจพองโตขึ้นเล็กน้อยในอกของทุกคน “เราจะหนีได้” มาริเบลพึมพำ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏครั้งแรกในหลายวัน แต่แล้ว… เสียงก้าวเท้าแผ่วเบาของลูกเรือคนหนึ่ง ลูกเรือของแบร์กตัน ชื่อ บรอลเดินขึ้นแผ่นไม้ท่อนหนึ่งที่ปูเป็นสะพานข้ามจากฝั่งขึ้นเรือ เขาหัวเราะเบา ๆ เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ “ไปจากที่นี่กันเถอะ! ข้าจะไม่—” ฉึก! เสียงเหมือนเนื้อสดถูกฉีก กระดูกลั่นกรอบแกรบ บรอลชะงัก — แล้วร่างเขาเริ่ม ละลาย ผิวหนังที่ก้าวออกจากฝั่งเกาะกลายเป็นสีขาวซีดก่อนจะแตกเป็นรอยปริ บวมพอง พริบตาเดียวรอยแผลก็แผ่ลามทั่วขา เลือดสีคล้ำไหลซึมออกมาตามรูขุมขน เขาหวีดร้องเมื่อเนื้อที่หน้าแข้งเริ่มเปื่อยยุ่ย เหมือนเนื้อหมูต้มที่โดนน้ำเดือดนานเกินไป ผิวหลุดเป็นแผ่น ๆ กล้ามเนื้อใต้ผิวมีสีคล้ำราวกับเนื้อที่ถูกแช่เน่ามานานนับเดือน “ขะ… ข้าจะกลับ! ข้าจะกลับไปที่เกาะ!” แต่เท้าที่เปื่อยยุ่ยไม่อาจรับน้ำหนักได้อีก เขาทรุดลง กลิ้งตกกลับมาบนพื้นทรายของเกาะทันทีที่ร่างขาดจากเรือ แล้ว… ทุกอย่างก็หยุด แผลหยุดลุกลาม เลือดหยุดไหล เขาหอบหายใจหนัก เบิกตาโพลง ร่างเปลือยเปล่ามีแต่กล้ามเนื้อเปลือยเปล่าแดงฉานตรงขาทั้งสอง แบร์กตันยืนนิ่ง มองด้วยความตกใจที่เขาไม่เคยแสดงออกแม้ตอนสู้กลางพายุทะเล “มันไม่ให้เราจากไป” เสียงนีร่าเอ่ยเบา ๆ ดั่งเสียงกระซิบของคลื่นยามเที่ยงคืน “คนที่อยู่ที่นี่นานเกินไป… กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันแล้ว” ความเงียบปกคลุมพวกเขาอีกครั้ง ยกเว้นเสียงสะอื้นแผ่วของลูกเรือที่ยังมีชีวิต อีธานมองหน้าแบร์กตัน “แล้วเราล่ะ… เราอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว?” แบร์กตันไม่ตอบ แต่สายตาเขา… แววตานั้นคล้ายกับเริ่มไม่มั่นใจเช่นกันเสียงหยดน้ำจากผนังถ้ำกระทบแอ่งหินอย่างเนิบช้า กลิ่นชื้นของความตายเจืออยู่ในอากาศ แสงคบเพลิงสะท้อนประกายสีทองที่แวววาวอยู่รอบตัวกัปตันแบร์กตัน เขายืนอยู่กลางห้องถ้ำโอ่อ่า รายล้อมด้วยกองทองคำ เพชรนิลจินดา และถ้วยสุราจากยุคสมัยที่หล่นหายไปจากประวัติศาสตร์ ทว่าเบื้องหลังประกายนั้น ไม่มีอะไรขยับ ไม่มีแม้แต่ลมหายใจของชีวิต"เจ้ามาได้ยังไง..." แบร์กตันเอ่ยเสียงต่ำ พริบตาเดียวมือขวาของเขาก็แตะปลายดาบแล้วอีธานยืนอยู่ตรงปากถ้ำ แสงคบเพลิงสะท้อนใบหน้าเปรอะโคลนและเหงื่อ “ข้าควรเป็นฝ่ายถามมากกว่า… นี่เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”สายตาของทั้งสองประสานกัน เต็มไปด้วยความหวาดระแวง อีธานเหลือบมองรอบถ้ำด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับไม่มีสมบัติใด ๆ นอกจากเศษซากกระดูกมนุษย์ เครื่องเงินขึ้นสนิม และคราบแห้งของเลือดที่ฝังในหิน"เจ้ามองไม่เห็นหรือ?" แบร์กตันกระซิบคล้ายละเมอ "ดูสิ… ทองคำของราชาโจรสลัด! อยู่ตรงนั้นน่ะ”“ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น!” อีธานสวนเสียงแข็ง “ข้าเห็นแต่เงาแห่งความตาย”มือของแบร์กตันสั่นเล็กน้อย เขาหันขวับมามองอีธาน ดวงตาฉายแววสับสนและโกรธเคือง "เจ้าจะเอามันไปจากข้าใช่มั้ย... เจ้าคิ
แบร์กตันขมวดคิ้ว สัญชาตญาณนักล่าทะเลในตัวเขาเตือนว่า ไม่ควรก้าวต่อไปแต่ก็เหมือนทุกคน…พวกเขาก้าวตามเสียงนั้นไปโดยไม่รู้ตัวรอยเท้าคนเปลือยเปล่านำพวกเขาสู่แนวหินสูงชัน ปกคลุมด้วยเถาวัลย์และหญ้า เสียงลมหายใจเบา ๆ หลายเสียงที่ “ไม่ใช่ของพวกเขา”> “นั่น…” ซินชี้ขึ้นเบา ๆเบื้องหน้าคือ “ปากถ้ำ” มืดมิด ลึก และเย็นชืด แต่ด้านในกลับมีแสงระยิบระยับเหมือนเทียนนับร้อยเล่ม…หรือบางอย่างที่สว่างกว่า> “ข้าไม่ชอบแบบนี้เลยกัปตัน…” บรอลพึมพำ ขวานในมือหนักขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทราบสาเหตุแบร์กตันเงียบ เขาค่อย ๆ ย่างเท้าเข้าไปในถ้ำเมื่อพวกเขาก้าวข้ามเงาความมืดของปากถ้ำ—โลกทั้งใบก็เปลี่ยนไปภาพตรงหน้าเหมือนมาจากตำนานที่บรรพบุรุษยังไม่กล้าฝันถึงกอง ทองคำ หีบสมบัติ เพชร พลอย เหรียญทองเรียงรายซ้อนกันสูงจรดเพดานถ้ำ บางหีบเปิดออก เผยให้เห็นสร้อยคอแห่งราชา โล่ทองคำแห่งเทพเจ้า และมงกุฎที่ดูราวกับเป็นของกษัตริย์ในยุคโบราณ> “...พระเจ้า…” ซินพึมพำ เบิกตากว้างแสงสีทองกระทบดวงตาของพวกเขา ดึงดูดใจรุนแรงจนยากจะละสายตา> “ถ้าเราหอบไปแค่ครึ่งเดียว...ครึ่งเดียวก็พอ...” บรอลพูดทั้งที่น้ำลายไหล และมือเริ่มยื่นไปหา
