"ฮือๆ คุณหนู...ไม่ใช่สิ...พระชายา...ฮือๆ...ท่านฟื้นสิเจ้าคะ"
"ฮือๆ...พระชายา...ได้โปรดอย่าจากบ่าวไปเลยเพคะ....ฮือๆ" เสียงร่ำไห้ของสตรีดังขึ้น จนทำให้คนที่นอนอยู่บนเตียงขมวดคิ้วหน่อยๆเนื่องจากรำคาญ จึงพูดว่า "ไอ้โบตั๋น ไอ้องุ่น ร้องไห้หาพระแสงอะไรวะ คนจะหลับจะนอน รำคาญโว้ย!" สตรีทั้งสองที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ จึงหันมามองหน้ากันด้วยความตกตะลึงก่อนจะส่งเสียงอย่างดีใจว่า "พระชายา ท่านฟื้นแล้ว..ท่านยังไม่ตาย..บ่าวตกใจแทบแย่" "ฮึก...ฮือๆ...พระชายาท่านอย่าทรงทำเช่นนี้อีกนะเพคะ ถ้าหากไม่มีท่าน บ่าวก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเพคะ" สตรีรูปร่างอวบเอ่ยขึ้น "พระชายา...ฮือๆ...ข้าสงสารท่านยิ่งนัก" สตรีร่างบางร่างผอมเอ่ยขึ้น "โอ๊ย คนจะหลับจะนอนร้องไห้อยู่ได้ เป็นบ้าอะไรฮะ ญาติใครเสียหรือไง!" ฉันที่นอนหลับอยู่บนเตียงรู้สึกหงุดหงิดสุดๆจึงตะโกนออกมา คนยิ่งแฮงค์ๆอยู่ ยัยสองคนนั้นไม่แฮงค์บ้างหรือไง มาโวยวายอะไรกันแต่เช้าเนี่ย:-( "พระชายาเพคะ...ท่านอย่าได้กริ้วเลยเพคะ บ่าวไม่พูดแล้ว" สตรีร่างอวบเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียงสั่นเครือ ก่อนที่สตรีทั้งสองจะเงียบและปล่อยให้นายของตนหลับ เวลาต่อมา "หาว~" ฉันบิดขี้เกียจก่อนจะลืมตาช้าๆ รู้สึกถึงอาการปวดหัวหน่อยๆ ต้องเป็นเพราะเมื่อคืนดื่มเยอะไปแน่ๆ ฉันจึงค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นมานั่ง "พระชายาท่านฟื้นแล้ว" สตรีร่างอวบยิ้มแย้มแล้วรีบเดินมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเตียง "เธอเป็นใครล่ะเนี่ย" ฉันถามพลางมองสำรวจคนตรงหน้าก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า "เธอเป็นพนักงานของที่นี่เหรอ อืม ชุดสวยดีไม่ไก่กา ที่นี่ใช้ได้แฮะ" "พระชายา ท่านตรัสอะไรเพคะ บ่าวไม่เข้าใจ" "แน่ะๆ คำพูดคำจาโบราณเสียด้วย...ว่าแต่เธอเห็นเพื่อนของฉันไหม ผู้หญิงสองคนที่นอนอยู่บนเตียง ตรงนั้น" ฉันชี้ไปยังตำแหน่งของเตียงที่เมื่อคืนโบตั๋นกับองุ่นนอนอยู่ แต่ก็พบว่าไม่มีเตียง มีแค่โต๊ะเก้าอี้กับกาน้ำชาที่วางอย่างสวยงามเท่านั้น "เฮ้ย!" ฉันลุกพรวดด้วยความตกใจ แล้วหันมาถามพนักงานงานที่อยู่ในชุดจีนโบราณว่า "เพื่อนฉันล่ะ เพื่อนฉันอยู่ที่ไหน!!!" "พระชายา" สตรีในร่างอวบทำหน้าซีด ก่อนจะลงไปนั่งคุกเข่าแล้วหมอบลงแทบเท้า สตรีร่างผอมที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจึงรีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าฉัน "พระชายาโปรดระงับโทสะด้วยเพคะ" "พระชายาบ้าบออะไรของพวกเธอ เลิกเล่นกันได้แล้ว และบอกฉันมาว่าเพื่อนของฉันอยู่ที่ไหน!!" ฉันตะโกนด้วยความโมโห สองคนตรงหน้าตัวสั่นเทาไม่กล้ามองหน้าไม่กล้าพูดอะไร "ถามก็ตอบสิ" "พระชายา...." "โอ๊ย พระชายาอะไรอีกล่ะ เอ๊ะ...." ฉันที่โมโหอยู่หยุดชะงักทันที พลางนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่ฉันได้ป้ายหยกของอ๋องอะไรสักอย่างนั่นมา นี่ต้องเป็นแผนของพวกมันที่แกล้งฉันเล่นแน่เลย เล่นใหญ่ไปไหมเนี่ย ฉันเหลือบมองคนทั้งสองที่กำลังหมอบกราบตัวสั่นเทา ยัยโบตั๋นกับยัยองุ่นไปหานักแสดงมาจากไหนเนี่ย เล่นสมบทบาทจริงๆ จ้างร้อยเล่นล้าน อืม แบบนี้ก็ต้องจ้างท่านอ๋องอะไรนั่นด้วยสิ คิดได้ดังนั้นฉันจึงหัวเราะออกมา "คิกๆ" เล่นตามน้ำหน่อยแล้วกัน เดี๋ยวยัยสองคนนั้นจะเสียใจ "พวกเธอสองคนชื่ออะไร" "เอ่อ...หม่อมฉันชื่อจู..จู...เจ้าค่ะ...เอ่อ...เพคะสตรีร่างอวบตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา "หม่อมฉันชื่อ...เสี่ยวฮวาเพคะ" สตรีร่างผอมตอบ "โอเค...จูจู เสี่ยวฮวา พวกเจ้าลุกขึ้นเถิด" ฉันลุกขึ้นไปพยุงทั้งสองคน แต่เมื่อไปใกล้ทั้งสองคนสะดุ้งเล็กน้อยและมีท่าทีหวาดระแวง "เป็นอะไร หืม กลัวอะไรเหรอ" "ไม่มีเพคะ" สองคนตอบพร้อมกัน แล้วลุกขึ้นตามแรงดึงของเจ้านายสาว ทั้งสองลอบส่งสายตาให้กันเพราะรู้สึกว่าเจ้านายของตนดูแปลกไป "หิวข้าวแล้วอ่ะ ที่นี่มีร้านสะดวกซื้อไหม อยากกินแฮมเบอร์เกอร์อ่ะ" ฉันถามเสี่ยวฮวากับจูจู ทั้งสองมองหน้าฉันแล้วร้องไห้ออกมาพร้อมกับคุกเข่าลง "ฮือๆ...พระชายา...ท่านพูดจาแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วนะเพคะ" เสี่ยวฮวาพูด "พระชายา...ฮึก...ท่านไม่สบายตรงไหน...บ่าวจะตามท่านหมอมาให้เพคะ" จูจูพูด "อะไรล่ะเนี่ย...พอๆปวดหัว" ฉันห้ามทั้งสองคนที่กำลังร้องไห้ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาจากห้องเพราะทนนักแสดงสองคนนี้ไม่ไหว เอะอะก็ร้องไห้ เอะอะก็คุกเข่า และต้องการจะไปหาโบตั๋นกับองุ่นซึ่งต้องซ่อนตัวแอบดูฉันอยู่แน่ๆ พอวิ่งออกมาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อที่พักไม่ได้เป็นแบบเดิมแล้ว ที่นี่แต่งอย่างงดงามหรูหราราวกับวังที่ฉันเห็นในซีรี่ส์ มีสวนดอกไม้ มีศาลาจีน และเรือนต่างๆที่ตกแต่งอย่างสวยงามเป็นระเบียบ "พระชายา...ท่านโดนกักบริเวณอยู่นะเพคะ...พระชายา...แฮ่กๆ...ถ้าท่านอ๋องทราบ...เดี๋ยวท่านอ๋องจะกริ้วนะเพคะ" จูจูหอบแฮ่กๆวิ่งตามมาจากด้านหลัง "พระชายา...ท่าน...ได้โปรดหยุดวิ่งเถิดเพคะ" "โอ๊ย เลิกตามได้แล้ว เลิกเล่นได้แล้ว เหนื่อยโว้ย" ฉันตะโกนลั่น แล้ววิ่งหนี แต่สองคนนั้นยังคงวิ่งตามไม่ หยุด ทุ่มเทกับงานมากจริงๆ ฉันล่ะนับถือ(TT) "ไอ้องุ่น ไอ้โบตั๋น พวกแกออกมาเลยนะ ฉันไม่เล่นแล้วโว้ย" ฉันร้องเรียกเพื่อนทั้งสอง "พระชายา...ท่านอย่าตะโกน...เดี๋ยวท่านอ๋องได้ยินนะเพคะ...แฮ่กๆ" เสี่ยวฮวาเตือนเจ้านายของตนด้วยเสียงหอบเหนื่อย "ท่านอ๋องอะไรอีกล่ะ เล่นไม่เลิกนะพวกเธอเนี่ย ไอ้สองคนนั้นจ้างมาเท่าไหร่ฉันให้สองเท่าเลย" ฉันหันหลังไปตอบเสี่ยวฮวาพร้อมกับวิ่งไปด้วย จากนั้นก็หันมาตะโกนเรียกเพื่อนทั้งสองคนอีกครั้ง "ไอ้องุ่น ไอ้โบตั๋น ถ้าพวกแกยังไม่ออกมา ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ" "ไอ้องุ่น ไอ้โบตั๋น~" "พวกแก...ฉันโกรธจริงๆแล้วนะ!!" ฉันพูดด้วยความไม่พอใจ เมื่อเรียกพวกมันเท่าไหร่พวกมันก็ไม่ยอมออกมา "พระชายา...โปรดระงับโทสะเพคะ" "พระชายา กลับกันเถิดเพคะ เดี๋ยวท่านอ๋องจะทรงกริ้ว" จูจูกับเสี่ยวฮวายังคงวิ่งตามและพูดคำพวกนี้ไม่หยุด "ท่านอ๋องอะไรอีกล่ะ จะโกรธก็โกรธไปสิ พูดถึงอยู่ได้ น่ารำคาญ" ฉันหันไปพูดกับจูจูกับเสี่ยวฮวา จากนั้นจึงหันหน้ามาเพื่อวิ่งต่อ "โอ๊ย" ฉันร้องเมื่อรู้สึกว่าตัวเองชนเข้ากับอะไรสักอย่างที่แข็งราวกับหิน จนฉันซวนเซล้มลงที่พื้น "พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่!" เสียงทุ้มที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจพูดขึ้น "ทะ...ท่านอ๋อง" เสี่ยวฮวาและจูจูร้องเรียก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสี่ยงสั่นเทาว่า "คะ...คาราวะท่านอ๋องเพคะ" แล้วจากนั้นจึงคุกเข่าหมอบกราบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง "หึ...ใครให้เจ้าออกมาเพ่นพ่านอยู่ข้างนอก" เสียงดุดันแต่แฝงไปด้วยอำนาจดังขึ้น บรรยากาศพลันอึมครึม ฉันจึงลุกขึ้นยืนพลันมองหน้าคนพูด 'โอ้ มายก็อด คือมาหล่อคักหล่อแหน่แท้สู ยัยเพื่อนรัก ฉันไม่โกรธพวกแกแล้วค่า อิอิ คิ้วดั่งกระบี่ ตาเรียวแต่แฝงไปด้วยอำนาจ จมูกได้รูป ริมฝีปากหยัก ใบหน้าสันเป็นคม ก็หล่อแบบตะโกนไปเลยสิคะ' "เปิ่นหวางกำลังถามเจ้าอยู่นะ" เสียงดุดันของบุรุษตรงหน้าพูดขึ้นอีกครั้ง พลางขมวดคิ้วจ้องหน้าสตรีตรงหน้า "โธ่...คนหล่อคะ...อย่าดุสิคะ...หลินหลิน...หลินหลิน...กลัวง่า~" ฉันดัดเสียงให้อ่อนหวานพลางบิดตัวไปมา แล้วใช้นิ้วชี้ทั้งสองจิ้มเข้าหากัน ".........." เขาไม่พูดอะไร ได้แต่มองสตรีตรงหน้าแล้วเหยียดยิ้มดูว่าเจ้าหล่อนจะมาไม้ไหน "คุณชื่ออะไรเหรอคะ ฉันชื่อหลินหลินค่ะ" ฉันยื่นมือไปตรงหน้าเขาหวังให้เขาจับมือกลับ แต่เขายังคงเงียบและจ้องหน้าฉันอยู่เหมือนเดิม ฉันจึงถามเขาต่อว่า "มีอะไรติดหน้าหลินหลินเหรอคะ ทำไมคุณถึงเอาแต่มองล่ะ" ฉันพูดจบก็ลูบใบหน้าของตัวเองแล้วทำหน้างง "หึ" เขาแค่นเสียงให้กับความเสแสร้งของสตรีตรงหน้า "ทำแบบนี้หมายความว่าไง" ฉันถามเพราะเริ่มจะไม่พอใจบ้างแล้ว ดูสายตาที่มองด้วยความเหยียดหยามนั้นสิ เหอะ หล่อแต่นิสัยไม่ดี ไม่มีมารยาท ให้ตายอีหลินหลินคนนี้ก็ไม่เอา ชิ มีดีแค่หน้าตาจริงๆ:-( "เปิ่นหวางกักบริเวณเจ้าอยู่ เจ้าออกมาเพ่นพ่านเช่นนี้...แม้แต่คำพูดของเปิ่นหวานเจ้าก็ไม่ฟัง เจ้าไม่กลัวเปิ่นหวานลงโทษเจ้าหรือ!" เขาพูดด้วยน้ำเสียงดุดันและยื่นมือมาบีบคอฉัน "ท่านอ๋อง...ท่านอ๋องเพคะ" จูจูร้องเรียกแล้วร้องไห้เสียงดัง "ไอ้บ้านี่ จะฆ่ากันให้ตายเหรอไงวะ" ฉันสบถแล้วใช้แรงดึงแขนเขาออก แต่ไอ้คนบ้านี่เหมือนมันจะไม่ขยับเลย และเขาก็ยิ่งบีบแรงขึ้นเมื่อได้ยินฉันสบถใส่ ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยโทสะ แล้วพูดด้วยเสียงดุดันว่า"กล้าด่าเปิ่นหวาง...สตรีเช่นเจ้ามีกี่ศีรษะกัน" "แค่กๆ...ปล่อยนะโว้ย...ไอ้คนบ้า...จะตายแล้วนะ แค่กๆ...ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...เขาจะฆ่าคนแล้ว" ฉันแค่นเสียงออกมา ใบหน้าแดงจนเกือบจะม่วงเพราะหายใจไม่ออก แต่ไม่มีใครสังคนขยับเลย มีแต่เสียงร่ำไห้ของจูจูกับเสี่ยวฮวาที่ร่ำไห้ "ท่านอ๋อง...ฮือๆ...โปรดระงับโทสะด้วยเพคะ" จูจูโขกศรีษะดังโป๊กๆจนมีเลือดไหล "ท่านอ๋องเพคะ...ทรงปล่อยพระชายาเถิด...เป็นความผิดของบ่าว...ที่ไม่ได้ดูแลพระชายาให้ดีเพคะ" เสี่ยวฮวาร้องไห้พร้อมกับโขกศีรษะจนมีเลือดไหลเช่นกัน "หึ" เขาแค่นเสียงแล้วปล่อยฉัน ฉันยืนสูดหายใจ โอ๊ย จะเล่นใหญ่เกินไปแล้วนะ ฉันโมโหแล้ว "ไอ้ชาติชั่ว รังแกผู้หญิง ฉันจะแจ้งตำรวจมาจับแก" ฉันชี้หน้าด่าเขา ก่อนจะเดินเข้าไปตบหน้าเขาแต่เขาจับข้อมือไว้แล้วพูดว่า "บังอาจ!!" "ฮือๆ...พระชายา...หยุดเถิดเพคะ" เสี่ยวฮวากับจูจูลุกขึ้นมากอดฉันไว้แล้วพยายามทำให้ฉันคุกเข่าลง "ท่านอ๋องกริ้วแล้ว...พระชายาเพคะ...