รุ่งเช้า – ท้องฟ้าเมืองท่าปรากฏแสงสีส้มเรื่อเหนือหมอกเค็ม นีร่ากับดรานตื่นแต่เช้าเพื่อต่อคิวขึ้นเรือพ่อค้าอาชิ เสียงแม่ค้าตะโกนเร่ขายของตีกับเสียงฝีพายและเสียงคลื่นเหมือนบทสวดเช้าของเมือง
ดรานบ่นอุบเมื่อโดนเบียดจากคนแบกถุงปลาหมึกตัวเบ้อเริ่ม “ชาวเมืองนี่ไม่สนว่าคนอื่นมีขาไหมนะ…” นีร่าไม่ได้สนใจฟัง มือเธอกำหมับถุงผ้าเล็กแน่น — มีไข่มุกอยู่สามเม็ด พอถึงคิว พ่อค้าอาชิ มนุษย์รูปร่างผอมแห้ง ใส่หมวกฟางเฉียง ๆ หันมามองอย่างเฉยเมย “สองคน ค่าเรือยี่สิบ…จะลงของด้วยไหม?” นีร่าชูไข่มุกในมือให้ดู — พ่อค้าตาเป็นประกายทันที “โอ้…มุกน้ำตา! นี่มันของดี…” เขาหยิบขึ้นมาดูทีละเม็ด บีบ ลูบ และกัดเบา ๆ เหมือนคนชำนาญ ก่อนจะพยักหน้า “สองเม็ดก็พอ อีกเม็ดเจ้าก็เก็บไว้เถอะ” นีร่าถอนใจโล่งอก ดรานรีบหิ้วของขึ้นเรือก่อนจะมีใครมาเบียดอีก บนเรือไม้สีหม่น เสื่อปูพื้นมีรอยน้ำเก่า ๆ คนบนเรือมีทั้งแม่ลูกชาวประมง คนขายหอยเสียบ และชายชราถือไม้เท้าเหลาเป็นหอก นีร่ากับดรานนั่งแอบมุมเรือ ใต้ชายผ้าใบสีคราม นีร่าสูดกลิ่นเค็มของทะเลอย่างระวัง หูเธอเริ่มได้ยินเสียงเบา ๆ ที่คนอื่นไม่ได้ยิน — เสียงคลื่นกระซิบเป็นคำ เสียงปะการังเก่าขานชื่อเธอ “…บุตรสาวแห่งท้องทะเล…เขาจะมา…” เธอขมวดคิ้ว หันไปมองทะเลเบื้องหน้า มันสงบนิ่งเกินไป คลื่นไม่ปั่นป่วนแม้แต่น้อย แต่ลึกลงไปใต้เงาน้ำสีครามนั้น…มีบางอย่างตื่นแล้ว --- ในอีกฟากหนึ่งของทะเลเรือแบร์กตันลอยเหนือผิวน้ำ ลูกเรือเตรียมเชือก อาวุธ และเข็มทิศโบราณ ขณะที่กัปตันแบร์กตันยืนตรงหัวเรือ สะพายดาบโค้งข้างเอว ซินเดินมาข้างเขา เเววตานิ่ง “พวกเราจะไปตามจุดในแผนที่ที่ท่านขีดไว้ใช่ไหม?” แบร์กตันไม่ตอบ เขายื่นกล้องส่องทางไกลให้ซิน “ดูให้ชัด…ทะเลนี่ใหญ่เกินไปจะสุ่มหา เราต้องรู้แน่ชัดว่าเด็กนั่นอยู่ไหน” ซินรับกล้องไปมอง กวาดไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดที่บางอย่างในน้ำ “…เงาเคลื่อนอยู่ข้างล่าง…เร็วมากด้วย…” แบร์กตันหรี่ตา “ไม่ใช่ฝูงปลาแน่…” ซินลดกล้อง หน้าขาวซีดแฝงความหวั่นใจ “มันเหมือน…พวกเงือกกลายพันธุ์” แบร์กตันหัวเราะเบา ๆ “ดี…ข้ากำลังเบื่ออยู่นี่แหละ” --- ลึกลงไปใต้คลื่น ร่างของหัวหน้าเงือกกินคนลอยทวนกระแส สะโพกบานเหมือนปลาไหลทะเลลึก ผิวสีคล้ำพร่า ครีบแตกร้าวด้วยรอยแผลเก่า พวกมันลอยต่ำลงมาเรื่อย ๆ เข้าสู่แนวปะการังดำใต้ผา ภายใต้แนวหิน มีช่องลับเหมือนถ้ำ เสียงกระซิบโบราณดังสะท้อนกลับมาเป็นจังหวะคล้ายการเคาะประตู หัวหน้าเงือกหยุดตรงปากถ้ำ เสียงแหบต่ำเอ่ยขึ้น > “…ข้า…มีข่าวจากเรือไอ้เจ้ากัปตันนั่น…” เงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนเงาใหญ่กว่าหลายเท่าจะเลื่อนออกมาจากความมืด ดวงตาสองดวงเปิดขึ้นกลางเงา — เขียวหม่นเหมือนตะเกียงเก่าจากก้นทะเล เสียงของมันนุ่มลึกจนพื้นน้ำสั่น “พูดมา…” เงือกหัวหน้าโน้มตัวต่ำลง กระซิบเป็นภาษาโบราณ “…พวกเขาจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ ตามล่าผู้ที่ชื่อ…นีร่า” “…พวกเขารู้…เธอกำลังจะได้ทุกอย่างกลับคืน…” เงาในถ้ำนิ่งเงียบไปนาน ก่อนจะเปล่งเสียงหนึ่งออกมา “เรา…จะไม่ยอมให้เลือดของสายพันธุ์แท้…กลับมาครองน้ำ” ครีบมหึมาแหวกคลื่นขึ้นจากเงา เงือกกลายพันธุ์หลายสิบตนค่อย ๆ เคลื่อนออกมาจากช่องหิน โอบล้อมผู้นำของพวกมันไว้ อีกฟากหนึ่ง — เรือพ่อค้าอาชิแล่นผ่านแนวหมอก บรรยากาศเงียบกว่าปกติ ดรานยื่นขนมปังให้นีร่า “กินสิ เจ้าแทบไม่ได้กินตั้งแต่เช้า” นีร่ารับมา แต่อยู่ดี ๆ ก็นิ่งไป ดวงตาจ้องแนวขอบฟ้า “มีบางอย่าง…กำลังเข้ามา…” “หือ?” นีร่าหรี่ตา — เงาบางอย่างลอยอยู่ห่างออกไปใต้ผิวน้ำ เงาหลายเงา… เงาที่ไม่มีหางเหมือนปลา แต่ยาวเหมือนมนุษย์กับบางสิ่งผสมกัน เสียงในหัวเธอกระซิบอีกครั้ง คราวนี้แหลมกว่าเดิม “…เลือดของเจ้าคือทางกลับ…คืน…” นีร่ากำขอบเรือแน่น หัวใจเต้นแรง เธอหันไปสบตาดราน “ดราน…ถ้าเรือมีปัญหา…เจ้าว่ายน้ำเป็นใช่ไหม?” ดรานทำหน้าตึงทันที “อย่าบอกนะว่า…” เสียง โครม!! ดังสนั่นจากใต้ท้องเรือเหมือนมีอะไรบางอย่างชน คนบนเรือตะโกนลั่น “มันคืออะไรน่ะ! มีบางอย่างอยู่ใต้เรือ!” เสียงครืด ๆ ดังต่อเนื่อง ไม้กระดานสั่นสะเทือนจนจานหล่นกระจาย นีร่ากำถุงผ้าไข่มุกแน่น ตาเธอเริ่มเปล่งแสงฟ้าอ่อนบาง ๆ เธอกระซิบเสียงแข็ง “…พวกมันมาแล้ว…” เสียงกระแทกใต้ท้องเรือดังขึ้นอีกครั้งจนพื้นเรือสั่นสะเทือนเหมือนกำลังถูกยกทั้งลำขึ้นจากผิวน้ำ ทุกคนเริ่มตะโกนโวยวาย บางคนคว้าลูกหลานไว้แน่น บางคนพยายามปีนขึ้นไปที่เสาใบเรือเพื่อหนีให้พ้นจากพื้นไม้ที่กำลังส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดเหมือนจะหัก “เกิดอะไรขึ้น!” พ่อค้าอาชิตะโกนลั่น เขาพยายามควบคุมหัวเรือแต่พวงมาลัยกลับหมุนไปมาไม่อยู่ในมือ ดรานกระชากแขนนีร่าให้ลุก “ต้องออกไปจากเรือนี่แล้ว! พวกมันจะพังเรือแน่!” นีร่าเหลือบตามองขอบเรือ พยายามหาว่าจะมีช่องให้เธอกระโดดลงน้ำได้ไหม แต่คลื่นรอบ ๆ กลับเริ่มหมุนวนผิดปกติ น้ำทะเลรอบลำเรือไม่เหมือนเดิม มันกำลังหมุนวนเป็นวงแคบ ๆ รอบลำเรือราวกับกรงขัง "มันล้อมเรือไว้!" นีร่าเบิกตา น้ำเสียงเริ่มสั่น เสียงแผ่นไม้แตกดัง แควก! จากกลางลำเรือ แผ่นไม้แหวกออก เงือกกินคนตัวหนึ่งพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ ร่างยาวสีหมึกพ่นน้ำทะเลกระจายไปทั่ว มันคำรามเสียงต่ำ ลิ้นยาวเลียริมฝีปากขณะมองผู้คนที่กำลังแตกตื่น หญิงชราคนหนึ่งกรีดร้องก่อนจะสลบคาแขนลูกชาย “แม่! แม่อย่าพึ่งตายนะ!” ชายหนุ่มกอดแม่ไว้แน่น ตัวสั่น ดรานสบถในลำคอแล้วพุ่งเข้าไปหยิบไม้พายยาวข้างเสา “นีร่า! เจ้าเอาไข่มุกไว้กับตัวให้ดี! ถ้าข้าต้องฟาดพวกมัน จะไม่ว่างมาช่วยเจ้าแน่!” นีร่าพยักหน้า กระชับถุงผ้าแน่นแล้วมองรอบ ๆ หาทางลง เงือกกินคนตนนั้นคำรามอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่เด็กคนหนึ่ง แต่ดรานฟาดไม้พายสุดแรง เสียง ผัวะ! ดังสนั่นจนหัวมันหันไปอีกทาง “อย่าแตะเด็กเว้ย ไอ้ปีศาจทะเล!” เลือดสีคล้ำพุ่งจากรอยแผล เงือกตัวนั้นแผดเสียงลั่น น้ำรอบลำเรือเริ่มขุ่น เสียงฟองอากาศผุดเหมือนน้ำกำลังเดือด นีร่ายกมือขึ้นพนมเหนือหัว เสียงคลื่นรอบตัวเธอเริ่มเงียบลง ราวกับทะเลกำลังฟังคำขอของเธอ “โปรด…ช่วยพวกเขา…ให้พ้นจากมืออสูรเหล่านี้…” ลมทะเลเริ่มเปลี่ยนทิศ — เสียงร้องของนีร่าเบาแต่ชัดเจน คำพูดของเธอคล้ายบทสวดโบราณ น้ำใต้ท้องเรือสั่นระริกแปลกตา ทันใดนั้น — เสียงระเบิดน้ำ ตูม!! ดังจากด้านข้างของเรือ ร่างของเงือกกินคนอีกตนพุ่งทะลุขึ้นมา มันฉีกผ้าใบจนขาดเป็นริ้ว แล้วคำรามกึกก้อง สายตาโหดร้ายของมันกวาดมาที่นีร่าโดยตรง แล้วมันก็พุ่งเข้าหาเธอโดยไม่ลังเล! นีร่ายืนกางแขน เหมือนจะตั้งรับด้วยตัวเปล่า ดรานร้องเสียงหลง “หลบไป!” แต่ก่อนที่เงือกจะถึงตัวนีร่า แสงสีฟ้าอ่อนก็ระเบิดออกจากร่างเธอ — คลื่นพลังบางอย่างกระแทกร่างอสูรกลับลงน้ำทันทีเหมือนโดนถีบด้วยพายุ ทุกคนในเรือหยุดมองเธอ — เงียบกริบ มีเพียงเสียงคลื่นที่หอบเหนื่อย แสงนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว แต่นีร่าหน้าเธอซีดเผือด มือสั่น ร่างเธอเริ่มโงนเงน ดรานวิ่งเข้าไปรับตัวไว้ทัน “เจ้าใช้พลังแบบนั้นอีกแล้ว!” “ข้า…ไม่เป็นไร…” นีร่าหอบ “แค่…เหนื่อย…” ใต้ท้องเรือ เสียงกรีดร้องของเงือกกินคนยังไม่หยุด พวกมันยังอยู่ — กำลังรอจังหวะ แล้วเสียงตะโกนก็ดังจากไกล ๆ จากทิศตรงข้าม — เสียงแตรเรือ! มีเรือลำใหม่แล่นฝ่าหมอกเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบเรือดำสนิทสะบัดกลางลม — บนหัวเรือสูงนั้น มีชายในเสื้อคลุมหนังยืนกอดอกอยู่ กัปตันแบร์กตัน — ยิ้มมุมปากขณะจ้องมายังลำเรือของนีร่า “นั่นแหละ…” เขากระซิบกับตัวเอง “…ข้าตามทันแล้ว…นีร่า” ดรานเงยหน้าขึ้น เห็นเรือสีดำลำมหึมาเข้ามาใกล้ “…บัดซบ…พ่อมันก็มาแล้ว…” นีร่าฝืนลืมตาขึ้น ดวงตายังแฝงแสงสีฟ้าอ่อน เธอพึมพำ “ไม่ใช่พ่อ…ปีศาจที่ตามล่าข้า…” เสียงแตรเรือดังอีกครั้ง คราวนี้เป็นสัญญาณเริ่มการล่า ฟากฟ้าสีส้มเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเลือด…อุโมงค์หินใต้ดินคดเคี้ยวและแคบจนแทบต้องคลาน รอยสลักเวทมนตร์เรืองแสงสีน้ำเงินริบหรี่เป็นระยะ แสงจากเปลวไฟพกพาทำให้เงาทั้งสามยาวยืดบนผนังเหมือนปีศาจในตำนานคาเอลหอบเบาๆ ขณะคลานตามหลังดราน “อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่กลัวที่มืด...แค่ไม่ค่อยถูกกับที่ที่ มีอะไรดุกว่าข้าอยู่ข้างหน้า เท่านั้นเอง”“เงียบหน่อย” ดรานสบถเบาๆ “เสียงสะท้อนมันดังไกลมากที่นี่”“โอเค โอเค ข้าจะเงียบ…หลังจากบอกว่าเข่าข้าไปบี้หอยที่พื้นนี่เข้าแล้วแน่ๆ มันแหลมเหมือนมีความแค้น!”นีร่าอดหัวเราะไม่ได้ “นี่ถ้าติดเกราะเหมือนเงือกที่เมืองใต้น้ำ คงรอดหอยได้ล่ะมั้ง”คาเอลยักคิ้วให้ทั้งคู่ แม้ในความมืด “พวกนั้นเกล็ดหนา ฉันแค่...บางกว่า นุ่มกว่า เรียกได้ว่าเป็นเงือกฉบับขนมปังปิ้ง”ดรานหลุดขำจมูก “เงือกขนมปังปิ้งเนี่ยนะ”“ใช่ และขนมปังปิ้งจะพาคุณรอดจากความตายได้ทันใดนั้น แผ่นหินใต้เท้าพังครืดลง! ทั้งสามร่วงลงไปในโพรงเบื้องล่าง ก่อนจะกระแทกพื้นน้ำตื้นเสียงดัง ซ่า!นีร่าดีดตัวลุกขึ้นก่อน มือลูบน้ำออกจากตา “ทุกคนปลอดภัยไหม!?”“ขาอยู่ แขนอยู่” ดรานคราง“ข้าเจอน้ำ...แล้วก็หอยอีก” คาเอลพูดพลางดีดเปลือกหอยออกจากคอเสื้อ “เอาจริงนะ—ข้าเริ่มคิด
