ค่ำคืนถัดมา – ป่าทางเหนือ
ลมเย็นพัดแรง ใบไม้สั่นไหวเป็นจังหวะ กลิ่นดินชื้นและเลือดเก่า ๆ ลอยฟุ้งมาตามสายลม ลีแอนน์ก้มตัวแฝงกายในพุ่มไม้ มือแนบกับด้ามมีดเงิน ข้างเธอคือเดรย์วาน ที่นิ่งราวเงามืด ไม่มีเสียงหายใจแม้แต่น้อย “เงียบแบบนี้นานไป ข้าระแวงนะ” เธอพูดเบา ๆ โดยไม่หันไปมองเขา “ข้าชินกับการเงียบ” เดรย์วานตอบเสียงต่ำ “แต่เจ้าสิ...ทำไมใจสั่น?” ลีแอนน์หันขวับ “ข้าไม่ได้สั่น ข้าแค่...หงุดหงิดที่ต้องฟังเจ้าพูด” เขายิ้มมุมปาก “หงุดหงิดยังดีกว่าตาย” เงาของบางสิ่งเคลื่อนผ่านยอดไม้ด้านบน ลีแอนน์เงียบกริบ เดรย์วานกระซิบ “มีอย่างสองตัว เคลื่อนไหวเร็ว แต่ไม่ใช่พวกนักฆ่า…สายล่อหรือยาม” เธอพยักหน้า “งั้นข้าจะลอบเข้าใกล้ ส่วนเจ้าล่อมันออกไป” เดรย์วานหัวเราะเบา ๆ “ไว้ใจข้าแล้วหรือ?” “ไม่...แต่ถ้ามีใครต้องตายก่อน ข้าก็ไม่อยากให้เป็นข้า” เธอตอบหน้าตาย แล้วพุ่งตัวแทรกเงาไม้หายไปในความมืด เดรย์วานถอนใจสั้น ๆ ทางอีกด้านของป่า “เคลื่อนไหวเร็วเกินมนุษย์…” เสียงหนึ่งกระซิบจากกิ่งไม้สูง สิ่งมีชีวิตร่างสูงเพรียว ผิวซีด มีกรงเล็บโผล่ออกมาจากนิ้วมือ สายตาของมันจับจ้องการเคลื่อนไหวของเดรย์วาน อีกตัวหนึ่ง ยืนเงียบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ มันพูดเสียงเย็นเยือก “กลิ่นเลือดบริสุทธิ์…เดรย์วาน?” เสียงตะขอโลหะกระทบเปลือกไม้ “แจ้งคาร์เซียเบล…เขามาแล้ว” ตัดกลับ – ใจกลางป่า ลีแอนน์แทรกตัวผ่านแนวพุ่มไม้ ก่อนหยุดกะทันหัน ร่างหนึ่งยืนรออยู่กลางทาง — สูง ผิวซีด ตาสีแดงเลือด แสยะยิ้ม “เจ้ามาช้าไปหน่อย นักล่าสาว…” เสียงของ เวย์ลันท์ ดังเบาเหมือนเสียงลมหายใจของคนตาย กลางป่ามืด... มีเพียงเสียงใบไม้เสียดสีและกลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ถูกลมพัดปลิวมาตามทาง ลีแอนน์ยืนนิ่ง เบื้องหน้าคือเวย์ลันท์ แวมไพร์นักเชือดผู้มีรอยยิ้มโรคจิตฉาบอยู่บนใบหน้า กรงเล็บของมันยาวราวใบมีด ผิวหนังมีรอยแผลเป็นเหมือนผ่านสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน “ข้ารอเจ้ามานานนัก...ลีแอนน์ เวิร์น” เสียงมันแหบต่ำเหมือนกระซิบลงโลง หญิงสาวไม่ตอบ เธอเพียงปลดมีดคู่จากข้างเอว มือแน่น ดวงตาไม่ไหวเอน “ข้าว่าเราจะได้สนุกกัน” เวย์ลันท์ย่อตัว ก่อนพุ่งเข้าใส่ — เร็ว! เหมือนลูกธนูที่หลุดจากสาย ฉึก! ลีแอนน์เบี่ยงตัวหลบ แล้วสวนกลับด้วยมีดซ้ายฟันเฉียดหน้ามัน เลือดสีดำกระเด็นติดหน้าเธอเล็กน้อย เวย์ลันท์หัวเราะ “เลือดเจ้า...ยังหอมเหมือนเมื่อก่อน” ลีแอนน์กัดฟัน “เจ้าจำข้าได้?” “ข้าเคยเห็นเจ้าตอนยังตัวเล็ก ๆ ตอนที่...