กรรณิการ์ยังนั่งทำบัญชีที่หอบกลับมาจากที่ทำงาน หลังจากที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เธอก็รีบกลับมาเชียงราย เพื่อนำความรู้ที่ได้มาตอบแทนผู้มีพระคุณ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เธอหวัง คนที่ไร่สายธารไม่ต้อนรับเธอ นายหญิงให้อภัยก็จริง แต่ไม่ให้เธออยู่ร่วมแผ่นดินในไร่ หญิงสาวจึงหอบความรู้สึกที่บอบช้ำจากมา โชคดีที่ยังมีลุงใจดีคอยช่วยเหลือ ภาคินบอกกับเธอว่าเขาทิ้งเธอไม่ได้ ช่วยมาแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ภาคินพาเธอไปส่งที่บ้าน พ่อกับแม่ และให้เงินเธอไว้อีกก้อนหนึ่งเพื่อให้เลี้ยงดูตัวเอง จนกระทั่งเธอมีงานทำ และออกมาเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับที่ทำงาน นาน ๆ ทีภาคินจะแวะมาดูสักครั้ง บุญคุณของภาคินชาตินี้เธอก็ตอบแทนไม่หมด ถึงแม้เขาจะเคยยื่นข้อเสนอให้เธอชดใช้ด้วยร่างกาย แต่พอเอาเข้า จริง ๆ เขาก็ไม่ทำ คงเพราะเขาเห็นเธอมาตั้งแต่เด็กจึงทำไม่ลง และชีวิตเขายกให้คุณหมอกไปแล้ว การที่เข้มไม่ยุ่งกับเธอก็น่าจะเป็นเพราะ นายหญิง คนอย่างภาคินทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตัวเองรักได้เสมอ
ภาพสุดท้ายที่เธอพยายามจำมาจากไร่สายธารก็คือใบหน้า หล่อเหลาคมคายของคนที่เธอรัก ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คุณหมอกก็ยังเหมือนเดิม ถึงแม้ใบหน้าจะคล้ำลงไปบ้าง แต่ก็ยังดูดีเสมอ หญิงสาวคิดมาตลอดว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อคุณหมอก มันก็แค่ความหลงที่เกิดขึ้นสมัยเด็ก ๆ เขาหล่อ รวย ก็เลยเป็นเหมือนชายในฝันของเธอ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกระถินก็รู้แล้วว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อสินธร มันไม่ใช่ความหลง แต่มันคือความรักที่ผู้หญิงคนหนึ่งมอบให้ชายที่ตัวเองรัก ถึงแม้เวลาจะผ่านมาแสนนาน และคุณหมอกก็มีครอบครัวที่อบอุ่นไปแล้ว แต่เธอก็ยังรักเขา และรักมากขึ้นเรื่อย ๆ
มือบางหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าที่อยู่ใต้ลิ้นชักโต๊ะขึ้นมาเปิดดู ในนั้นมีบันทึกที่เธอเคยเขียนเอาไว้ ตั้งแต่วันที่เห็นหน้าเขาครั้งแรก ลงวันเดือนปีกำกับไว้ชัดเจน เข้าปีที่เจ็ดแล้วที่เธอรักเขา นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามใบหน้าหล่อเหลาในกระดาษเอสี่ที่เธอพรินต์รูปเขาออกมาจากมือถือ ก่อนจะยิ้มให้ตัวเองเมื่อรู้สึกว่าชักจะเป็นเอามาก รูปนี้เธอแอบถ่ายตอนที่คุณหมอกมาซื้อปุ๋ยที่ร้านใกล้ ๆ กับที่เธอทำงานอยู่ ในรูปมีเด็กผู้ชายที่เขาจูง และเด็กผู้หญิงที่เขาอุ้มติดมาด้วย ‘ต้นน้ำกับลำธาร’ คือชื่อของเด็กสองคนนั้น
“กระถินรักคุณหมอกจังเลยค่ะ รักมากขึ้นทุกวัน” หญิงสาวบอกกับผู้ชายในรูปแล้วเก็บมันเข้าไปในสมุดบันทึก เป็นอีกคืนที่เธอทำงานเสร็จ แล้วบอกรักเขาผ่านรูปภาพก่อนนอน
ปริ๊น ๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงแตรรถที่ดังมาจากหน้าบ้านพักทำให้คนที่กำลังล้มตัวลงนอนลุกขึ้น เสียงแตรที่ดังคุ้นหูบอกให้เธอรู้ว่าภาคินแวะมา หญิงสาวขมวดคิ้วมุ่น ทำไมเข้มถึงมากลางดึกแบบนี้ เพราะปกติเขาจะโทร. มาก่อนเสมอ
ร่างบางเดินออกมาหน้าบ้าน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ภาคินกำลังพูดอะไรบางอย่างกับใครบางคนที่นั่งอยู่ในกระบะรถ กระถินเดินเข้าไปอีกสองสามก้าว ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อภาคินตวาดคนที่พามาเสียงดังลั่นไปทั้งซอย ภาคินคงเมา แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงมากับภาคินได้
“เป็นใบ้เหรอวะ! บอกให้ลงมา ก็ลงมาสิโว้ย!”