ทางเดินหินแคบเริ่มกว้างออกเป็นโถงใต้ดินสูง เสาแกะสลักเป็นรูปคล้ายสัตว์ทะเลยักษ์เรียงรายอยู่สองข้าง เสียงหยดน้ำสะท้อนก้องคล้ายเสียงหัวใจเต้นช้าๆ ลึกลงไปในพื้นดินคาเอลเดินช้าๆ พิงไหล่นีร่า บางครั้งเขาสะดุดเพราะบาดแผลที่ยังไม่หาย ดรานเดินนำ ถือคบไฟไว้ในมือแต่แล้ว...พรึ่บ!เปลวไฟดับลงกะทันหัน เหลือเพียงความมืดสนิทและลมเย็นเฉียบพัดผ่านเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากรอบทิศ ก่อนที่แสงจากโคมเวทมนตร์สีน้ำเงินจะลอยขึ้นเป็นวงรอบตัวพวกเขา ส่องให้เห็นร่าง บุรุษและสตรีในผ้าคลุมสีเทาอมน้ำเงิน หน้ากากเรียบไร้อารมณ์ ตรงกลางหน้าผากมีเครื่องหมายสลักเป็นเกล็ดปลากลับหัว“หยุดอยู่ตรงนั้น” เสียงหนึ่งกล่าว—ราบเรียบแต่น่าเกรงขามดรานชักดาบ แต่มือแข็งค้างกลางอากาศ ราวกับถูกตรึงไว้ด้วยเวทบางอย่าง นีร่าก้าวไปขวางหน้า“เรามาเพื่อตามหาความจริง ไม่ได้หมายจะทำลายอะไรทั้งนั้น!”ชายผู้สวมหน้ากากยกมือขึ้น—และพื้นใต้เท้าก็เปิดวูบ---ห้องขังใต้โถงพิพากษาแสงเพลิงเย็นสีฟ้าจุดขึ้นตามซอกหิน พวกเขาถูกขังในห้องหินทรงกลม มีประตูเหล็กสูงกว่าเกือบสามเมตร คาถาป้องกันซับซ้อนจนดรานไม่กล้าแตะต้องคาเอลนั่งซบผนัง ดวงตาหลับลงครู่หนึ่ง
หมู่บ้านริมผา – เวลาสองยามเพลิงจากแนวคบไฟถูกจุดขึ้นรอบหมู่บ้าน เสียงเปลวไฟแตกพรึ่บพรับแข่งกับเสียงคลื่นที่เริ่มโหมกระหน่ำ พื้นดินสั่นเล็กๆ จนเด็กเล็กบางคนเริ่มร้องไห้ไอล่าคาดแหลงไว้ข้างเอว เดินตรวจแนวป้องกันกับอีธาน ก่อนหยุดตรงจุดที่น้ำทะเลเริ่มซึมเข้ามา“ครีบพวกมันเร็วขึ้นเรื่อยๆ...” ไอล่าพึมพำเสียงหวีดเบาๆ ดังแทรกอากาศ ราวเสียงไวโอลินขูดสายอย่างไม่ประสาน เสียงนั้นมาจากเรือดำที่ลอยเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด — ไม่มีคนขับ ไม่มีเสียงฝีพาย แต่ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฝั่งเหมือนถูกดูดเข้ามาทันใดนั้น เสียงคล้ายแตรเป่า — แต่ทุ้มต่ำและสะท้อนก้องเหมือนเปลือกหอยยักษ์ — ดังขึ้นจากทะเล“พวกมันเริ่มพิธีแล้ว!” อีธานร้อง “ถ้าเราไม่ขัดจังหวะตอนนี้ มันจะเปิดประตูขึ้นมาจริงๆ!”“ประตูที่พวกเงือกเผ่าเก่าเคยผนึกไว้?” ไอล่าขมวดคิ้วอีธานไม่ตอบ แต่วิ่งไปหยิบคันศรประดิษฐ์พิเศษจากศาลาไม้ที่เก็บอาวุธกลางหมู่บ้าน หัวลูกศรทำจากหินสีฟ้า...เป็นของที่นีร่าเคยทิ้งไว้เขาหันไปหาไอล่า “ถ้านีร่ายังอยู่ เธอคงรู้ว่าจะทำยังไง...แต่ตอนนี้เราต้องลองเสี่ยง”ไอล่าหยิบคันธนูขึ้นมา “งั้นยิงไปที่เรือนั่นเลย?”อีธานพยักหน้าฟิ้ว!ลูกศ
เปลวไฟจากคบไฟกระพริบสั่นไหวตามแรงลมทะเล ชาวบ้านกำลังช่วยกันกางแผงไม้เสริมแนวป้องกันรอบหมู่บ้าน หลายคนขุดดินทำคูน้ำหรือผูกตาข่ายลวดไว้กับทุ่นลอยตามแนวชายป่าไอล่าใช้มีดเล็กฝนปลายไม้แหลมอยู่ตรงลานหน้าบ้านอีธาน เสียงขูดเบาๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงลมหอบ“ข้างศาลนั่น มีอะไรไหม?” เธอถามขณะตัดไม้โดยไม่มองหน้าเขาอีธานเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตอบ “มีเศษเปลือกหอย...แบบที่ไม่ควรอยู่บนฝั่ง และก็มีสิ่งนี้”เขายื่นชิ้นไม้แตกหักที่มีลวดลายแกะสลักคล้ายเกล็ดปลามนุษย์ บางส่วนถูกเผาจนดำ ไอล่ารับมาแล้วขมวดคิ้ว“นี่เป็นสัญลักษณ์ของเทพแห่งสมดุล” เธอพึมพำ “แต่กลับหัว”“เหมือนมีใครเจตนาให้คำอวยพรกลับกลายเป็นคำสาป” อีธานว่าเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงฝีเท้าเบาๆ จะดังขึ้นจากแนวพุ่มไม้เด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งเข้ามาหอบหายใจ หน้าเปื้อนฝุ่นดิน“อีธาน! ข้า...ข้าฝันแปลกๆ”อีธานลุกขึ้นทันที “ฝันอะไร ไค?”เด็กชายชื่อไคส่ายหน้าแล้วพูดเสียงสั่น “มีหญิงคนหนึ่ง...ผมยาวถึงเอว ตัวสีน้ำเงินเหมือนเงาในน้ำ เธอร้องเพลงเรียกข้า บอกให้...บอกให้กลับไปที่ทะเล”ไอล่ากับอีธานสบตากันโดยไม่พูด เด็กชายยังพูดไม่หยุด“ข้าตื่นขึ้นมาเจอน้ำเปียกที่ปลา
เสียงฝีเท้าดังสวบสาบของไอล่าหยุดลงหน้าประตูไม้ผุบ้านหลังหนึ่งที่ปลายหมู่บ้าน ท่ามกลางแสงยามเย็นสีทองอ่อน เธอยืนมองแผ่นไม้ที่เคยมีตราครอบครัวตรึงอยู่ แต่ตอนนี้เหลือแค่รอยไหม้ดำสนิทเป็นรูปนิ้วมือทั้งห้า“ที่นี่มันเคย...?” ไอล่าถามเสียงเบาอีธานพยักหน้า “บ้านของฉันเอง ถูกเผาเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่พวกโจรสลัดบุกมาปล้นครั้งใหญ่”ไอล่าหยุดหายใจไปครู่หนึ่ง แล้วก้มหน้าลงช้าๆ “ขอโทษที่ถาม...”“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว” เขายิ้มบางๆอย่างฝืน ก่อนหันกลับเดินไปยังลานกลางหมู่บ้านชาวบ้านเริ่มออกมารวมตัวกันหลังเสียงระฆังเตือนภัยเงียบสงบลง เด็กๆ วิ่งเล่นกันตามซอกทางแคบที่ปูด้วยหินเรียงตัวไม่เสมอ ผู้ใหญ่ต่างจับกลุ่มกระซิบกระซาบถึงข่าวลือเรื่องเรือโจรสลัดที่มีครีบปลาแหลมยื่นออกจากใต้ท้องเรือ“พวกมันไม่ใช่มนุษย์แล้ว...” ชาวประมงแก่คนหนึ่งกระซิบ “ฉันเห็นเองกับตา! มันว่ายอยู่ใต้น้ำ แล้วขึ้นมายืนบนเรือเหมือนผีทะเล!”“บ้าแล้ว แกเมาเหล้าต่างหาก!” ชาวบ้านอีกคนแย้ง แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะตาม ทุกคนสีหน้าหนักเครียด ไม่เหมือนครั้งก่อนจู่ๆ เสียงเคร้งคร้างของโลหะก็ดังขึ้นที่ชายป่าด้านนอกหมู่บ้าน แล้วมีใครบางคนเดินโผล่ออกมาจา
กลางคืนในหมู่บ้านชาวประมงที่พักชั่วคราวของพวกอีธาน ทะเลเบื้องหน้าเงียบสงัด ลมพัดโชยกลิ่นเค็มของเกลือ อีธานนั่งอยู่นิ่ง ๆ ริมฝั่ง จุดไฟไว้ข้างตัว เสียงเปลวไม้แตกดังเบา ๆ เคล้ากับเสียงคลื่นซัดฝั่งที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ“ยังไม่หลับเหรอ?” ไอล่าเดินเข้ามาช้า ๆ ชุดของเธอเปียกน้ำเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งล้างตัวจากทะเลอีธานหันไปมองแล้วผงกหัวให้ เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อยเป็นเชิงชวนให้นั่งด้วยกัน “นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ?”“ก็ใช่…” ไอล่าพูดเสียงเบา เธอนั่งลงข้าง ๆ ห่างจากเขานิดหน่อย “วันนี้ทั้งวันมันเงียบแปลก ๆ เหมือนพายุจะมา...แต่พอเงยหน้ามองท้องฟ้า กลับไม่มีเมฆเลย”“พายุที่เราไม่เห็น… มันน่ากลัวกว่าที่เราคิดนะ” อีธานพูดช้า ๆ ดวงตาสะท้อนเปลวไฟ เขาดูนิ่งมากกว่าปกติ“พูดเหมือนนักปรัชญาเลย” ไอล่าหัวเราะนิด ๆ พลางกอดเข่าตัวเอง “นายเคยมีคนรักไหม?”คำถามนั้นทำเอาอีธานชะงักไปครู่หนึ่ง เขาไม่ตอบในทันที ไอล่าเห็นเขาเงียบไปก็ก้มหน้าหลบสายตา รีบพูดกลบเก้อ “เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล้วงอะไรส่วนตัว”“มี…” เขาตอบเบา ๆ แต่ออกมาในโทนเสียงที่อบอุ่นอย่างประหลาด “เธอชื่อ…นีร่า”ไอล่าเงียบไปชั่วครู่ หัวใจเธอรู้ส