เสียงร้องไห้แหลมเล็กของทารกตัดผ่านเสียงคลื่นราวกับแสงสว่างที่ฝ่าความมืดมิดออกมาได้ ทุกคนบนเรือเฮออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย แม้ลมแรงจะยังโหมกระหน่ำ แต่รอยยิ้มและน้ำตาก็ผสมปนกันอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
“เป็นเด็กผู้หญิง!” ชายวัยกลางคนที่ช่วยทำคลอดตะโกนบอก พลางยกทารกตัวน้อยห่อผ้าอย่างทะนุถนอม แสงจากโคมไฟเรือสะท้อนหยดน้ำบนแก้มเล็กของเธอราวกับเม็ดมุก เอ็มม่าทรุดตัวลงพิงสามี หายใจแรงด้วยความเหนื่อยล้าแต่แววตาสั่นระริกเต็มไปด้วยความโล่งใจ “เธอ… เธอรอดแล้วใช่ไหม” “ทั้งแม่ทั้งลูกปลอดภัย” นักรบตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปตะโกนสั่งให้คนควบเรือประคองลำไปยังเขตปลอดภัยอย่างเร่งด่วน ท่ามกลางความดีใจนั้น คลื่นลูกใหม่ก็ตั้งตัวยกสูงเหนือเส้นขอบฟ้า แผ่นน้ำสีดำอมเขียวปกคลุมราวกับภูเขากำลังเคลื่อนเข้ามา ฟลอเรสที่มองจากเรือซีฟินิกซ์เห็นชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่แค่พายุธรรมดา—มีบางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่ใต้คลื่นนั้น “ไม่ใช่ลมธรรมชาติ… มันกำลังถูกใครบางคนควบคุม” เขาพึมพำ ดวงตาคมกริบหันไปทางท้องทะเลสีมรกตที่เมื่อครู่ยังเรืองแสง อีธานโผล่ขึ้นมาข้างเขา “ฝ่าพระบาท เราต้องเคลื่อนเรือออกห่าง มิฉะนั้นจะโดนซัดเข้าเต็มแรง!” แต่ฟลอเรสกลับยกดาบขึ้นสูง “ไม่… ข้าจะยืนหยัดที่นี่ หากเราหนี เมืองจะไม่มีเกราะป้องกัน!” ทันใดนั้น เสียงคำรามจากใต้ทะเลก็ดังสะท้อนราวกับเสียงของสัตว์ร้ายโบราณ น้ำรอบๆ อ่าวเริ่มหมุนวนเป็นวงกว้าง เรือเล็กหลายลำถูกกระชากให้ส่ายไปมาอย่างรุนแรง บนเรือของเอ็มม่า สามีของเธอกอดภรรยาและลูกไว้แน่น สายตาหวาดหวั่นจ้องไปยังความมืดที่คืบคลานจากขอบฟ้า “เรากำลังถูกดึงเข้าไปกลางน้ำวน!” มีคนตะโกนขึ้น ฝีพายพยายามเร่งพายสวน แต่คลื่นก็แรงเกินไป ฟลอเรสเห็นภาพนั้นแล้วตะโกนออกคำสั่ง “ซีฟินิกซ์! หันหัวเรือไปดึงพวกเขาออกมา! ใช้ทุกแรงที่มี!” ฝีพายและนักรบเรือซีฟินิกซ์กระโดดเข้าประจำตำแหน่ง สายโซ่เหล็กถูกปล่อยลงน้ำ เสียงเครื่องรอกหมุนดังเอี๊ยดอ๊าด ท่ามกลางลมที่แรงจนผ้าคลุมและเส้นผมของทุกคนสะบัดฟาดหน้า เมื่อเชือกเกี่ยวกับเรือเล็กได้สำเร็จ เสียงเชียร์ก็ดังขึ้น แต่ยังไม่ทันดึงให้พ้นวงน้ำวน สิ่งที่อยู่ใต้คลื่นก็โผล่ขึ้น หมึกยักษ์…” อีธานพูดแทบไม่ออก ฟลอเรสบีบดาบแน่น ความเย็นเฉียบไหลผ่านสันหลัง แต่ในดวงตากลับมีเพลิงแห่งการต่อสู้ลุกโชน “ถ้าเจ้ามาเพื่อกลืนอควาเรียส… ก็ต้องเหยียบผ่านศพข้าไปก่อน!” เสียงกลองเตือนภัยดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อเตรียมอพยพ แต่เพื่อประกาศว่าการต่อสู้ได้เริ่มต้นแล้ว คลื่นยักษ์โหมกระหน่ำกลางทะเลมืดมิด เสียงคำรามของพายุผสมกับเสียงคลื่นปะทะหัวเรือดังสนั่น สายฟ้าแลบสว่างวาบเผยให้เห็นเงามหึมาที่เคลื่อนไหวอยู่ใต้ผิวน้ำ เงานั้นค่อยๆ พุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ—หนวดขนาดมหึมากว้างเท่าต้นไม้ใหญ่โผล่ขึ้นมา ฟาดลงสู่ทะเลอย่างรุนแรง น้ำกระเด็นสูงราวกำแพงทำให้เรือเล็กของเอ็มม่าสั่นสะเทือนราวจะพัง หนวดอีกหลายเส้นโผล่ตามขึ้นมา ล้อมรอบเรือเล็กไว้เหมือนกับกรงขังเหล็กที่ไม่มีทางหนีออกได้ ดวงตากลมโตสีดำสนิทของปลาหมึกยักษ์โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำ จ้องมองเหยื่ออย่างไร้ความปรานี บนเรือซีฟินิกซ์ อีธานจับขอบหัวเรือแน่น สั่งลูกเรือให้เร่งความเร็วเข้าประชิดเพื่อช่วยเหลือ “อย่าให้มันได้ดึงเรือเล็กลงน้ำ!” เสียงหนวดเสียดสีกับไม้เรือดังครืดคราด ราวกับมันกำลังทดลองความแข็งแรงของเรือก่อนจะลงมือทำลายจริง ฟลอเรสชักดาบยาว เงาของเขาโดดเด่นตัดกับแสงฟ้าแลบ “เป้าหมายคือหนวดที่รัดเรือ—ฟันให้ขาดก่อนที่ทุกอย่างจะจบ” ปลาหมึกยักษ์คำรามต่ำ เสียงก้องลึกผ่านน้ำจนสะเทือนมาถึงฝ่าเท้า คลื่นน้ำวนเริ่มก่อตัวรอบเรือเล็ก ก้อนเมฆดำด้านบนโหมกดบรรยากาศให้หนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม ในห้วงเวลานั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีคำพูดปลอบใจ—มีเพียงลมหายใจที่สั้นและเร็วของทุกคน กับสายตาที่จับจ้องไปยังสัตว์ประหลาดเบื้องหน้า เสียงคำรามของพายุกลืนทุกอย่างรอบข้าง ฟลอเรสกระโจนไปบนหัวเรือซีฟินิกซ์ ใช้ดาบฟันหนวดที่รัดเรือเล็ก เสียงเนื้อถูกเฉือนแหวกผ่านความมืด ปลาหมึกยักษ์สะบัดหนวดหนี ทำให้น้ำกระเด็นใส่ทุกคนราวกับฝนถาโถม อีธานสั่งเสียงแข็ง “พุ่งเข้าไปอีก! อย่าให้มันได้จังหวะ!” ลูกเรือฝีพายเร่งแรงจนไม้พายแทบหัก เรือกระแทกคลื่นอย่างรุนแรง หนวดอีกเส้นพุ่งโอบเข้ามาหมายรัดเรือใหญ่แทน ชายหนุ่มนักรบคนหนึ่งไม่รอช้า กระโดดขึ้นไปบนหนวด ใช้หอกแทงซ้ำลงไป แต่ปลาหมึกยักษ์สะบัดแรงมหาศาล ชายคนนั้นถูกเหวี่ยงขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะตกลงใกล้ปากมหึมา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินจะช่วยได้—ปากของมันปิดสนิท เสียงกระดูกถูกบดดังลั่นในหัวใจของทุกคน