เข้าสู่ระบบเช้าตรู่...
ไอเย็นยังจับอยู่บนกระจกหน้าต่าง แสงอาทิตย์แรกของวันลอดผ่านม่านบาง ๆ เข้ามาในบ้านไม้ กลิ่นสมุนไพรจาง ๆ ยังลอยอยู่ในอากาศจากการทำแผลเมื่อคืน ลีแอนน์ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เธอนั่งจิบชาสมุนไพรเงียบ ๆ อยู่ตรงเก้าอี้ไม้ใกล้หน้าต่าง สายตาเหลือบมองเดรย์วานที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเบาะ รอยแผลที่หัวไหล่พันผ้าไว้อย่างเรียบร้อย เขาหลับสนิท ไม่มีท่าทางเจ็บปวดอีก เสียงนกร้อง... เงียบสงบกว่าที่เธอคาดในเช้าแบบนี้ แต่แล้ว “ก็อก ๆ ๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามที หนักแน่นแต่ไม่เร่งรีบ ลีแอนน์ชะงัก มือที่ถือแก้วชาหยุดกลางอากาศ เดรย์วานลืมตาช้า ๆ หันมามองเธอโดยไม่พูด “ข้าไม่ได้รอใคร” เธอพูดเบา ๆ เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้แทรกเสียงผู้ชาย “ข้าไม่ได้มาตามหาปัญหา ขอคุยแป๊บเดียว ลีแอนน์!” เธอขมวดคิ้วทันที “เสียงนั่น...ซาเวล” เดรย์วานยันตัวลุกขึ้นช้า ๆ “เขาเป็นใคร?” “คนรู้จักเก่า...พ่อค้าเร่ที่ไม่ได้มาแบบธรรมดา เขาเป็นพวกที่ ‘เห็น บางอย่าง” ลีแอนน์ตอบ ขณะเดินไปเปิดประตู ทันทีที่บานประตูเปิดออก ชายวัยประมาณสามสิบ สวมเสื้อคลุมยาวเก่า ๆ มีขนนกผูกติดไหล่ ตาสีน้ำผึ้งของเขากวาดมองเข้ามาในบ้านอย่างไม่ไว้ใจ “ข้ายังไม่ตายหรอก ขอบใจที่ไม่เปิดรับข้ามาตั้งแต่ตีห้า” เขาเอ่ยติดขำ แต่เสียงแฝงความจริงจัง “ข้ามิได้ต้อนรับเจ้าบ่อยนัก อย่าทำเหมือนเจ้าคุ้นนักกับบ้านข้า” ลีแอนน์ตอบเรียบ ๆ ก่อนจะหลีกให้เขาเข้ามา เมื่อซาเวลเดินเข้ามาในบ้าน เขาก็เห็นเดรย์วานทันที สายตาเขาหรี่ลงทันควัน มือแตะที่ห่อผ้าข้างเอวเหมือนเตรียมดึงบางสิ่ง ลีแอนน์รีบเอ่ย “เขาไม่ใช่ศัตรู เจ้ามาเรื่องอื่นก็พูดมาเถอะ” ซาเวลยังไม่ละสายตาจากเดรย์วาน “ข้าเห็นร่องรอยบางอย่างเมื่อคืน บนหลังคาเรือนทิศเหนือ...มีคนเจ็บเลือดไหลเหมือนลากผ่านไม้เก่า” เขาพูดเสียงเบา เดรย์วานกับลีแอนน์สบตากันทันที สีหน้าเธอเปลี่ยนไป “แปลว่า...มีพวกมันรอดจากเมื่อคืน?” เธอถาม “ใช่ และที่น่ากลัวกว่าคือ...” ซาเวลหยิบผ้าผืนเล็กจากกระเป๋า หย่อนลงบนโต๊ะ กลางผ้า มี "สัญลักษณ์" — รูปรอยฟันแบบผิดธรรมชาติ สัญลักษณ์ของพวกที่ “ถูกฝึก” มาเพื่อล่าโดยเฉพาะ “นี่ไม่ใช่แวมไพร์ธรรมดา...” เดรย์วานพูดช้า ๆ ซาเวลพยักหน้า “ข้ากลัวว่า...พวกมันกำลังตามหาเจ้า” ลีแอนน์มองสองคนที่ตอนนี้เหมือนพัวพันกันในเงาที่ลึกขึ้นทุกที ทั้งที่เมื่อคืนเธอยังคิดจะปิดประตูใส่หน้าเขาอยู่เลย… ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว แต่บรรยากาศในบ้านยังหนาวเย็นเหมือนถูกจับจ้อง ลีแอนน์พิงผนัง มือกุมกำปืนสั้น สายตาแข็งกร้าวเมื่อหันไปมองเดรย์วาน “ข้าไม่ไว้ใจเจ้า...