เสียงหยดน้ำจากเพดานสูงหยดลงแอ่งน้ำดัง ติ๋ง...ติ๋ง แต่แล้วเสียงนั้นก็ถูกกลบด้วยเสียงครืดๆ เหมือนโซ่เหล็กถูกลากไปตามหิน
ดรานยกดาบขึ้นพร้อมคำรามต่ำ “พวกมันมาแล้ว” เงามืดตรงทางเข้าขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของเงือกพิทักษ์เกราะปะการัง ดวงตาสีแดงเรืองแสง และแหลมขวานหินยาวเกือบครึ่งตัว มันไม่มาเพียงตัวเดียว — เบื้องหลังยังมีอีกสองร่างโผล่ตามมาเป็นปีกซ้ายขวา คาเอลกลืนน้ำลาย “บอกข้าเถอะว่าพวกนั้นแค่มาแจกโบรชัวร์ต้อนรับ ไม่ใช่มาหั่นพวกเรา” นีร่าก้าวขึ้นหน้า พลังจากลูกแก้วที่สลายไปยังวนเวียนรอบตัวเธอ น้ำรอบเท้าเริ่มสั่นเป็นวงคลื่น “เราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนที่ทางออกจะถูกปิด” “ปิด?!” คาเอลเงยหน้ามองรอยแยกเหนือเพดานที่เริ่มมีเศษหินร่วง “เดี๋ยวนะ! ข้าพึ่งล้างผมเมื่อเช้า!” เสียงคำรามของเงือกพิทักษ์ก้องสะท้อนทั่ววิหาร พวกมันพุ่งลงน้ำแล้วโผล่ขึ้นตรงทางเดินกลางน้ำด้วยความเร็วราวกับฉลาม ดรานปัดการโจมตีของตัวแรก ดาบกระทบขวานจนประกายไฟกระจาย “นีร่า! ใช้พลังของเจ้าซะ!” เธอหลับตา มือทั้งสองกวาดขึ้น — น้ำจากแอ่งดำพุ่งขึ้นกลายเป็นผนังน้ำขวางทาง แต่แรงของพวกมันก็ทุบทะลุจนผนังแตกกระจายเป็นฝอยน้ำ คาเอลโยนหอกสั้นใส่ตัวหนึ่ง “โอ๊ย! มันไม่ทะลุเกราะเลย!” เขาหันไปบ่นกับดราน “ข้าบอกแล้วว่าต้องทำหัวหอกแบบปลายตะขอเกี่ยวหอย!” “นี่มันไม่ใช่หอย!” ดรานตะโกนสวนพร้อมถีบอีกตัวให้ถอย หนึ่งในเงือกพิทักษ์โผล่ด้านข้าง จู่โจมไปทางนีร่า แต่มือของเธอชี้ไปที่พื้น — น้ำรอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นเสาหมุน กระชากมันลอยขึ้นก่อนฟาดลงกระแทกหินจนเกราะแตกเสียงดัง เพล้ง! แสงน้ำทะเลจากดวงตาเธอสว่างขึ้นเรื่อยๆ คาเอลที่ยืนหอบอยู่ข้างหลังอดพูดไม่ได้ “พระเจ้าช่วย...ข้ากำลังเดินกับราชินีเวอร์ชันพลังเต็ม!” แต่พลังนั้นดูเหมือนจะดึงเอาส่วนหนึ่งของเธอไปทุกครั้งที่ใช้ สีหน้าของนีร่าเริ่มซีด มือสั่นเล็กน้อย “นีร่า! พอได้แล้ว” ดรานเตือน “เจ้าจะหมดแรงก่อนที่เราจะได้ออกไป” เสียงครืดๆ ดังอีกครั้ง คราวนี้จากหลังพวกเขา — พื้นน้ำกลางวิหารเริ่มแยกออก เผยให้เห็นหลุมลึกมืดมิด และบางสิ่งที่ใหญ่มากกำลังขยับอยู่ข้างใต้ คาเอลถอยหลังทันที “โอ๊ย! ไม่เอาแล้วนะ! ข้าพอแล้วกับสัตว์ทะเลที่ใหญ่กว่าบ้าน!” น้ำพุ่งสูงขึ้นเป็นเสา และจากเสานั้น เงามหึมาที่เต็มไปด้วยหนวดเรืองแสงก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา — ตำนานเล่าขานว่า มันคือ “ผู้พิพากษาแห่งหัวใจ” สิ่งมีชีวิตที่ถูกผนึกไว้ให้ตื่นขึ้นเมื่อผู้ถือสมดุลหรือราชินีปรากฏ ดรานสบตานีร่าเพียงเสี้ยววินาที “นี่คือบททดสอบสุดท้ายของเจ้า” นีร่ากำมือแน่น สูดลมหายใจลึก “ถ้าอย่างนั้น...ก็ขอให้ทะเลรู้ว่าฉันจะไม่ถอย” เงือกพิทักษ์สามตัวยังไม่ล้ม สิ่งมีชีวิตยักษ์จากหลุมลึกกำลังตื่นเต็มที่ และเพดานทางออกก็เริ่มถล่มลงมา — ทั้งหมดเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน คาเอลสบถ “โอเค…นี่มันจะเป็นวันตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรือไม่ก็เป็นตำนานที่เล่าขานไปอีกพันปี!” เสียงระเบิดของน้ำและหินถล่มผสมกันเป็นความโกลาหลในโพรงหินใต้ดิน เงือกพิทักษ์สามตัวยังคงโถมเข้ามาอย่างไม่ลดละ ขณะที่ “ผู้พิพากษาแห่งหัวใจ” — ร่างมหึมาที่หนวดเรืองแสงพันกันราวเขาวงกต กำลังตื่นเต็มที่ หนวดเส้นหนึ่งฟาดลงตรงที่พวกเขาเพิ่งยืนเมื่อวินาทีที่แล้ว น้ำกระจายซัดกระแทกผนังวิหารจนแตกเป็นรอยร้าว “โอ้ย! ข้าจะไม่เหลือกระดูกซี่ตรงถ้าสิ่งนั้นฟาดโดน!” คาเอลตะโกน ทั้งที่ต้องหมุนตัวหลบอีกหนวดที่กวาดผ่านเหนือหัว ดรานฟันใส่เงือกพิทักษ์ที่กระโจนมาจากด้านซ้าย เสียงดาบกระแทกกับเกราะปะการังดัง แกร๊ง! แต่ก็เพียงสร้างรอยร้าวบางๆ “คาเอล! เบี่ยงพวกมันไปทางขวา!” “เบี่ยง? เจ้าพูดเหมือนข้าคืออาหารล่อ!” คาเอลแหว แต่ก็วิ่งซิกแซ็กล่อสายตาของเงือกอีกตัวให้หันตามจริงๆ นีร่ายืนกลางน้ำที่ปั่นป่วน มือยกขึ้นเหนือศีรษะ — น้ำรอบๆ รวมตัวเป็นหอกน้ำแข็งยาวหลายเมตร เธอฟาดมันลงใส่เกราะของเงือกพิทักษ์ตัวหนึ่ง เสียงแตก เปรี้ยง! ดังลั่น ก่อนมันจะล้มกระแทกน้ำอย่างแรง แต่ยังไม่ทันดีใจ หนวดเรืองแสงเส้นหนาพันรอบเอวนีราดึงลงไปใต้น้ำทันที “นีร่า!!” ดรานพุ่งตามลงไป ดาบในมือเปล่งแสงสีฟ้าขณะฟันหนวดนั้นจนขาด เลือดสีฟ้าเรืองแสงพุ่งกระจายเต็มผืนน้ำ ความร้อนจากเลือดมันแผ่ซ่านจนรู้สึกได้แม้อยู่ในน้ำเย็น พวกเขาโผล่ขึ้นมาหายใจพร้อมกัน คาเอลตะโกน “ฟังนะ! ถ้าเราจะรอด เราต้องใช้เจ้าสัตว์ยักษ์นี่ทำลายทางออกให้เปิดอีกครั้ง!” ดรานหันขวับ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!? มันจะฆ่าเราก่อน” “ถ้าทางออกปิดสนิท เราก็ตายอยู่ดี!” คาเอลสวน น้ำเสียงเครียดแต่ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นีร่ากัดฟัน “เขาพูดถูก…แต่เราต้องทำให้มันโจมตีเพดาน ไม่ใช่พวกเรา” หนวดอีกหลายเส้นฟาดลงมา คาเอลพุ่งหลบแล้วตะโกนเย้ย “เฮ้! ตาเรืองแสง! ทางนี้! มากัดข้าสิ!” เขาโยนหอกสั้นปักเข้าไปในเนื้อหนวด เสียงคำรามใต้น้ำดังกึกก้อง สัตว์ยักษ์โกรธจัด มันพุ่งหนวดขึ้นสูงและฟาดลงใส่เพดานหินเหนือหัว แรงปะทะทำให้เศษหินใหญ่ตกลงมาหลายก้อน น้ำทะเลจากรอยแยกด้านบนเริ่มไหลทะลักเข้ามาอย่างรุนแรง ดรานเห็นช่องโอกาส “นีร่า! ตอนนี้!” เธอรวบรวมพลังทั้งหมด คลื่นน้ำรอบตัวหมุนวนกลายเป็นกระแสยักษ์ ผลักร่างเงือกพิทักษ์สองตัวที่เหลือกระเด็นไปกระแทกกับเสาหินจนหักโค่น อีกหนวดของสัตว์ยักษ์ฟาดพลาดแล้วพันเสาโบราณกลางวิหาร ดึงจนมันโค่นและถล่มใส่เพดาน เสียงแตกดังลั่นทั่วโพรง แสงจากรอยแตกบนเพดานเริ่มส่องลงมา — ทางออกกำลังเปิด! แต่แรงน้ำวนจากการถล่มทำให้กระแสน้ำกลืนพวกเขาเข้าไปใกล้สัตว์ยักษ์อีกครั้ง คาเอลถูกดูดเข้าไปจนแทบชนกับตาของมันที่เรืองแสงเหมือนท้องฟ้ายามค่ำ “โอ้ยย! ข้าไม่อยากตายในลมหายใจเหม็นปลาหมึก!” เขาร้องลั่น ก่อนดรานจะพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อดึงออกไปได้ทัน นีร่าใช้พลังสุดท้าย ผลักร่างของทั้งสามถูกกระแสน้ำยกขึ้นไปทางรอยแตกด้านบน ขณะที่สัตว์ยักษ์คำรามตามหลัง น้ำทะเลไหลทะลักเข้าเติมโพรงอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่กี่วินาที พวกเขาก็พุ่งทะลุผิวน้ำสู่ทะเลเปิด แสงจันทร์เต็มดวงต้อนรับอย่างเยือกเย็น หอบหายใจแรงราวกับเพิ่งหนีจากฝันร้าย คาเอลนอนแผ่บนผืนน้ำ “ถ้าใครถาม ข้าจะบอกว่านี่เป็นแผนของข้าตั้งแต่แรก…และไม่พูดถึงกลิ่นปลาหมึกอีกเลย” นีร่ามองดวงจันทร์ พลางแตะที่อกตนเอง “นี่แค่จุดเริ่ม…สงครามของทะเลกำลังจะมา” ดรานพยักหน้า ดวงตาเคร่งขรึม “และครั้งนี้…เจ้าคือราชินีที่มันต้องการ” เสียงคลื่นซัดฝั่งไกลๆ แทนเสียงตีกลอง — สัญญาณว่าพายุครั้งใหญ่กำลังก่อตัวขึ้นทั้งในน้ำและบนบกน้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้