เลือดสีเข้มกระจายออกมากับละอองน้ำทะเล ความเงียบเพียงชั่วขณะถูกแทนที่ด้วยเสียงตะโกนสั่งของอีธาน “ทุกคน! ตั้งแนว! ตัดหนวดให้มากที่สุด อย่าให้ใครถูกลากไปอีก!” หนวดอีกเส้นพุ่งมาใกล้ ฟลอเรสใช้ดาบตัดจนขาด น้ำทะเลสาดกระเซ็นผสมเลือดปลาหมึก กลิ่นคาวเข้มลอยปะปนกับไอเกลือในอากาศ พายุยังคงโหม คลื่นยังซัดไม่หยุด และสัตว์ประหลาดยังไม่ยอมปล่อยเหยื่อ—ทุกดวงตารู้แล้วว่านี่ไม่ใช่เพียงการต่อสู้เพื่อเอาชนะ แต่มันคือการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตรอดจากกลางนรกกลางทะเล เสียงฟ้าผ่าฉีกทะลุความมืด ฟลอเรสหอบหายใจ เหงื่อและน้ำทะเลไหลปนกันบนใบหน้า เขามองหนวดที่ขาดดิ้นพล่านอยู่บนผิวน้ำ แต่แทนที่มันจะอ่อนแรง กลับยิ่งคลุ้มคลั่งมากขึ้น “มันโกรธแล้ว!” อีธานตะโกนแข่งเสียงพายุ ปลาหมึกยักษ์โผล่ครึ่งตัวขึ้นจากน้ำ เผยให้เห็นลำตัวขนาดเท่ากำแพงปราสาท ดวงตาสีดำลึกสองข้างจ้องทุกชีวิตบนเรือ เสียงน้ำทะเลไหลรินจากหนวดมันเหมือนเลือดที่หยดลงจากคมดาบ ลูกเรือคนหนึ่งพยายามพุ่งหอกเข้าไปแทงที่ตา แต่มันใช้หนวดเบี่ยงปัดอย่างแม่นยำ ร่างเขากระแทกกับเสากระโดงเรือจนเลือดกบปาก ก่อนจะถูกหนวดอีกเส้นคว้ารัดแน่น “ตัดหนวดนั้นเดี๋ยวนี้!” ฟลอเรสพุ่งไปหมายช่วย แต่ปลาหมึกยักษ์รู้ทัน มันกระชากหนวดขึ้นกลางอากาศ ร่างของลูกเรือถูกโยนตกลงไปสู่ปากที่อ้าอยู่รอด้านล่าง เสียงปิดสนิทของปากแข็งกระแทกก้องขึ้นอีกครั้ง—คราวนี้ไม่มีใครเหลือเวลาแม้แต่จะร้อง หัวใจทุกคนเหมือนถูกบีบ ความกลัวเริ่มซึมเข้ามาในข้อมือที่กำดาบ อีธานกัดฟัน “ถ้าเรายังสู้แบบนี้… ไม่มีใครรอด” สายฟ้าฟาดสว่างวาบ—ฟลอเรสมองเห็นบางอย่าง เขาหันไปตะโกนสั่ง “มันมีแผลเก่าที่โคนหนวดด้านซ้าย! เอเรน! ดึงเรือเข้าประชิดตรงนั้น!” ลูกเรือเร่งเต็มแรง เรือซีฟินิกซ์กระแทกคลื่นโหมเข้าใกล้ร่างสัตว์ประหลาด ฟลอเรสก้าวขึ้นไปยืนบนขอบหัวเรือ มือกำดาบยาวที่มีเพียงคมนี้เท่านั้นอาจจบศึกได้ ปลาหมึกยักษ์ส่งเสียงก้องดังลั่น ราวกับท้าทายให้ลองมา เขากระโดดข้ามผิวน้ำ ฝ่าหยดฝนและละอองคลื่นพุ่งตรงไปยังโคนหนวดที่เป็นเป้าหมาย—และทันทีที่ดาบเขาแตะถึงเนื้อ ปลาหมึกยักษ์ก็สะบัดตัวด้วยแรงพายุ ร่างฟลอเรสหายวับเข้าไปท่ามกลางหนวดทั้งเจ็ดที่เหลือ…น้ำรอบตัวเงียบ…เงียบจนหัวใจของดรานเต้นดังราวกับเสียงกลองในโถงก้อง ราชินีใต้น้ำค่อย ๆ ลอยลงจากบัลลังก์ ทุกการเคลื่อนไหวของเธอเหมือนฝัน แต่ดวงตานั้นคม และแน่นิ่งพอจะทำให้เขาลืมหายใจ“เจ้ามีดวงตาของคนที่เคยทรยศทะเล” เธอเอ่ย เสียงเหมือนกระซิบข้างหูแต่แทรกเข้ามาในหัวโดยตรงดรานขยับดาบขึ้น…แต่ร่างกลับหนักเหมือนถูกมัดด้วยโซ่มองไม่เห็น น้ำรอบขาเขาหมุนวนเป็นเกลียวสีดำแล้วค่อย ๆ ดึงเขาลงไปช้า ๆนีราร้อง “ดราน! อย่าให้เธอมองตา!”