แต่ตอนนี้ เราต้องจับมือกัน” เดรย์วานนิ่ง ไม่พูดอะไรแต่สบตาเธอหนักแน่น “ข้าเองก็ไม่ได้เลือกทางนี้เช่นกัน” เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังมาจากประตูหน้าบ้าน “เจ้าทั้งสอง...มีแขกมาเยี่ยม” เสียงเข้มของออร์เรน เคลย์ ดังขึ้น ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ ตาบอดข้างหนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและความเข้มงวด “ข้าฟังข่าวจากซาเวลแล้ว” เขาพูดอย่างไม่ไว้ใจเดรย์วาน “แต่ถ้าเจ้าอยากรอด...ต้องพิสูจน์ตัวเอง” ลีแอนน์ขมวดคิ้ว...เจ้าไม่ต้องมาขู่ เรารู้หน้าที่ของเรา” ออร์เรนพยักหน้า “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งลีแอนน์ แต่นี่ไม่ใช่สงครามครั้งก่อน เป็นการล่าเพื่อความอยู่รอด” เดรย์วานยิ้มบาง ๆ “ข้าพร้อมจะพิสูจน์ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่” ฟินน์ หนุ่มเจ้าเล่ห์ นักเทคนิคประจำหน่วย ปรากฏตัวพร้อมกล่องเครื่องมือ “ข้าหวังว่าเจ้าอยากได้ของเล่นใหม่ ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว” ฟินน์พูดอย่างติดตลก ลีแอนน์ถอนใจเบา ๆ “ข้าเกลียดของเล่นของเจ้า...แต่ก็ต้องใช้” ออร์เรนเคลย์กวาดสายตามองรอบห้อง “ฟังข้าดี ๆ ตอนนี้ พวกแวมไพร์ที่เรากำลังจะเจอ ไม่ใช่แค่ศัตรูธรรมดา พวกมันเป็นพวกที่ผ่านการฝึกมาอย่างโหดเหี้ยม มีทักษะเหนือมนุษย์ และบางตัว...อาจเคยเป็นมนุษย์มาก่อนด้วยซ้ำ” ลีแอนน์พ่นลมหายใจออกแรง ๆ “ข้าไม่แคร์อดีตพวกมันหรอก ขอแค่ฆ่ามันให้หมดก็พอ” เดรย์วานยืนพิงกำแพง “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดยังไงกับข้า แต่ตอนนี้ อย่ามองข้าเป็นศัตรู เพราะข้าเป็นฝ่ายเดียวกับพวกเจ้า” ออร์เรนขมวดคิ้ว “เจ้าพูดง่าย แต่นายยังมีสายเลือดแวมไพร์เต็มตัว ข้าไม่ไว้ใจง่าย ๆ” ฟินน์เดินมาวางกล่องเครื่องมือบนโต๊ะ “ข้าเตรียมอุปกรณ์ใหม่มาให้พวกเจ้า ลองดูนี่!” เขายกปืนกระสุนเงินขึ้นมาให้ดู “กระสุนนี้พิเศษกว่าเดิม เจาะเกราะแวมไพร์ได้ดีขึ้น 30%” ลีแอนน์หยิบปืนขึ้นมาดู “ดี แต่ข้าหวังว่ามันจะไม่พังง่าย” ฟินน์ยักไหล่ “ของพังแล้วข้าซ่อมเอง อย่าห่วง” เดรย์วานถอนหายใจยาว “เวลาเหลือน้อย ข้าอยากรู้แผนล่าของพวกเจ้าเป็นยังไง” ออร์เรนเดินไปที่แผนที่บนผนัง “พวกแวมไพร์รวมตัวกันในป่าทางเหนือ มีฐานที่มั่นลับ เราจะต้องเข้าไปสอดแนมเก็บข้อมูลให้ได้ก่อนโจมตี” ลีแอนน์พยักหน้า “ข้าจะเข้าไปเป็นมือสังหารเงียบ ส่วนใครจะไปกับข้า?” ออร์เรนหันไปมองเดรย์วาน “เจ้าสองคนต้องไปด้วยกัน ข้าไม่ไว้ใจนายมากพอที่จะแยก” เดรย์วานพยักหน้า “ตามใจเจ้า แต่ข้าจะทำให้เห็นว่าข้าอยู่ฝ่ายไหน” ฟินน์ยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นข้าจะคอยดูแลจากระยะไกล พร้อมส่งของเล่นใหม่ให้พวกเจ้า” ลีแอนน์ถอนใจลึก ๆ “ข้าไม่ชอบงานเป็นทีม...แต่ครั้งนี้ ข้าไม่มีทางเลือก” เสียงฝนหยุดสนิท แต่พายุในใจพวกเขายังไม่สงบเลยสักนิดลีแอนน์ยังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือเบนแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอพยายามข่มตัวเองให้ไม่กลัว ทั้งที่เสียงข้างนอกกำลังสั่นประสาทอย่างที่สุด ครืด... แกร่ก... โครม!!! ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสียงอีกต่อไป—เศษอิฐจากกำแพงด้านข้างร่วงลงมาเป็นผงๆ ตามด้วยเสียงคำรามต่ำแหบ เสียงที่เหมือนอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีชีวิตกำลังแงะผนังเข้ามา “มันเจาะเข้ามาได้แล้ว!” ชายผมยาวที่ก่อนหน้าทะเลาะกับลีแอนน์ร้องเสียงหลง รีบหันหลังคว้าปืนที่วางพิงไว้ ออร์เรนกระชากเขากลับด้วยแขนกล “อย่าเพิ่งตื่นตระหนก!” “ตะ...แต่! พวกมันเข้ามา—!” “ยังไม่พังเข้ามาได้หมด เรามีเวลาไม่กี่นาที!” เสียงเล็บข่วนแผ่นเหล็กดังสะเทือนหู แสบแก้วหูจนลีแอนน์ต้องหลับตาปี๋ เธอก้มลงกระซิบเบนอีกครั้ง “ฟังนะ ถ้าแกยังได้ยินฉัน…ต้องอยู่ต่อให้ได้ ได้ยินไหม? อย่าไปไหนเด็ดขาด” เบนไม่ตอบ แต่เปลือกตาขยับนิดหน่อย เหมือนพยายามดิ้นจากฝันร้ายที่พันธนาการเขาอยู่ “ลีแอนน์!” อาลีนเรียกเสียงด่วน “ช่วยกันเปิดช่องทางลมหลังห้องก่อน เผื่อเราต้องหนี!” ลีแอนน์กัดฟัน ก่อนหันไปกระชากผ้าเก่าๆ ที่คลุมลังไม้ข้างผนังโยนให้ชายร่างผอม “ปิดรูนั้นไว้ เอาให้แน่น อย่าให้
เสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคนออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิมครืด... ครืด... ครืด...เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุกเสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน“มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด“พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น“ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน”ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน“…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงห
กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล







