น้ำเย็นจัดกระแทกใบหน้า ฟลอเรสร่วงลงสู่ผิวน้ำ แต่ยังจับดาบแน่น หนวดของปลาหมึกยักษ์รัดเขาเหมือนงูกินเหยื่อ ทุกแรงกดทำให้กระดูกเขาร้าว ฟันแทบขบกันไม่อยู่
“ฟลอเรส!!” อีธานตะโกนสุดเสียง แต่เสียงถูกกลืนไปกับพายุ หนวดดึงฟลอเรสขึ้นกลางอากาศ—และโยนตรงเข้าหาปากมหึมา ฟลอเรสไม่มีเวลาแม้จะคิด เขาใช้แรงเฮือกสุดท้าย ฟันลงบนเนื้อข้างปาก เสียงดาบเฉือนผ่านเนื้อสดดัง “ฉวับ!” เลือดสีเข้มพุ่งออกมาเป็นสาย สัตว์ประหลาดคำรามก้องจนทะเลสะเทือน มันปล่อยเขาหลุด แต่แรงสะบัดทำให้ฟลอเรสกระแทกน้ำจมลึกลงไปด้านล่าง ที่นั่น… เงามืดมหึมาของตัวมันยังล้อมรอบอยู่ บนเรือ อีธานกัดฟันตัดสินใจ “ลากมันขึ้นมา! ใช้ตะขอเกี่ยวหนวดแล้วดึง!” ลูกเรือสามสี่คนปักตะขอเหล็กลงบนหนวดข้างหนึ่ง พวกเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีดึงกลับมา แต่ปลาหมึกยักษ์สะบัดอย่างบ้าคลั่ง น้ำสาดสูงราวกับคลื่นสึนามิ ทันใดนั้น หนวดอีกเส้นพุ่งมาเกี่ยวรอบเอวของชายคนหนึ่งแล้วดึงลงทะเล หายวับในความมืด ไม่มีแม้แต่เสียงน้ำกระจาย—แค่ความว่างเปล่าและเลือดที่ค่อยๆ ลอยขึ้นผิวน้ำ “มันจะฆ่าทีละคน…” เอเรนพูดเสียงสั่น กำหอกแน่นจนข้อขาว ฟลอเรสโผล่ขึ้นจากน้ำห่างออกไป เขาหอบหายใจแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความดุราวสัตว์ป่า “พวกนาย! ยิงธนูเพลิงที่ตาของมัน!” ลูกเรือจุดคบเพลิงแล้วติดหัวลูกธนู พายุก็ยังซัดไม่หยุด แต่ทุกคนรู้—ถ้าไม่ทำตอนนี้ พวกเขาจะตายหมด ธนูเพลิงพุ่งผ่านสายฝน แหวกอากาศไปปักตรงดวงตาดำสนิทด้านขวา เสียงกรีดร้องของปลาหมึกยักษ์ดังลั่น ร่างมันบิดเกลียวลงไปในทะเล สร้างคลื่นวนมหึมาที่ดึงทุกสิ่งเข้าหาก้นสมุทร “เกาะให้แน่น!!!” อีธานตะโกน แต่เรือทั้งลำเริ่มหมุนคว้าง… เรือซีฟินิกซ์หมุนวนรอบกระแสน้ำยักษ์ เสียงไม้กระดานเสียดสีกันดังลั่นเหมือนจะฉีกขาด หนวดของมันโผล่ขึ้นรอบเรือราวกับกำแพงมีชีวิต “อีธาน! มันจะหักเรือเป็นสองท่อน!” เอเรนตะโกนฝ่าลม อีธานสบตาฟลอเรสที่เปียกโชกเลือดกับน้ำทะเล “เรามีโอกาสเดียว—ระเบิดน้ำมันในท้องเรือ แล้วดึงมันเข้ามาใกล้ที่สุด” ฟลอเรสพยักหน้า ไม่มีเวลาแม้แต่จะลังเล ลูกเรือรีบแบกถังน้ำมันลากขึ้นหัวเรือ เสียงโลหะกระทบกันดัง “กึง กึง” ท่ามกลางพายุ ปลาหมึกยักษ์โผล่ขึ้นจากน้ำอีกครั้ง