กลุ่มของกัปตันแบร์กตัน ใน ป่าลึกของเกาะต้องสาปคบเพลิงเปลวสีส้มสาดเงาบิดเบี้ยวบนลำต้นไม้รอบข้างเสียงใบไม้แห้งกรอบใต้เท้าทำให้บรรยากาศเงียบงันดูอึดอัดยิ่งขึ้นกัปตันแบร์กตันเดินนำหน้า ร่างสูงของเขากดอากาศให้แน่นตึงราวกับแรงกดดันจากทะเลลึกซินเดินตามติด ส่วนบรอบลากขวานใหญ่ติดพื้นอย่างไม่ตั้งใจไม่มีใครพูดอะไร...จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างแผ่วเบา> “...เดร็กซ์ไปไหน?”ซินหยุดเดิน ดวงตาเหลือบไปมองรอบตัว> “เมื่อกี้ยังเดินตามอยู่…ข้างหลังเจ้า บรอลบรอลเงยหน้าอย่างงุนงง> “ข้า...คิดว่าเขาเดินล้าหลังอยู่นะ”แบร์กตันชะงัก ฝีเท้าหนักของเขาหยุดลงทันที> “หยุดทุกคน”เสียงของเขาเด็ดขาดเย็นยะเยือกกลุ่มโจรสลัดหันมามองกันและกัน> “ใครเห็นเดร็กซ์ครั้งสุดท้าย?”แบร์กตันถามช้า ๆ น้ำเสียงต่ำแต่กดดันราวกับลมพายุก่อนคลื่นซัดความเงียบกลืนกลุ่มลงชั่วขณะบรอลเป็นคนแรกที่พูด> “ตอนเราผ่านแนวหินด้านหลัง...เขาหยุดฉี่”ซินหันขวับ> “แล้วทำไมเจ้าไม่รอเขา!?”> “เพราะข้าไม่คิดว่าเขาจะ ‘หายตัว’!”เสียงถกเถียงเริ่มดังขึ้นแต่แบร์กตันไม่สน เขาหันหลังทันที ก้าวยาวกลับไปทางที่มาในมือขวา เขาคว้าดาบออกมาอ
บรอลยกคบเพลิงขึ้นสูงกว่าเดิม มองไปรอบด้านด้วยคิ้วขมวด“ข้าไม่ชอบที่นี่เลย…เสียงลมเหมือนเสียงคนคร่ำครวญ มันผิดธรรมชาติ”วินซ์ถอนหายใจเบา ๆ แล้วบ่น“ก็อย่ามัวฟังสิวะ เดินต่อเถอะ ข้าอยากให้เรื่องนี้จบเร็ว ๆ”ซินหันกลับมาหยุดกะทันหัน นางจ้องหน้าวินซ์“เจ้าไม่เข้าใจเหรอ? ป่าแบบนี้น่ะ...ถ้าเดินโดยไม่ฟังอะไรเลย มีหวังกลายเป็นศพไวขึ้นสามเท่า”แบร์กตันที่เดินนำอยู่หันกลับมา เสียงเย็นชาของเขาดังกระแทกอากาศ“เลิกเถียง...ทุกเสียงที่ได้ยิน ให้จำไว้ว่า ‘มัน’ ก็ได้ยินเราด้วย”(เพิ่มเติมในฉากโขดหินมีรอยเท้า)เมื่อแบร์กตันก้มตรวจรอยเท้า เขาพึมพำ“นีร่า...เจ้ายังมีชีวิตอยู่สินะ”ซินเดินเข้ามาใกล้เงียบ ๆ แล้วพูดเสียงแผ่ว“ท่านแน่ใจใช่ไหม...ว่าคุ้ม?”แบร์กตันไม่ตอบทันที เขาเพียงแค่มองลึกเข้าไปในความมืดเบื้องหน้า แล้วตอบ“เงือกตัวนี้...มีราคาที่สูงกว่าชีวิตพวกเจ้า รวมกันทั้งลำเรือ”บรอลสอดแทรกขึ้นมา“แล้วถ้ามันลากพวกเราทั้งลำลงทะเลล่ะ?”แบร์กตันหันกลับไปสบตาเขา ดวงตาไม่มีแววลังเล“ก็อย่าให้มันได้โอกาส” ป่าทางตะวันตกของเกาะต้องสาป แสงจันทร์ลอดผ่านเรือนยอดไม้เป็นลำ ๆ สะท้อนบนผิ