สายเกลียวสีดำพันขึ้นมาถึงเอว ดรานฟันลงไป แต่ดาบกลับทะลุผ่านราวกับฟันเงา ราชินีลอยเข้ามาใกล้จนผมยาวของเธอพันกับแขนเขาเย็นเหมือนน้ำแข็ง และริมฝีปากนั้นกระซิบเพียงคำเดียว“นอน…”ดวงตาของดรานค่อย ๆ ปิด เสียงทุกอย่างหายไป ร่างเขาเริ่มหย่อนวูบเหมือนร่างไร้วิญญาณคาเอลกับนีร่าพุ่งเข้ามา แต่คลื่นแรงมหาศาลปะทุขึ้นจากราชินี โถงทั้งโถงกลายเป็นพายุหมุนที่ผลักพวกเขากระเด็นออกไปติดผนังหินราชินีเงยหน้าขึ้น ดวงตาสว่างวาบ เตรียมจะดึงวิญญาณของดรานเข้าสู่ความว่างนิรันดร์ฟุ่บ!เงาสองร่างพุ่งจากด้านบนของโถงน้ำเหมือนลูกศร เสียงโลหะเฉือนน้ำแหลมสูง อีธานใช้แรงน้ำหมุนตัวหนึ่งรอบก่อนดาบใหญ่ของเ
ความมืดกลืนทุกสีและทุกเส้นเงา เหลือเพียงประกายจาง ๆ จากหอกของนีรากับดวงตาหลายคู่ของสัตว์เกราะใต้ทะเลที่ยังขยับช้า ๆ แต่มั่นคงเสียงแหวกน้ำมาจากรอบทิศ ไม่ใช่เสียงเดียว…แต่เป็นหลายสิบ หลายร้อย แทรกอยู่ในคลื่นหัวใจของทุกคน คาเอลกำมีดแน่นจนข้อนิ้วซีด เขาพยายามเพ่งมองหาเงาแต่สิ่งเดียวที่เห็นคือน้ำที่ขุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีอะไรคนมันจากทุกด้าน“มันกำลังไล่ต้อนเรา” แบร์กตันกระซิบ ทั้งที่รู้ว่าเสียงคงไม่ช่วยพรางจากสิ่งมีชีวิตที่ใช้คลื่นน้ำเป็นหูทันใดนั้น สิ่งหนึ่งพุ่งเข้ามาจากมืดด้านบน มันเร็วเกินจะเห็นรูปร่างชัด คาเอลปัดออกด้วยมีดแต่แรงปะทะกลับทำให้เขาหมุนควงกลางน้ำ ดรานคว้าข้อมือเขาดึงกลับมาด้วยแรงพอให้รู้ว่า ถ้าพลาดแม้เพียงครั้งเดียว พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นเสียงของราชินีดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดและใกล้เหมือนอยู่ข้างหู"หัวใจของเจ้าจะเต้นถึงกี่ครั้ง… ก่อนที่มันจะหยุด"นีร่าข่มใจแล้วตะโกน “แบร์กตัน! มีทางออกไหม?”ชายแก่ชี้ไปยังผนังฝั่งซ้าย “มีโพรงแคบหลังเสาหินนั่น! แต่ต้องเสี่ยงวิ่งผ่านพวกมันทั้งหมด!”เหมือนคำพูดยังไม่ทันหมด ฝูงเงาก็พุ่งออกจากความมืด—เป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลากระโทงครีบขาดเก
สายฝนหยุดลงเพียงชั่วคราวเหมือนฟ้าต้องการให้พวกเขาเคลื่อนตัวต่อ แบร์กตันม้วนแผนที่เก็บอย่างระวัง เสียงน้ำหยดจากกิ่งไม้ดังเป็นจังหวะเหนือหัว คาเอลยกถุงเสบียงขึ้นพาดบ่า “เอาล่ะ ไปเจอมังกรยักษ์ของราชินีกัน”นีร่าไม่ได้ตอบ เธอกำลังคิดถึงสัญลักษณ์รูปตาที่ติดบนแผนที่ เส้นรัศมีสามเส้นที่แผ่ออกมาราวกับกำลังจับจ้องคนมองกลับ—มันให้ความรู้สึกเหมือนสิ่งนั้นกำลัง ‘มอง’ เธออยู่จริง ๆเส้นทางลัดของแบร์กตันพาพวกเขาเลาะไปตามเนินหินที่ชื้นและเต็มไปด้วยเถาวัลย์สีดำ รากไม้บิดเกลียวเหมือนงูคอยเกี่ยวข้อเท้าผู้บุกรุก เสียงคลื่นเบื้องล่างค่อย ๆ จางลง เหลือเพียงเสียงน้ำหยดและสายลมพัดผ่านโพรงหินเมื่อข้ามโขดหินใหญ่ด้านหน้า พวกเขาก็มองเห็นทะเลสาบกว้างเงียบสนิทอยู่กลางป่า ผิวน้ำดำราวกระจกที่ดูดซับแสงทั้งหมด ไร้คลื่น ไร้แม้แต่เสียงกบร้องแบร์กตันหยุดแล้วพูดเสียงต่ำ “นั่นคือ ‘ประตูกลางน้ำ’… ทางลงสู่รังของราชินี”คาเอลย่นคิ้ว “แล้วเราจะลงไปยังไง? ว่ายลงไปแล้วเคาะประตูหรือ?”“มันมีทางเดินใต้น้ำ” แบร์กตันชี้ไปที่ผนังหินริมทะเลสาบ “แต่ต้องกลั้นลมหายใจนานพอควร ”นีร่าเอาหอกเคาะพื้นเบา ๆ “เรามีทางเลือกอื่นไหม”แบร์กตันส่
เพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันของแบร์กตันที่ไหววูบตามจังหวะลม พวกเขาเดินเลาะชายป่า เสียงคลื่นเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงแมลงยามค่ำ “ทางนี้มันดู… ไม่ค่อยเป็นมิตรนะ” คาเอลกระซิบ พลางมองไปทางพุ่มไม้ที่ไหวอย่างไร้ลม “เจ้าคิดว่ามีอะไร” ดรานถาม คาเอลยกไหล่ “อาจจะเป็นเสือ… หรือแค่กระรอกตัวใหญ่พิเศษที่ชอบแทะหัวคน” แบร์กตันหยุดกะทันหัน ยกมือเป็นสัญญาณให้เงียบ ทุกคนก้มลงตามสัญชาตญาณ เสียง “ซ่า…” ดังจากโคลนเบื้องหน้า ราวกับมีอะไรลากตัวผ่านน้ำตื้น จากเงามืดนั้น ร่างบางอย่างโผล่ขึ้น—ไม่ใช่สัตว์บนบก แต่เป็นสิ่งที่มีเกล็ดเงินแวววาว และแขนยาวเกินมนุษย์ ดวงตากลมโตราวลูกแก้วจับจ้องพวกเขา ก่อนที่มันจะส่งเสียงแหลมก้อง ราวกับโลหะขูดกัน “เฮ้… มีเพื่อนมาทักทายแล้ว” คาเอลพึมพำ แต่เสียงสั่นนิด ๆ “เจ้านี่… ไม่ใช่กระรอก” สิ่งนั้นกระโจนพุ่งใส่ทันที! ดรานชักดาบต้านไว้ เสียงโลหะปะทะเกล็ดดัง ก๊อง! แต่แรงกระแทกทำเอาเขาถอยไปสองก้าว นีร่าใช้หอกสั้นฟันสวน แต่โดนเพียงปลายแขนเกล็ดที่แข็งราวเหล็ก แบร์กตันสบถเบา ๆ ก่อนจะขว้างตะเกียงใส่ มันแตกเป็นเปลวไฟกระจายบนโคลน สิ่งนั้นกรีดร้องลั่น ถอยกลับไปในเงามืด—แต่เสียงเคลื่อน
ผืนทรายชื้นเย็นของชายฝั่งเกาะเงียบงันรับร่างของนีร่าที่ล้มลงคว่ำ หน้าอกกระเพื่อมแรงจากการหอบหายใจ ดรานและคาเอลตามมาติด ๆ ทั้งคู่เปียกโชกตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำเกลือกัดผิวจนแสบดรานทรุดนั่งพิงตอไม้ใหญ่ “ข้า… แทบเดินไม่ไหวแล้ว” เสียงแหบพร่า แววตาขุ่นมัวด้วยความเหนื่อยล้าคาเอลนั่งลงข้าง ๆ พลางหัวเราะเบา ๆ แบบติดตลกแม้จะหมดแรง “ถ้าเจอปลาหมึกยักษ์อีก ข้าจะยอมให้มันกลืนไปเลย… อย่างน้อยคงไม่ต้องทนหิวแบบนี้”นีร่ามองทั้งสองด้วยสายตาหนักแน่น แต่แฝงความกังวล “เราต้องหาอะไรกินเดี๋ยวนี้ ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ พวกเจ้าจะหมดแรงจนเดินไม่ไหว”รอบตัวมีเพียงป่าโปร่งที่ทอดยาวขึ้นไปบนเนิน กลิ่นดินชื้นและใบไม้ปนกับกลิ่นไอทะเล ลมพัดเอาเสียงบางอย่างมาจากในป่า คล้ายเสียงกิ่งไม้แตกเป็นระยะดรานพยายามยันตัวขึ้นยืน “อาหาร… น้ำจืด… อะไรก็ได้”คาเอลเหลือบมองไปรอบ ๆ “ข้าเห็นอะไรเป็นเงา ๆ ตรงโน้น อาจจะเป็นหมู่บ้าน หรือไม่ก็…” เขาหยุดพูดก่อนจะยิ้มมุมปาก “ก็อาจจะเป็นกับดักของพวกที่เราไม่รู้จัก”นีร่าเม้มปากแน่น “ถ้ามันเป็นกับดัก เราก็จะได้รู้ก่อนที่เราจะอดตาย”ทั้งสามคนค่อย ๆ เดินตามเส้นทางทรายที่เริ่มกลายเป็นดินโคลน ใบ
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นท่ามกลางสายลมทะเล ฟลอเรสเดินไปหาเอเรนที่กำลังจัดเก็บเครื่องมืออย่างขะมักเขม้น แต่สายตากลับดูเหนื่อยล้า“เอเรน เจ้าเคยคิดไหม ว่าเราจะยังได้เห็นแสงแดดอีกนานแค่ไหน?” ฟลอเรสถามเอเรนหันมายิ้มบางๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากเห็นมันอีกนานๆ แต่ถ้าไม่ เราก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุดจนกว่าจะหมดลมหายใจ”ฟลอเรสหัวเราะ “คำพูดเจ้าโหดร้ายยิ่งกว่าปลาหมึกยักษ์อีกนะ”เอเรนขมวดคิ้ว “อย่าแหย่ข้านักล่ะ!”เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบๆ ทำให้บรรยากาศที่เคยเครียดค่อยๆ ผ่อนคลายลง ลูกเรือคนอื่นก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ทั้งเรื่องข่าวสาร เรื่องตลกเล็กๆ หรือเรื่องบ้านเกิดที่แต่ละคนคิดถึงมาเรียเดินมาหาฟลอเรสพร้อมถือลูกอมในมือ “นี่เจ้า ต้องใช้พลังงานนะ จะได้ไม่หมดแรง”ฟลอเรสรับลูกอมมาแล้วอมไว้ในปาก “ขอบใจเจ้า นี่แหละที่ทำให้ข้ายังเดินต่อไปได้”จู่ๆ เสียงร้องหัวเราะดังมาจากมุมเรือ ใครบางคนกำลังเล่นเกมทายคำกับลูกเรือคนอื่นๆ ทำให้หลายคนหยุดงานมาช่วยกันเล่นฟลอเรสเดินไปดู พบว่าเป็นบรรยากาศที่พวกเขาแทบลืมไปว่ากำลังอยู่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยอันตราย“ถ้าพวกเจ้าลืมเรื่องร้ายๆ สักพัก ข้าก็ยินดี” ฟลอเรสพูด พลางมองไปยังฟ้