ท่านรีบสำนึกผิดเถิดเพคะ" เสี่ยวฮวารีบร้องบอก "สำนึกผิดบ้าอะไร ไอ้บ้านั่นมันบีบคอฉันนะ" ฉันตะคอกเสียงดังแล้วสะบัดจูจูกับเสี่ยวฮวาออก "เจ้าอยากโดนตัดศีรษะหรือไร ถึงกล้าหมิ่นเกียรติเปิ่นหวางเช่นนี้" เขาเดินเข้ามาแล้วหยิบดาบขององครักษ์ชี้มาที่ฉัน "ฮือๆ...พระชายา...ท่านรีบคุกเข่า...ท่านรีบขอร้องท่านอ๋องสิเพคะ...ฮือๆ..." เสี่ยวฮวากับจูจูร้องไห้รีบมาดึงฉันอีกครั้ง "ก็แค่ดาบปลอมๆ คิดว่ากลัวเหรอ" ฉันเท้าสะเอวตะโกนแล้วยื่นมือไปปัดดาบเล่มนั้น "ว้าย" ฉันมองเลือดที่ไหลลงมาจากฝ่ามือของตน "นะ...นี่....นี่...ดาบจริง...มันคือดาบจริง..." ฉันเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา "เสแสร้งอะไรอีก" เขาพูดพร้อมมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาล้ำลึก "ที่นี่คือที่ไหน...ฮือๆ...ฉันอยู่ที่ไหน..." ความจริงที่ได้รับรู้ทำให้ฉันสับสน ฉันมองผู้คนและสถานการณ์ตรงหน้า พลันรู้สึกว่าโลกทั้งโลกคล้ายจะถล่มลงมา 'นี่ฉันทะลุมิติมาอยู่ในยุคจีนโบราณจริงๆเหรอ' เพราะถ้าจะบอกว่าเพื่อนแกล้ง ยังไงก็คงไม่ใช้ดาบจริงอยู่แล้ว "ทำไม เจ้าอยากตายไม่ใช่หรือ เปิ่นหวางจะสนองความต้องการให้เจ้าเอง" เขาเหยียดยิ้มมองสตรีตรงหน้าแล้วเดินเข้ามาช้าๆ "ตายเหรอ...ถ้าตายแล้ว...ฉันจะได้กลับไปใช่ไหม" ฉันพูดอย่างเหม่อลอย น้ำตาไหลรินๆช้าๆแล้วหลับตา จากนั้นจึงลืมตาแล้วมองเขาด้วยสายตาจริงจัง 'ถ้าฉันตาย ฉันอาจจะได้กลับไป' เมื่อคิดได้อย่างนั้น ฉันจึงยิ้มแล้วยื่นมือไปจับปลายดาบโดยไม่สนว่าดาบจะบาดมือตัวเองจนบาดเจ็บแค่ไหน แล้วดึงดาบแทงเข้ามาที่หัวใจตน "พระชายา" จูจูกับเสี่ยวฮวาตะโกนลั่น ส่วนเขาก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะมองความเปลี่ยนแปลงของสตรีตรงหน้า "ไอ้คนสารเลว ชาตินี้อย่าได้เจอกันอีกเลย" นี่คือคำพูดครั้งสุดท้ายของฉัน ก่อนที่สติจะดับวูบไป "หึ คิดจะไปจากเปิ่นหวาง...ก็ต้องดูว่าเจ้ามีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่" เขาแค่นเสียงแล้วเดินมาสกัดจุดนาง เพื่อไม่ให้เลือดไหลหมดตัวตายเสียก่อน จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้น ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกบ่าวไพร่ "ตามหมอหลวง" เขาเอ่ยด้วยเสียงดุดัน ทุกคนจึงได้สติแล้วรีบย้ายกันไปทำหน้าที่ของตนครึ่งปีต่อมา ราษฎรต่างพากันเดินทางมายังชายแดนของแต่ละแคว้น เนื่องจากในวันนี้จะมีการลงนามสัญญาสงบศึกของทั้งสามแคว้น ซึ่งเริ่มจากแคว้นหลงที่ฮ่องเต้เฟยหรงส่งพระราชสาส์นมายังฮ่องเต้ของแคว้นเว่ยต้าและแคว้นซีฮัน โดยเนื้อหาสำคัญก็คือการที่ราษฎรของทั้งสามแคว้นอยู่เป็นสุข ไม่ต้องรับความเดือดร้อนใดๆจากสงครามระหว่างแคว้นอีกต่อไปแล้ว "ไฮ~" โบตั๋นโบกไม้โบกมือให้ราษฎรที่มารอชมฉากสำคัญของประวัติศาสตร์ระหว่างสามแคว้น โดยตอนนี้ฮ่องเต้เฟยหรงและโบตั๋นยืนอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้น แค่ก้าวมาอีกก้าวเดียวก็จะเป็นแคว้นเว่ยต้ากับแคว้นซีฮันแล้ว"โบกมือเป็นนางงามเลยนะแก คิกๆ" หลินหลินที่ยืนอยู่กับท่านอ๋องเซียวหรงอยู่ที่ด้านหลังฮ่องเต้พูดแล้วหัวเราะเบาๆกับท่าทางของเพื่อน"คิกๆ" องุ่นที่ยืนอยู่กับแม่ทัพจางเหว่ย และยืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แคว้นซีฮันหัวเราะเพื่อนทั้งสองเบาๆ "เริ่มพิธี" เสียงขันทีแคว้นหลงประกาศ ฮ่องเต้เฟยหรงจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนมายืนอยู่ในเขตแดนของทั้งสองแคว้น ฮ่องเต้ทั้งสองเห็นอย่างนั้นจึงก้าวข้ามเขตแดนของตนด้วย ทั้งสามแคว้นหยุดอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างแคว้นทั้งสาม ก่อนจะทำการจุดธู
หลังจากกลับวัง พวกเราก็รีบเข้าห้องมาอาบน้ำ ฉันอาบก่อนแล้วให้เขาอาบทีหลัง โดยฉันไปค้นกระเป๋าแล้วหยิบดิลโด้ที่พกมาด้วยมาเตรียมไว้ จากนั้นจึงแต่งหน้าด้วยความรวดเร็ว ปล่อยผมยาวสยาย แล้วเอาถุงน่องตาข่ายสีดำมาสวมครึ่งขา ก่อนจะมานอนอยู่บนเตียงเพื่อรอเขา "ฝ่าบาทเพคะ~" ฉันร้องเรียกเขาแล้วนอนโพสท่าราวกับนางแบบในนิตยสาร18+ โดยนอนตะแคงข้างพร้อมโชว์ก้นขาวจั๊วแล้วทำสีหน้ายั่วยวน เขาเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกลืนน้ำลายลงหนึ่งอีก แล้วพูดว่า "เจ้ายั่วยวนเราเก่งนัก" เขาพูดจบก็ใช้มือบีบก้นฉันเบาๆ "ฝ่าบาทเคยเห็นสิ่งนี้ไหมเพคะ" ฉันหยิบดิลโด้ขึ้นมาพร้อมเปิดสั่น"อย่าเพิ่งสิเพคะ...ฝ่าบาทดูนี่เสียก่อน" "มันคืออะไร" เขาถามดวยความสงสัย "ฝ่าบาทว่า...สิ่งนี้มันดูเหมือนอะไรหรือเพคะ" ฉันถามยิ้มๆ "Banana ของเรา" "คิกๆ ใช่เพคะ" ฉันหัวเราะ ก่อนหันหน้ามาแยกขาออกกว้างแล้วใช้ดิลโด้ถูไถกลีบกุกลาบ "อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊ะ" ฉันครางพร้อมทำหน้ายั่วยวน ก่อนจับนิ้วมือเขามาดูดเลีย "เจ้า" เขาพูดได้แค่นั้นก็ยิ้มมุมปากมองฉันอย่างชอบใจ แล้วจับใบหน้าฉันให้หันมาจูบเขา เข้าใช้ลิ้นสอดเข้ามาดูดรักพันเกี่ยวอย่างเร่าร้อน "จ๊วบๆ จ๊วบ" จากนั้