ข้าเชือดแม่เจ้ากลางหมู่บ้าน” มือของเธอสั่นไปชั่ววูบ แต่ในวินาทีนั้น — เธอก็พุ่งใส่มันทันที เพล้ง! เพล้ง! เสียงมีดปะทะกรงเล็บดังสนั่นไปทั่วป่า สองเงาร่างเคลื่อนไหวเร็วเกินตามองทัน จนกระทั่ง... ฉัวะ! เวย์ลันท์เฉือนเข้าที่ต้นแขนของลีแอนน์ เลือดสีแดงสดพุ่ง เธอถอยหลังไปสามก้าว หอบหายใจ เหงื่อแตกซึม เวย์ลันท์เลียเลือดปลายนิ้ว “เจ้า...หวาดกลัว และโกรธ...อารมณ์มนุษย์นี่มันชวนติดใจนัก” ลีแอนน์เช็ดเลือด “ข้าอาจจะกลัว...แต่ข้าก็ฆ่าเป็น” เธอกระชับมีด แล้วตะโกนลั่น “ข้าไม่ใช่เด็กคนนั้นอีกแล้ว!” ฟึ่บ! เงาหนึ่งพุ่งลงมาจากต้นไม้ เดรย์วาน กระแทกใส่เวย์ลันท์เต็มแรง “ข้าไม่ให้เจ้าแตะต้องเธออีก” เขากระซิบ แล้วใช้มือฟาดเข้าใบหน้าของแวมไพร์นักเชือด เลือดดำพุ่งกระจาย เวย์ลันท์หงายหลังชนต้นไม้ ก่อนยิ้มอย่างบ้าคลั่ง กลับมาที่สนามรบ ลีแอนน์และเดรย์วานยืนเคียงข้าง เธอบาดเจ็บ แต่ไม่ถอย เขาเยือกเย็น...แต่พร้อมฆ่า เวย์ลันท์หัวเราะสุดเสียง ก่อนค่อย ๆ ถอยเข้าสู่เงามืด “ข้าจะกลับมา…พร้อมคนที่เจ้า ‘ลืม’ ไปแล้ว” เสียงฝีเท้าสองคู่กระแทกผืนป่าชื้นน้ำค้าง ลีแอนน์เดินเซน้อย ๆ ขณะกดผ้าพันแผลแน่นกับต้นแขน เลือดหยดเป็นทางบนดินแต่เธอไม่ปริปากร้อง เดรย์วานเดินตามหลัง พูดเสียงต่ำ “เจ้าควรหยุดพัก ข้ายังแบกเจ้าไหว” “ข้าไม่ใช่คนเจ็บจนเดินไม่ได้” เธอกัดฟันตอบโดยไม่หันไปมองเขา “แต่เลือดเจ้ากำลังเรียกสิ่งที่อยู่ลึกกว่าแวมไพร์ทั่วไป...ข้าสัมผัสได้” เสียงเขาราบเรียบ เย็นชาอย่างน่าขนลุก กลับถึงบ้านไม้เก่า ออร์เรน นั่งรออยู่แล้ว “เจ้าโดนเวย์ลันท์ทำร้าย?” เขาถามทันทีเมื่อเห็นเลือดที่ไหลซึมจากแขนของเธอ ลีแอนน์ไม่พูด เธอเดินไปหยิบเหล้าขวดเล็ก แล้วเทลงแผลโดยไม่สะทกสะท้าน เสียงซู่ของแอลกอฮอล์ทำให้ฟินน์ที่นั่งอยู่มุมห้องหันขวับ “เจ้าทำเหมือนแค่โดนข่วนจากแมวบ้าน” เขาบ่น แต่เดินมาเปิดกล่องปฐมพยาบาล ออร์เรนมองหน้าเดรย์วาน “เจ้าอยู่ตรงนั้น แล้วปล่อยให้เธอเจ็บแบบนี้?” “เธอไม่ยอมให้ข้าปกป้อง...เธอเลือกสู้คนเดียว” เดรย์วานตอบเรียบ ๆ ลีแอนน์มองหน้าเขา “ข้าไม่ใช่เหยื่อ และข้าไม่เคยขอให้ใครมาช่วย” บรรยากาศหนักอึ้งจนฟินน์ต้องกระแอม “โอเค ๆ ก่อนจะหักคอกันเอง...พวกเจ้าควรดูนี่” เขาหยิบอุปกรณ์ฉายภาพขึ้นมา เปิดภาพที่ได้จากกล้องรอบป่า ภาพเบลอ ๆ ของเวย์ลันท์ยืนคุยกับร่างหญิงคนหนึ่งที่คลุมผ้าดำทั้งตัว ข้างหลังมีร่างแวมไพร์จำนวนมากยืนเรียงราวทหาร นั่นใคร?” ลีแอนน์ถามเสียงแหบ ออร์เรนขมวดคิ้วแน่น “...คาร์เซีย เบล” “ราชินี...ตัวจริงกำลังเคลื่อนไหวแล้ว”ลีแอนน์ยังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือเบนแน่นจนข้อนิ้วซีด เธอพยายามข่มตัวเองให้ไม่กลัว ทั้งที่เสียงข้างนอกกำลังสั่นประสาทอย่างที่สุดครืด... แกร่ก... โครม!!!ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสียงอีกต่อไป—เศษอิฐจากกำแพงด้านข้างร่วงลงมาเป็นผงๆ ตามด้วยเสียงคำรามต่ำแหบ เสียงที่เหมือนอะไรบางอย่างที่ไม่ควรมีชีวิตกำลังแงะผนังเข้ามา“มันเจาะเข้ามาได้แล้ว!” ชายผมยาวที่ก่อนหน้าทะเลาะกับลีแอนน์ร้องเสียงหลง รีบหันหลังคว้าปืนที่วางพิงไว้ออร์เรนกระชากเขากลับด้วยแขนกล“อย่าเพิ่งตื่นตระหนก!”“ตะ...แต่! พวกมันเข้ามา—!”“ยังไม่พังเข้ามาได้หมด เรามีเวลาไม่กี่นาที!”เสียงเล็บข่วนแผ่นเหล็กดังสะเทือนหู แสบแก้วหูจนลีแอนน์ต้องหลับตาปี๋ เธอก้มลงกระซิบเบนอีกครั้ง“ฟังนะ ถ้าแกยังได้ยินฉัน…ต้องอยู่ต่อให้ได้ ได้ยินไหม? อย่าไปไหนเด็ดขาด”เบนไม่ตอบ แต่เปลือกตาขยับนิดหน่อย เหมือนพยายามดิ้นจากฝันร้ายที่พันธนาการเขาอยู่“ลีแอนน์!” อาลีนเรียกเสียงด่วน “ช่วยกันปิดช่องทางลมหลังห้องก่อน เผื่อเราต้องหนี!”ลีแอนน์กัดฟัน ก่อนหันไปกระชากผ้าเก่าๆ ที่คลุมลังไม้ข้างผนังโยนให้ชายร่างผอม“ปิดรูนั้นไว้ เอาให้แน่น อย่าให้พวกมันได้กลิ่น!”อาลีนลากล
เสียงครืดๆ ที่ลากเล็บขูดพื้นเมื่อกี้ ไม่ได้เงียบไปเฉยๆ มันกลับยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม เหมือนพวกมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆลีแอนน์นั่งฟังอยู่ตรงเตียง ใจเต้นโครมๆ จนแทบได้ยินเองในอก เบนที่นอนอยู่ก็สะดุ้งเหมือนละเมอ ใบหน้าซีดเผือดจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นคนออร์เรนยังยืนชิดประตู ตาจ้องรูเล็กๆ ตรงบานเหล็ก เสียงหายใจเขาหนักกว่าเดิมครืด... ครืด... ครืด...เล็บยาวๆ ของพวกซากร้างครูดผ่านผนังอิฐ คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียว แต่มีหลายเสียง สลับกันไปมาจนคนฟังขนลุกเสียงหายใจข้างนอกก็เริ่มดังขึ้น เหมือนพวกมันยืนกันเต็มปากทางเดิน“มันใกล้เข้ามา…” นักล่าคนหนึ่งเริ่มตะโกนโวยวาย สีหน้าเขาซีด“พวกมัน…ดมกลิ่นได้ใช่ไหม…” หญิงร่างเล็กที่ชื่ออาลีนพูดเสียงสั่น มือเธอกำด้ามปืนเเน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น“ใช่” ออร์เรนตอบเสียงเรียบ แต่ดวงตาข้างเดียวก็มีแววกังวล “กลิ่นเลือดมันแรง พวกมันคงคลุ้มคลั่งกัน”ครืด…ครืด…แกร่ก…กรร เสียงเล็บครูดแรงขึ้น คราวนี้เหมือนมีตัวหนึ่งข่วนประตูเหล็กเป็นแนวยาว จนเสียงโลหะดังเอี๊ยด..ชวนให้เเสบเเก้มหู ลีแอนน์กัดฟันแน่น มองไปทางเบนที่หายใจรวยริน“…เราอยู่กันครบไหม” เธอถามด้วยเสียงห
กลางคืน อุโมงค์ระบายน้ำเก่าใต้ซากเมืองร้างเสียงน้ำหยดเป็นจังหวะในอุโมงค์แคบ ลีแอนน์ประคองเบนที่ตัวสั่นระริกมาตลอดทาง แผลบนอกยังคงซึมเลือดสีเข้มเธอชำเลืองมองใบหน้าเขาที่ซีดเผือด ก่อนกระซิบเสียงเข้ม“อีกนิดเดียว…เดินต่อให้ได้”“ที่นี่…ที่ไหน…” เบนถามแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน“เขตตะวันตก เมืองร้างของนักล่า” เธอสูดลมหายใจลึก “พวกฉันมีฐานหลบภัยอยู่ใต้โรงเก็บศพเก่า”เบนสะอึก “…ฟัง…ไม่ค่อยน่าอยู่”“อย่าพูดมาก” เธอสวนเสียงแข็ง แต่ในดวงตายังมีแววเป็นห่วงลึกๆพวกเขาเดินผ่านกำแพงอิฐที่มีร่องรอยเลือดเก่าเป็นคราบ ลีแอนน์หยุดตรงประตูเหล็กสนิมเขรอะ ยกกำปั้นเคาะเป็นจังหวะเฉพาะสามครั้งเงียบจากนั้นเสียงล็อกกลไกซับซ้อนก็ดังกึกกัก ก่อนประตูจะค่อยๆ แง้มออก เผยให้เห็นช่องทางเดินมืดมิดชายร่างสูงคนหนึ่งยืนเฝ้า เขามีแขนกลสีเงินข้างหนึ่ง และผ้าคาดปิดตาข้างซ้ายดวงตาที่เหลือหรี่มองลีแอนน์ ก่อนเลื่อนมาที่เบน“ลีแอนน์” น้ำเสียงของเขาเข้ม แผ่วต่ำ “นั่นใคร”“ออร์เรน” เธอกลืนน้ำลาย “เขาคือเบน แฮรอน…ลูกชายอีแวน”บรรยากาศรอบตัวเงียบกริบไปทันทีชายที่ชื่อออร์เรนขยับช้าๆ ตามองเลือดสีเข้มที่ซึมจากผ้าพันแผล“…เลือดนั่น” เขา
ในความมืดของอุโมงค์หิน ความตายไล่ตามมาติด ๆ เสียงคำรามโกรธจัดของคาร์เซียดังก้องสะท้อนในโถงใหญ่เหมือนฝันร้ายไม่สิ้นสุด เบนหอบหายใจแรง ความเหนื่อยอ่อนเกาะรัดร่างกายจนขาแทบอ่อน แต่เขายังฝืนก้าวไปข้างหน้า มือของลีแอนน์กำข้อมือเขาไว้แน่น ไฟจากหลอดที่เธอหยิบมันออกจากกระเป๋าคาดเอวส่องแสงสีเหลืองมัว ๆ บนพื้นหินเต็มไปด้วยคราบเลือด อากาศรอบตัวอับชื้น เหม็นกลิ่นสนิม ผสมกลิ่นเน่า จนแสบจมูก เสียงฝีเท้าของแวมไพร์ดังห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันจะยอมแพ้ คาร์เซียต้องตามมาแน่ เธอไม่ยอมให้เลือดของเบนหลุดมือเด็ดขาด “อีกไม่ไกล…ปลายอุโมงค์มีทางขึ้นไปข้างบน” ลีแอนน์หอบเสียงสั่น “จากตรงนั้น เราอาจหาทางออกไปถึงถนนได้” เบนพยักหน้า แม้สติจะพร่าเลือนเพราะเสียเลือดไปมาก เขามองแผลที่แขนซ้าย ตรงที่แทงเข็มเงินไว้ก่อนหน้านี้ เลือดสีเข้มยังไหลซึมออกมา แต่มันมีประกายเหมือนโลหะละลาย เขาจำได้ว่าเคยถามพ่อ…ว่าทำไมเลือดเขาถึงไม่เหมือนคนอื่น พ่อไม่เคยตอบตรง ๆ แค่บอกว่า “ถ้าเมื่อไหร่ที่มันไหลออกมา…จงระวัง ทุกคนจะอยากได้มัน” วันนี้ เขาถึงได้รู้ว่าพ่อพูดเรื่องจริง “นายต้องอุดแผล” ลีแอ
