เสียงลมทะเลยังคงพัดแรงอย่างไม่ลดละ คลื่นทะเลปั่นป่วนซัดสาดจนลำเรือซีฟินิกซ์โยกไปมาเหมือนใบไม้ลอยน้ำ แม้พายุจะเริ่มซาแต่ความหวาดกลัวยังคงเกาะกุมใจของทุกคน
ลูกเรือบางคนทรุดลงนั่งกับพื้นเรือ หอบหายใจแรง บางคนขมวดคิ้วนิ่งเงียบ น้ำตายังคลอเบ้าตาให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและความสูญเสีย เอเรนยังคงจับหอกแน่น ร่างกายเขาสั่นนิดๆ จากทั้งความหนาวและความตื่นกลัว “ข้าแทบไม่อยากเชื่อเลย ว่าเราจะรอดมาได้” อีธานเดินเข้าไปใกล้ ฟลอเรส เห็นแผลสดที่แขนขวาของเขา เลือดยังไหลซึมเป็นทาง “เจ้าบาดเจ็บหนักแค่ไหน?” ฟลอเรสกัดฟัน พยายามยิ้มให้เล็กน้อย “แผลนี้ไม่ลึกนัก แต่เจ็บปวดพอสมควร ถ้าพวกมันยังไล่ล่าเราอยู่...เราคงไม่รอดอีกแน่” “เจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไรต่อไป?” เอเรนถามเสียงต่ำ เขายังไม่อยากยอมแพ้ ฟลอเรสเหลือบมองทะเลที่เริ่มสงบลง แต่ความมืดใต้ผิวน้ำยังคงทำให้หัวใจสั่น “ต้องหาที่หลบภัย หาที่ปลอดภัยซ่อนเร้นให้ได้” อีธานพยักหน้า “ใช่…ข้าคิดเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ เรือของเราสภาพไม่ดีนัก จำเป็นต้องซ่อมแซมเสียก่อน หากเรือพัง เรายิ่งไม่มีหวัง” “ข้าและเจ้าจะช่วยกันทำให้ดีที่สุด” ฟลอเรสพูดอย่างมั่นใจ “ถึงร่างกายจะอ่อนล้า แต่ใจเรายังไม่หมดไฟ” สายตาของเอเรนจ้องมองฟลอเรสด้วยความเคารพ “เจ้าเป็นหัวใจของพวกเรา ข้าเชื่อว่าเจ้ายังจะนำพาเราผ่านพ้นคืนนี้ไปได้” ฟลอเรสบอกเสียงเบา “วันนี้เรารอดมาได้ก็เพราะโชคช่วย แต่ข้ากลัว…ว่าสิ่งที่รอเราอยู่ในทะเลกว้างนี้ จะร้ายกาจยิ่งกว่านี้” เอเรนถอนหายใจ “ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าเห็นแผลเป็นรูปกงจักรบนหนวดตัวใหม่ที่โผล่มา มันเหมือนจะมีเจตนา…บางอย่างที่เราไม่เข้าใจ” อีธานก้าวไปยังหัวเรือ มือแตะไม้ที่ถูกคลื่นซัดจนร้าว “ข้ากลัวว่าพายุครั้งนี้ไม่ใช่แค่ธรรมชาติ แต่เป็นสัญญาณของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้” ฟลอเรสมองขึ้นท้องฟ้า แสงแดดแรกค่อยๆ สาดส่องผ่านเมฆบางๆ ราวกับบอกว่า วันใหม่เริ่มต้นขึ้น แต่ในใจทุกคนยังคงหนักอึ้ง “เจ้าคิดว่าเราควรจะอยู่ที่นี่ หรือพยายามแล่นเรือไปให้ไกลจากที่นี่?” ฟลอเรสถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเห็นว่าพวกเราควรรีบซ่อมเรือ แล้วรีบออกเดินทางไปให้ไกลจากที่นี่ก่อน” อีธานตอบ “เราไม่รู้ว่ามีศัตรูตัวไหนซ่อนอยู่ในทะเลนี้อีกบ้าง” “ใช่…ข้าจะช่วยเจ้าทำให้เรือดีขึ้น” ฟลอเรสพูด พลางมองดูเพื่อนร่วมเรือที่ยังพยายามตั้งสติ เอเรนถอนหายใจ “คืนนี้ พวกเราสูญเสียเพื่อนร่วมเรือไปมากเหลือเกิน…ข้าไม่อยากเห็นใครต้องจากไปอีก” ฟลอเรสพยักหน้า “ข้าก็เช่นกัน แต่เราต้องรอด…เพื่อพวกเขา เพื่ออนาคต” เสียงคลื่นกระทบเรือยังดังเบาๆ ลมทะเลพัดอ่อนลง ทำให้บรรยากาศในลำเรือเริ่มสงบลงเล็กน้อย ลูกเรือทุกคนลงมือซ่อมแซมไม้ที่ร้าว และปะเชื้อไฟแผลไปพลาง “เอ้ย! นี่ไม้แผ่นนี้เหมือนจะหลุดออกอีกนะ” เอเรนก้มลงดึงไม้ที่หลุดจากกรอบเรือแล้วตะโกนบอก “พวกเจ้าช่วยกันยึดไว้นะ เดี๋ยวเรือจะจมกลางทะเลซะก่อน” ฟลอเรสกวาดตามองลูกเรือ ก่อนจะยกดาบขึ้นวางไว้ข้างตัว แล้วใช้ผ้าขาวเช็ดเลือดออกจากแผลที่แขน “เอางั้น เราแบ่งงานกันทำดีไหม?” อีธานพยักหน้า “ข้ากับเอเรนดูแลซ่อมโครงเรือ ส่วนเจ้าช่วยประสานงานลูกเรือกับจัดการเครื่องมือ” “เข้าใจแล้ว” ฟลอเรสตอบเสียงหนักแน่น ในขณะที่ทุกคนลงมือทำงาน บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายขึ้นบ้าง แม้จะเหนื่อยล้า แต่ทุกคนยังมีรอยยิ้มแลกเปลี่ยนกัน “ฟลอเรส” หนึ่งในลูกเรือสาวส่งเสียงเบาๆ “เจ้าคงไม่คิดว่าเราจะเจอสถานการณ์แบบนี้ได้จริงๆ ใช่ไหม?” ฟลอเรสถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้...