สองวันต่อมา วันนี้เป็นวันที่เดินทางไปชายแดน โดยการเดินทางครั้งนี้ไปแบบลับๆ มีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในระหว่างทางฝ่าบาทก็จะคอยสอบถามความเป็นอยู่ของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยไม่ได้บอกว่าตนเป็นผู้ใด เพียงบอกว่ามาจากพระราชวังเท่านั้น "เราอยากให้สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสามแคว้นสิ้นสุดลงสักที" เขาเอ่ยด้วยเสียงกลัดกลุ้ม เนื่องจากตลอดทางที่มาแม้จะพูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่แล้วพูดถึงสถานการณ์ของสามแคว้น "แล้วฝ่าบาทคิดจะทำเช่นใดเพคะ" "ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากจะสงบศึก...จะมีอะไรสำคัญไปกว่าราษฎรของเราอีกล่ะ" "ฝ่าบาทก็ทำให้เป็นจริงสิเพคะ ไม่แน่ว่าแคว้นอื่นๆก็อาจจะเช่นเดียวกับฝ่าบาท" ฉันยื่นมือไปกุมมือเขา "หากเป็นเช่นนั้นจริงๆก็ดียิ่ง เราจะเป็นผู้เริ่มส่งหนังสือสัญญาสงบศึกก่อน" "ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง" ฉันยิ้มกว้างและเกาะแขนเขาอย่างออดอ้อน หกวันต่อมา เดินทางมาหลายวันในที่สุดพวกเราก็มาถึงชายแดน วังของฝ่าบาทที่ชายแดนก็ยังคงงดงามวิจิตดังเช่นพระราชในเมืองหลวงเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น ยังมีความสะดวกสบายอยู่เช่นเดิม สิ่งแรกที่ฉันทำคืออาบน้ำเพราะในระหว่างเดินทางได้อาบน้ำไม่กี่ครั
วันต่อมา ยามอู่ (11.00 - 12.59 น.) ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็แฝงไปด้วยความฟิน บอกตรงๆว่าคิดไม่ผิดที่เลือกเขา>..จากนั้นฉันก็อาบน้ำ แต่งตัว และกินข้าว ก่อนจะเดินออกจากตำหนักของฝ่าบาทและไปตำหนักฮองเฮา ในระหว่างทางที่เดินก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังตะโกนโห่ร้อง"นั่นเสียงอะไรน่ะ" ฉันถามหมิงจู "น่าจะเป็นเสียงฝึกยิงธนูของราชองครักษ์เพคะ หม่อมฉันได้ยินว่าฝ่าบาททรงเสด็จไปทอดพระเนตรด้วยเพคะ" "ยิงธนูเหรอ...น่าสนุกแฮะ" ฉันยิ้มกว้าง จากนั้นจึงเดินไปตามเสียง ก็มาถึงลานกว้าง ที่รอบด้านทำเป็นที่นั่งล้อมรอบเหมือนอัฒจันทร์ มีเป้าธนูขนาดกลางวางเร
ฉันกับองค์หญิงเฟยเจินนั่งรอฝ่าบาทอยู่ในตำหนัก เราต่างก็รู้สึกกังวล กลัวว่าฝ่าบาทจะได้รับบาดเจ็บ เพราะด้านนอกคงมีเสียงของการต่อสู้อยู่"ทำไมเสด็จพี่เฟยฉีต้องคิดก่อกบฏด้วย...ฮือๆ...เสด็จพี่เฟยหรงทรงดีต่อท่านมากแท้ๆ" องค์หญิงเฟยเจินร้องไห้ "เฮ้อ" ฉันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร จึงได้แต่กอดปลอบองค์หญิงเฟยเจินพร้อมกับลูบหลังเบาๆ "ฮือๆ...ฮือๆ..." สองชั่วยามต่อมา ฝ่าบาทเดินเข้ามาในตำหนักด้วยชุดที่เปื้อนเลือด "เสด็จพี่" องค์หญิงเฟยเจินวิ่งเข้าไปกอดฝ่าบาทพร้อมกับร้องไห้โฮ "เจ้าอย่าร้องไห้เลย พี่ชายอย่างข้าเจ็บปวดหัวใจนัก...องค์หญิงของข้าเหมาะกับรอยยิ้มนะรู้หรือไม่" ฝ่าบาทลูบหัวองค์หญิงเฟยเจินอย่างแผ่วเบา ก่อนจะบอกข้ารับใช้ให้พาตัวองค์หญิงกลับตำหนัก หลังจากที่องค์หญิงเฟยเจินเดินออกไปแล้ว ฉันก็มองสำรวจเขาว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ "ฝ่าบาท..." ฉันเรียกเขาแล้วกอดเขาไว้ ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง"หม่อมฉันกลัวว่าพระองค์จะ...ฮือๆ" "เจ้าห่วงใยเราขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน หืม?"เขาถามเสียงเรียบแต่มีแววหยอกล้อในน้ำเสียง "ฮือๆ..." ฉันทุบอกอกเขาแล้วมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดต่อว่า "เมื่อครู่หม
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันเดินมาหยุดอยู่ที่สระบัวด้านหลังวัง และกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ "เจ้ามาแล้ว" เสียงทุ้มเอ่ยด้วยความดีใจ เขาก็คือองค์ชายเฟยฉีนั่นเอง "ข้าจะลงมือคืนนี้" ฉันยิ้มร้ายๆและมองสบตากับองค์ชายเฟยฉี "ดีมาก...ถ้าหากสำเร็จ...เจ้าก็จะเป็นฮองเฮาของข้า" เขาแสยะยิ้ม ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนกลับบิดเบี้ยว รอยยิ้มของเขามันดูโรคจิตราวกับฆาตรในภาพยนตร์ที่เคยดู เล่นซะฉันขนลุกเกรียว "อย่าลืมที่สัญญาล่ะ" ฉันยิ้มกว้าง ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วรีบเดินจากมา วันนี้เป็นงานวันเกิดขององค์ชายเฟยฉี จึงมีการจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองภายในวัง ฉันเห็นพวกนางกำนัลวิ่งวุ่นกันแต่เช้า มองดูแล้วก็รู้สึกเหนื่อยตาม ฉันเดินตามทางไปเรื่อยๆจนมาถึงห้องทรงงานของฝ่าบาทก็พบว่าฝ่าบาทไม่อยู่ "ฝ่าบาทอยู่ที่ใดหรือ" ฉันถามคนที่เฝ้าอยู่ด้านนอก"เสด็จไปที่สวนพะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินอย่างนั้นฉันจึงออกจากห้องทรงงานแล้วเดินไปที่สวน เห็นฝ่าบาทกำลังนั่งจิบชาในศาลาเก๋งจีนพลางชมดอกไม้ และมีบรรดาพระสนมนั่งและข้ารับใช้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านข้าง "ฝ่าบาทเพคะ ชาที่หม่อมฉันชงรสชาติดีหรือไม่เพคะ" เสียงออดอ้อนที่ฉันจำได้ว่าเป็นเสียงของพระสนมฉางดังขึ้