เมืองคอร์เซียร์...เมืองท่าขนาดใหญ่ทางฟากตะวันตกของทวีปที่เหล่าโจรสลัด นักล่าทะเล และพ่อค้าวัตถุต้องสาปต่างพากันมารวมตัว ไม่ใช่เพื่อศีลธรรม...แต่เพื่อผลประโยชน์ เงินทอง และเลือดเรือโจรสลัด “แบล็คดราฟต์” ของกัปตันแบร์กตัน จอดเทียบอย่างลับ ๆ ที่ท่าเรือหมายเลขเจ็ดของเมืองกลางยามสนธยา ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยกลุ่มเมฆแดงหม่น แววตาเจ้าของเรือก็ไม่ต่างกัน“ลากของขึ้นฝั่ง!” แบร์กตันสั่งเสียงห้วนลูกเรือสองคนลากกรงเหล็กขนาดใหญ่คลุมด้วยผ้าดำขึ้นจากเรือ แบกผ่านตรอกแคบ ๆ ไปยังด้านในของเมืองที่หมายของพวกเขาคือ — โรงละครสัตว์ใต้ดินซึ่งว่ากันว่าสะสมสิ่งมีชีวิตประหลาดไว้มากกว่ารัฐบาลราชสำนักเสียอีกภายใต้โคมไฟน้ำมันที่ส่องไหวริบ ๆ เจ้าของโรงละครออกมาต้อนรับชายวัยกลางคนตัวเตี้ย ร่างอ้วนท้วน ใบหน้าคล้ายลูกหมู ผูกผ้าพันคอแดงทับเสื้อกำมะหยี่เก่าแก่“เจ้าพาสิ่งนั้นมาหรือยัง?” เขาถามเสียงขุ่น “ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะ...แบร์กตัน”แบร์กตันโบกมือผ้าคลุมกรงถูกเปิดออก...เผยให้เห็นเพียงเเค่คนเเคระคนนึงเท่านั้น“ไม่มี!?” เจ้าของโรงละครร้องเขาก้าวไปจนหน้าดำหน้าแดง “เจ้ากล้าหลอ
สายลมจากทะเลพัดโชยผ่านใบไม้หนาทึบ กลิ่นเกลือและไอชื้นของป่าไหลเข้าปะทะจมูก แต่นีน่าไม่แม้แต่จะหายใจลึก หัวใจเธอมีเพียงความเร่งรีบ"มาริเบล...ต้องรอด"น้องสาวของนางนอนอยู่ในถ้ำเล็กริมชายหาด ดวงตาร้อนผ่าว ผิวที่เคยสดใสเริ่มซีดจางจากพิษของบาดแผลขณะหลบหนี แม้นีร่าจะใช้ความรู้จากเผ่าตนรักษาเบื้องต้น แต่สมุนไพรที่ต้องการมีเฉพาะในป่าภายในเกาะ ซึ่งแปลกและไม่คุ้นเคยนางจำตำราได้ว่า ใกล้ภูเขาใจกลางเกาะนี้เคยมี “ดอกวารีทอง” — ดอกไม้ขนาดเล็กที่มีกลีบสีเงินสลับทอง ผสมกับราก "เฟินน้ำเที่ยงคืน" แล้วบดกับเกลือ จะถอนพิษจากบาดแผลลึกได้“นางจะต้องไม่เป็นอะไร…” นีร่าพึมพำในใจ ขณะฝ่าไผ่รกและเลื้อยไม้ขึ้นสู่แนวเขาเล็กแต่ทันทีที่นางไปถึงลำธารกลางป่า...เสียงบางอย่างก็ดังขึ้น—เสียงเพลงแผ่วเบา แฝงความเศร้าโศก ราวเสียงร้องของหญิงสาวใต้ผิวน้ำนีน่าหยุดชะงัก หางตากวาดไปรอบ ๆ — ไม่มีใครแต่ผิวน้ำสั่นเบาเหมือนมีบางสิ่งตื่นขึ้นจากก้นลึก> “...ผู้หลงทางในความมืด… กลิ่นเลือดเจ้าช่างหวานนัก…”เสียงนั้นกระซิบในหัว ไม่ใช่เสียงมนุษย์ ไม่ใช่เงือกธรรมดาทันใดนั้น ผิวน้ำก็แตกกระจาย ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นมา—เงือกสาวผิวซีดจ