เสียงคำราม ดังไปทั่วห้องโถง คาร์เซีย เบล เดินลงจากแท่นช้า ๆ สายตาจ้องเบนไม่วางตา แวมไพร์หลายตนเริ่มขยับเข้ามาใกล้ บางตนปีนขึ้นไปเกาะเสา บางตนย่องเข้ามาเงียบ ๆ เหมือนเสือกำลังล่าเหยื่อ เบนหายใจแรง มือเขาควานใต้เสื้อคว้าเข็มเงินอีกเล่ม คาร์เซียยกมือขึ้น สั่งเสียงเข้ม “จับมัน! อย่าให้มันรอดออกไปเด็ดขาด!” ทันใดนั้น แวมไพร์หลายตนพุ่งเข้าใส่เบนพร้อมกัน เบนแทงเข็มเงินลงที่แขนตัวเอง เลือดของเขาไหลออกมา มีสีเข้มและเป็นประกาย ทันทีที่แวมไพร์แตะโดนตัวเขา—ผิวของมันไหม้ทันที เสียงกรีดร้องดังลั่น พวกมันถอยหนีด้วยความตกใจ เบนใช้จังหวะนั้นกระชากโซ่เต็มแรง เสียงเหล็กขาดดังขึ้น ก่อนที่เขาจะรีบพุ่งตัวหนีไปอีกทาง เขาวิ่งผ่านทางแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยเงาและควันตะเกียง เสียงฝีเท้าและคำรามของแวมไพร์ตามมาติด ๆ ...แล้วเขาก็สะดุดล้มในซอกมืด “เบา ๆ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นใกล้หู มือของใครบางคนดึงเขาเข้าไปในมุมมืดด้านหลังเสาหินใหญ่ เธอคือ ลีแอนน์ หญิงสาวในเสื้อหนังสีดำ ผมยาวถักเปีย มองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ “ตามฉันมา ถ้าไม่อยากตาย” เธอกระซิบ เบนพยักหน้า เธอพาเขาลัดไปตามทาง
เพดานหยดน้ำลงบนพื้นหินที่เปรอะเปื้อนเลือดกลิ่นสนิมโลหะ คาวเลือด และเนื้อเน่าอบอวลหนาแน่นราวหมอกภายในห้องโถงขนาดใหญ่ร่างของแวมไพร์นับร้อยนอนเรียงรายบนแท่นหินเย็นเฉียบบางตนยังคงหลับ บางตนตัวกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นเลือดบางตน…ฟันเขี้ยวเริ่มโผล่ ทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตาหญิงในชุดคลุมดำเดินผ่านพวกมันไปอย่างสง่างามคาร์เซีย เบล — ยืนอยู่ตรงแท่นสูงสุด ดวงตาแดงดั่งเปลวไฟสุม“เติมเลือด…พวกเขาต้องตื่นก่อนรุ่งสางคืนพระจันทร์สีเลือด”คำสั่งของเธอเฉียบขาด และดังสะท้อนทั้งห้องราวเสียงปีศาจเหล่าผู้รับใช้ของเธอ — แวมไพร์ชั้นต่ำแต่งชุดหนังดำต่างลากร่างมนุษย์เข้ามาเป็นแถวชายหญิงจากหมู่บ้าน ถูกปิดตา มัดมือ“ได้โปรด...ข้าแค่ชาวบ้าน...อย่าฆ่าเมียข้า...!”เสียงร้องไห้ของชายคนหนึ่งดังลั่นก่อนจะถูกกระชากหัวไปพิงแท่นฟันคมเฉือนผ่านคอ — เลือดไหลทะลักลงสู่รางหินที่เชื่อมต่อกับแท่นแวมไพร์รางเลือด ไหลผ่านร่องหินอย่างแม่นยำหล่อเลี้ยงไปถึงแต่ละร่างของแวมไพร์ที่ยังไม่ฟื้นพวกมันเริ่มขยับ...ฟันสั่นกระทบกันดัง กรอด...กรอด…หญิงสาวอีกคนกรีดร้องเมื่อถูกผลักลงบนแท่นโลหะเข็มขนาดเท่านิ้วมือจิ้มเข้าต้นคอ เลือดไหล