ดวงตาด้านขวาที่ถูกยิงธนุเพลิงยังคุกรุ่นควัน มันคำรามด้วยความเกลียดชัง หนวดพุ่งเข้ารัดตัวเรือแน่นจนเสาเอียง “ใกล้พอแล้ว!” อีธานจุดคบเพลิงยาว ฟลอเรสลากถังน้ำมันไปขอบเรือแล้วผลักตกลงบนหัวสัตว์ประหลาด น้ำมันแตกกระจายทั่วลำตัวมัน ฟลอเรสกระโดดขึ้นหนวด ใช้ดาบเสียบตะขอเหล็กลงไปตรงแผลเก่า ขณะที่อีธานเหวี่ยงคบเพลิงลงตรงจุดนั้น เปรี้ยง!!! เปลวไฟลุกโชนผ่านฝนราวกับสัตว์ร้ายเพลิงในตำนาน เสียงระเบิดสะเทือนผืนน้ำ ร่างปลาหมึกยักษ์ดิ้นกระแทกคลื่นจนเรือเกือบพลิกคว่ำ เลือดและเศษเนื้อกระเด็นปะปนไปกับน้ำมันที่ยังลุกไหม้ มันปล่อยหนวดทั้งหมด ร่างยักษ์ค่อยๆ จมลงสู่ความมืดใต้ทะเล ทิ้งเพียงคราบเลือดและกลิ่นคาวที่ลอยคลุ้งในอากาศ ทุกคนหอบหายใจอย่างหมดแรง บางคนร้องไห้เงียบๆ กับที่ว่างที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อนร่วมเรือยืนอยู่ อีธานยืนมองผืนน้ำแล้วพูดเสียงต่ำ “เรารอด… แต่ทะเลเอาค่าตอบแทนของมันไปแล้ว” ฟลอเรสเงยหน้ามองพายุที่เริ่มซาลง ลมหอบสุดท้ายของเขามีทั้งความโล่งและความรู้ว่า—สัตว์ร้ายในท้องทะเลนี้ อาจไม่ใช่ตัวเดียว คลื่นเริ่มสงบลง พายุถอยห่าง เหลือเพียงเรือซีฟินิกซ์ที่ลอยเอื่อยบนผืนน้ำที่ปนเลือดและน้ำมัน กลิ่นคาวยังฟุ้งไปทั่ว อีธานยืนมองเส้นขอบฟ้าที่เริ่มสว่างจากแสงรุ่งเช้า ราวกับทุกอย่างจบแล้ว แต่… “ปึก…ปึก…ปึก…” เสียงบางอย่างกระแทกใต้ท้องเรือเป็นจังหวะ เอเรนขมวดคิ้ว “ได้ยินไหม? เหมือนมีอะไร… เคาะอยู่” ฟลอเรสยังไม่ทันตอบ ก็มีแรงกระแทกมหาศาลจากด้านล่าง เรือทั้งลำเด้งขึ้น น้ำพุ่งกระจายสูงเหมือนน้ำพุในวัง เสียงแตกของไม้ดังสนั่น เศษกระดานลอยกลางอากาศ ก่อนที่บางสิ่งมหึมาจะพุ่งขึ้นมาแทนที่—เป็นฟันเรียงซ้อนกันหลายชั้น คล้ายประตูเหล็กที่ไม่มีทางปิด ดวงตาสีเหลืองทองจ้องตรงมายังเรือ “พระเจ้า… มันไม่ใช่ปลาหมึก!” อีธานตะโกน สิ่งนั้นคือ เมกาโลดอน—ฉลามยักษ์ในตำนาน ตัวใหญ่กว่าทั้งเรือ ซีฟินิกซ์ในเงามันเหมือนของเล่น มันโผล่ขึ้นพร้อมกับฟาดหางใส่ น้ำกระแทกแรงจนลูกเรือหลายคนถูกซัดลงทะเลทันที เสียงกรีดร้องปนกับเสียงคลื่นและไม้แตกหัก ฟลอเรสคว้าดาบ เตรียมจะพุ่งไปช่วย แต่ทันใดนั้นเอง ใต้ผืนน้ำกลับมีเงาอีกเงาหนึ่งใหญ่ไม่แพ้กัน—เป็นหนวด… แต่หนวดนี้ไม่ใช่ของตัวที่พวกเขาฆ่าไป เพราะมีแผลเป็นรูปกงจักรบนเนื้อและดวงตาสีขาวโพลน “อย่าบอกนะว่า…” เอเรนเสียงสั่น “มันมีมากกว่าหนึ่ง” ฉลามยักษ์และปลาหมึกยักษ์ตัวใหม่พุ่งเข้าหากันกลางทะเล คลื่นซัดเรือโยกเหมือนของเล่นไม้ในอ่างน้ำ สองสัตว์ร้ายเข้าปะทะกันด้วยเสียงคำรามและแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ทุกคนแทบหลุดจากเรือ อีธานหันไปตะโกน “เราติดอยู่ตรงกลาง!” ฟลอเรสกัดฟัน “งั้นเราต้องหาทางออก… ก่อนที่พวกมันจะตัดสินว่าเราเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย!” คลื่นกระแทกเรือซีฟินิกซ์ราวกับมือยักษ์คอยเขย่า ฉลามยักษ์กระแทกเข้าที่กลางลำปลาหมึกยักษ์ หนวดมหึมาพันรอบลำตัวมันแน่น เลือดทะลักออกมาสีแดงสดใต้ผืนน้ำ แต่เมกาโลดอนกลับงับหนวดขาดในทีเดียว เสียงดัง “ฉับ!” จนทุกคนบนเรือสะดุ้ง “จับให้แน่น! อย่าให้ใครตกน้ำ!” อีธานตะโกนแข่งกับเสียงคำรามและคลื่น น้ำสาดเข้ามาบนเรือทุกวินาที ฟลอเรสกวาดตามองแล้วเห็นช่องว่างเล็กๆ ด้านทิศเหนือ คลื่นที่เกิดจากการสู้กันของสองสัตว์ยักษ์ดันน้ำให้เป็นทางตรงชั่วคราว “อีธาน! นั่นคือทางออก!” ฟลอเรสชี้ไปข้างหน้า “ถ้าเราผ่านไปทัน เราอาจรอด… แต่ถ้าพลาด เราจะโดนพวกมันหนีบเป็นเศษไม้” อีธานกัดฟัน แล้วหันไปสั่งลูกเรือ “ทุกคน! เอาแรงที่เหลือทั้งหมดพายไปทางนั้น!” เรือเริ่มเคลื่อน พุ่งฝ่าคลื่นสูงเหมือนกำแพงน้ำ แต่ทันใดนั้น หนวดของปลาหมึกตัวใหม่พุ่งขึ้นจากน้ำมาขวางหน้า แส้เนื้อหนาทั้งเส้นเหวี่ยงใส่หัวเรือจนเสาเกือบหัก เอเรนคว้าหอกโลหะแล้วปักเข้าหนวดเต็มแรง เสียงเนื้อฉีกดังสนั่น เลือดสีเข้มพุ่งใส่หน้าเขา แต่ก็เปิดช่องว่างพอให้เรือพุ่งผ่านได้ ข้างหลัง—เมกาโลดอนกระโจนขึ้นพ้นน้ำทั้งตัว ฟันขนาดเท่าแขนงับเข้าที่กลางลำปลาหมึก เลือดระเบิดเป็นม่านสีแดงทั่วผิวน้ำ สัตว์สองตัวยังต่อสู้ราวกับโลกทั้งใบมีแค่พวกมัน ซีฟินิกซ์พุ่งฝ่าคลื่นออกจากวงสังหาร เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดค่อยๆ จางลง ท้องฟ้าเหนือหัวเริ่มเปิดออกให้เห็นแสงแดดแรกของวัน ทุกคนทรุดตัวลงบนพื้นเรือด้วยความอ่อนแรง อีธานมองกลับไปยังจุดที่เพิ่งหนีมา ดวงตาเต็มไปด้วยทั้งความโล่งใจและความหวาดกลัว ฟลอเรสพูดเสียงต่ำ “วันนี้เราแค่โชคดี… แต่ทะเลยังมีเรื่องที่เราไม่รู้… เยอะกว่าที่คิด”น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้