แต่เราต้องอดทน” เอเรนแอบหัวเราะ “เอาเถอะ อย่างน้อยคืนนี้พวกเรายังไม่กลายเป็นอาหารทะเล” ทุกคนหัวเราะออกมาเบาๆ ท่ามกลางเสียงลมทะเลที่พัดผ่านเรือ ความเหนื่อยล้าเริ่มถูกแทนที่ด้วยความหวังเล็กๆ “แต่ฟังนะ” ฟลอเรสพูดต่อ “พรุ่งนี้เราต้องพร้อม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม” อีธานมองไปรอบๆ เรือ “เจ้าคือหัวใจของเรา ข้าเชื่อว่าเจ้ายังจะพาเราผ่านมันไปได้” ฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้นทีละนิด แสงแดดอ่อนๆ ของรุ่งเช้าสาดผ่านผืนทะเลที่เริ่มสงบลง ลูกเรือซีฟินิกซ์ยังคงขะมักเขม้นกับการซ่อมแซมเรือ บางคนยกไม้บางส่วนขึ้นประสานกับโครงเรือ บางคนใช้เชือกมัดยึดไว้แน่น บางคนช่วยกันอุดรูรั่วที่น้ำทะเลซึมเข้ามา ฟลอเรสยืนพิงเสารองหลัง เรียกแรงลมทะเลให้ผ่อนคลายความเจ็บปวดที่แขน เขามองไปรอบๆ เห็นสายตาของลูกเรือที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยแต่ไม่ยอมแพ้ “ข้าจะลงไปตรวจใต้ท้องเรือกับเอเรนนะ” ฟลอเรสพูดขึ้น “ถ้าพบตรงไหนที่รั่วหรือหลวม เราจะซ่อมให้ทันที” เอเรนพยักหน้าแล้วเก็บหอกเข้าที่ “ตามข้าไปได้เลย เจ้าอย่าร่วงน้ำอีกล่ะ” ฟลอเรสยิ้มแห้งๆ “จะพยายาม” ทั้งสองก้าวลงไปยังด้านล่างของเรือ ท้องเรือที่เต็มไปด้วยความชื้นและกลิ่นคาวเลือดจากการต่อสู้เมื่อคืน ฟลอเรสจับไม้ที่ผุกร่อนแล้วเปลี่ยนตำแหน่งกับเอเรนที่ใช้เครื่องมือเคาะดูความมั่นคงของโครงสร้าง “ตรงนี้ไม่ดีนะ” เอเรนบอก “ไม้ผุเกินไป ถ้าไม่เปลี่ยนเรืออาจจมกลางทะเลได้” “เราต้องหาทางหาไม้ดีๆ มาเปลี่ยนให้เร็วที่สุด” ฟลอเรสตอบ “เราต้องไม่ปล่อยให้เรือลำนี้ตายกลางทะเล” ในขณะที่สองคนทำงานกันอย่างทุ่มเท เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากบนเรือ “ฟลอเรส ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ฟัง!” เสียงสาวน้อยลูกเรือชื่อมาเรีย พูดพร้อมกับยกขวดน้ำหวานขึ้นมาให้ ฟลอเรสเดินขึ้นมาบนเรือ รับขวดน้ำพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ค่อยได้หัวเราะมาหลายคืนแล้ว ขอบใจมาก” “พวกเราทุกคนต้องการหัวใจแข็งแกร่งอย่างเจ้า” มาเรียบอก “ถึงแม้ทะเลจะโหดร้าย พวกเราก็จะยืนหยัดไปด้วยกัน” ฟลอเรสสบตากับมาเรียแล้วพูด “ข้าเชื่อในคำพูดของเจ้า เราจะต้องฝ่าฟันมันไปด้วยกัน” บรรยากาศบนเรือเริ่มเต็มไปด้วยพลังและความหวัง ทั้งๆ ที่บาดแผลและความกลัวยังคงหลงเหลืออยู่ในใจทุกคน “พรุ่งนี้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นอีกครั้ง เราจะออกเดินทางใหม่” ฟลอเรสประกาศ “และข้าสัญญาว่าจะปกป้องทุกคน จนกว่าจะถึงฝั่งที่ปลอดภัย” เสียงคำตอบรับจากลูกเรือก้องกังวานไปทั่วลำเรือ เหมือนกับว่า แม้พายุจะผ่านพ้นไป แต่ใจของพวกเขาจะไม่เคยพ่ายแพ้น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้