ภาคินเริ่มคุมตัวเองไม่อยู่ เมื่อท่อนไม้ขาดสารอาหารใช้ความเงียบต่อต้านเขา ถ้ารู้ว่าพาเธอมาแล้วจะประสาทเสียแบบนี้ เขาจะ ไม่กลับไปเก็บเธอมาเลย ผู้หญิงบ้านี่จงใจกวนเขาตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ถามอะไรก็ไม่พูด จะให้ไปส่งที่ไหนก็ไม่บอก ไม่รู้ว่าปากอมอะไร อยู่ที่โรงพยาบาลก็อีก... เขาพาเธอไปหาหมอแท้ ๆ แต่ยายนี่กลับสติแตก โวยวายดังลั่น แถมยังยึดท้ายรถเขาไว้แน่น เหมือนกลัวว่าเขาจะพาไปเชือดอย่างนั้น
“ลุงเกิดอะไรขึ้น แล้วหัวไปโดนอะไรมาจ๊ะ” กระถินร้องถามเมื่อเห็นแผลบนหัวภาคิน
“หัวแตก!” ภาคินหันมาตอบ ร่างสูงใหญ่เท้าเอว แล้วเดินวน ไปมารอบรถ
“อีถิน! มึงลากอีบ้านี่ลงจากรถกูที!”
ภาคินหันมาพูดกับกระถิน สิ้นเสียงของเข้มตากลมโตสองคู่ ก็เบิกขึ้น ผู้ชายคนนี้บ้าบอสิ้นดี พูดออกมาแบบนั้นได้ยังไงกัน
“ใจเย็น ๆ นะลุง ว่าแต่ใครเหรอจ๊ะ” กระถินถามภาคินถึงที่มาของคนที่นั่งเหม่อบนกระบะหลัง
“ไม่รู้ จัดการด้วยนะ หยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ให้หน่อย เดี๋ยวพรุ่งนี้สาย ๆ ให้คนขับมาคืน”
ภาคินบอกแล้วล้วงบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ วันนี้เขาเหนื่อยเต็มทน ไหนจะปวดแผล ไหนจะปวดหัวกับคนเสียสติ เขาตัดสินใจทิ้งทั้งคน ทั้งรถไว้ที่นี่ ชายหนุ่มเข็นรถมอเตอร์ไซค์ของกระถินออกมาจากใต้ถุนบ้านแล้วขับออกไป ปล่อยให้กระถินจัดการต่อ ขืนให้เขาอยู่อีกห้านาที คืนนี้คงได้ส่งคนไปลงนรกแน่ กระถินมองคนที่นั่งอยู่ในกระบะรถ ก่อนจะเกาหัวแกรก ๆ
“ทิ้งกันเลยเหรอลุง” หญิงสาวบ่นให้ภาคิน เมื่อมองหน้าคนบนรถ หน้าแบบนี้คุ้นมาก... เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็นึกไม่ออก ถ้ามากับภาคินได้ก็น่าจะยังคุยรู้เรื่อง
“คุณ... คุณคะ ลงมาจากรถก่อนนะ ตรงนี้ยุงมันเยอะ” กระถินเอ่ยลองเชิง เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับเธอดี
ร่างสูงพลิกตัวลงมานอนแผ่บนที่นอน โดยมีร่างบางตามมา กอดเกยอยู่บนออกกว้าง ภาคินหอบจนซี่โครงบานเมื่อบทรักเร่าร้อน จบลง ตาคู่คมเบิกค้างเมื่อความเหนื่อยเข้าเล่นงาน ปีนี้เขาอายุสี่สิบหกปีแล้ว ภรรยาเขาก็อายุสามสิบแล้ว ถ้าอายุเขาเพิ่มขึ้นแล้วให้ความสุขกับภรรยาได้ไม่เต็มที่ เธอจะยังรักเขาไหม“คิดอะไรอยู่คะ” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน“เปล่าครับ” ภาคินบอกก่อนจะลูบมือลงไปบนแผ่นหลังบอบบาง “โกหกไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่นะคะ เป็นอะไรคะคิ้วยุ่งเชียว”ปากบางเอ่ยถาม พร้อมกับส่งมือเรียวไปกดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของสามี“พี่กำลังคิดว่าถ้าวันหนึ่งพี่ให้ความสุขขิมไม่ได้ ขิมจะยังรักพี่ไหม” คำถามของภาคินทำให้คนที่นอนซบอยู่บนอกหน้ามองเขา ภาคินกำลังคิดอะไรอยู่ “ทำไมถามแบบนี้คะ”“ไม่รู้สิครับ พี่แก่กว่าขิมมาก พี่กลัวว่าถ้าพี่แก่มากกว่านี้ ขิมจะ ไม่รักพี่” ชายหนุ่มสารภาพความรู้สึกในใจให้เธอรับรู้“อะไรทำให้พี่คิดแบบนี้คะ”“ไม่รู้ครับ พี่พยายามจะไม่คิด แต่ก็อดไม่ได้”“พี่เข้มฟังขิมนะคะ ขิมรักเพราะพี่เข้มคือพี่เข้ม ไม่ว่าอนาคต จะเป็นยังไง ต่อให้พี่แก่กว่านี้ ขิมก็รัก ขิมจะไม่มีวันทิ้งพี่...
ทุกคนต่างก็มีความสุขที่เรื่องราวลงเอยได้ดี กระถินได้ปลดความรู้สึกผิดทั้งหมดออกจากใจ ภัทรทิราก็ได้เปิดใจ และอภัยให้เธอ สินธรเองก็ดีใจที่สุด ที่ภรรยาไม่ถือโทษโกรธกระถินแล้ว ถึงแม้เธอจะให้อภัยช้าไป จนเรื่องราวทุกอย่างกลายมาเป็นแบบนี้ก็เถอะ“ถ้าวิวให้อภัยกระถินก่อนหน้านี้ เมียมึงจะชื่อกระถินไหมวะ”สินธรตัดสินใจถามเมื่ออยู่กันตามลำพัง คำถามของเขาทำให้ภาคินอมยิ้ม เมื่อสินธรยังไม่ยอมจบเรื่องนี้“ถามแบบนี้ต้องการอะไรครับ” ภาคินถามกลับ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม“แค่อยากรู้ว่ามึงรักกระถินหรือเปล่า”“ไม่ว่าคุณวิวจะให้อภัยกระถินตอนไหน เมียผมก็ชื่อขิมครับ”ตอบก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ใบหน้า หล่อเหลาอมยิ้มเมื่อคิดถึงหน้าแม่ของลูก สินธรมองหน้าภาคินเพื่อ รอให้ภาคินอธิบายต่อ เขาอยู่กับภาคินมาตั้งแต่เด็ก และเชื่อความคิดตัวเองมาตลอดว่าภาคินรักกระถิน“ผมรักขิม รักมากที่สุด พอใจยังครับ”“กูรู้ว่ามึงโกหก มึงรักกระถิน” สินธรยังไม่ยอมแพ้ ยังต้อนภาคินต่อไป“หัวใจผมมีแค่ดวงเดียว และรักผู้หญิงแค่คนเดียว สิ่งที่เกิดขึ้นกับกระถินมันคือความสงสาร ผมสงสารเด็กก็แค่นั้น”“แล้วมึงไปรักขิมตอนไ
ภาคินบอกกับลูกน้อยที่เป็นทั้งพยานรักและโซ่ทองคล้องใจ ปิยะพาเมียกับลูกมา ก็ใช่ว่าผู้หญิงคนนั้นคือกระถิน เพราะยังไม่เห็นกับตาและไม่ได้ถามพูลศักดิ์ ที่เขายิ้มก็เพราะว่าถ้าเป็นกระถินจริง ๆ เขาจะได้หมดห่วงที่ส่งเธอไปจนสุดทาง ถ้าเป็นกระถินจริง เธอก็ไม่ได้มาตัวเปล่ามีสามีกับลูกมาด้วย พูลศักดิ์เห็นท่าไม่ดีจึงชิ่งหนี อยากให้ผัวเมียคุยกันตามลำพัง“ขิมก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดี เหมือนขิมแย่งพี่มาจากเธอยังไงก็ไม่รู้”“อย่าคิดมากสิครับ พี่รักขิม นี่ต่างหากคือคำตอบ ไม่มีใครแย่งพี่ได้ ถ้าพี่ไม่ได้รัก พี่รักขิมครับ ได้ยินชัดไหมว่าพี่รักขิม ไปบ้านใหญ่กับพี่นะครับ ไปแสดงความยินดีกับปิยะ”“ไหนว่ากระถินไม่กล้าเข้ามาที่นี่ เพราะพี่วิวไม่ชอบเธอไงคะ”“เวลาเปลี่ยนอะไร ๆ ก็เปลี่ยน กระถินคงมีเหตุผล คุณวิวก็เช่นกัน ไปกันเถอะ”“เอาเจ้าแฝดฝากแม่ไว้ก่อนไหม”“เอาไปด้วย พี่อยากอวด”“เห่อลูก มาค่ะ ส่งมาให้ขิมคนหนึ่ง” ร่างบางขยับมาใกล้ ๆ สามี เอื้อมมือมาช่วยอุ้มลูก แล้วเดินเคียงคู่ไปกับเขา เธอก็อยากรู้ว่าภรรยาของปิยะจะใช่กระถินหรือไม่ภาพในห้องรับแขกทำให้ภาคินรู้คำตอบ เมื่อเห็นปิยะกับกระถินนั่งอยู่บนพื้น ในอ้อมแขนของปิยะมีเ
เขมจิราออดอ้อน ร่างบางขยับเข้าไปจนชิดสามีก่อนจะถูไถใบหน้าไปกับแขนล่ำ ๆ ของภาคิน ส่งลูกใส่แขนอีกข้างของภาคินก่อนจะสอดแขนเข้าไปโอบเอวหนาแล้วซุกหน้าลงกับอกกว้าง สูดดมกลิ่นตัวสามีเข้าเต็มปอด พรมจูบไปทั่วแผงอกที่โผล่พ้นเสื้อออกมา“ขิมทำอะไรเนี่ย อายลูกเห็นไหม” ภาคินเอ่ยดุเมื่อเมียเขาเริ่มซุกซนไปเรื่อย เดี๋ยวใครมาเห็นจะเอาหน้าไปไว้ไหน เขาไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะอายุจะห้าสิบแล้ว“ขิมรักพี่เข้ม... ขิมรักพี่เข้มนะคะ” ปากบางพร่ำบอก จมูกเล็ก ได้รูปยังทำงานไปเรื่อย ใบหน้าภาคินเห่อร้อนจนลามไปถึงใบหูเมื่อ ลูกแมวยักยังอ้อนเขาไม่หยุด เลือดลมเริ่มเดินติดขัด อะไร ๆ ที่หลับอยู่เริ่มคึกคัก ว่าแต่เจ้าแฝดมันได้กี่เดือนแล้วนะ เขาส่งการเมียได้ยังหว่า ความคิดของภาคินต้องสะดุดเมื่อคนที่กอดเขาอุทานขึ้นมาสุดเสียง“โอ๊ย!” เขมจิราร้องอย่างตกใจเมื่อรู้สึกเจ็บที่หนังศีรษะ “ผมขิมค่ะ ผมขิม เจ้าแฝดดึงผมขิม” ร่างบางกรีดร้องเมื่อลูกแฝดที่อยู่บนตักพ่อช่วยกันดึงผมเธออย่างสนุกสนาน ภาคินหัวเราะลั่น อารมณ์ที่เตลิดเพราะถูกยายตัวเล็กก่อกวน เปลี่ยนมาเป็นเอ็นดูเมื่อเห็นมือน้อย ๆ กลมป้อมช่วยกันดึงผมแม่ เจ้าคินแค่ดึงเล่น ส่วนเจ้
ภาคินกับสินธรยังพูดจาหยอกล้อเจ้าแฝดอย่างสนุกสนาน เด็กน้อยหัวเท่ากำปั้นทำไมเก่งขนาดนี้ รู้จักส่งเสียงตอบโต้และหัวเราะตามเมื่อสินธรล้อ ไม่นานเขมจิราก็ขับรถเข้ามาจอดในโรงรถหน้าบ้าน ที่ภาคินต่อเพิ่มเติม เนื่องจากที่จอดในบ้านใหญ่ไม่พอ เพราะเมียเขาขนรถมาจากกรุงเทพฯ อีกหลายคัน แต่ละคันราคาหลักล้านทั้งนั้น ภาคินยังสงสัยไม่หายว่าทำไมเมียเขาต้องมีรถหลายคัน ขับก็ขับคนเดียว ขนซื้อเข้าไป ไม่รู้ว่าจะขับครบทุกคันหรือเปล่า เพราะเวลาไปไหนเธอก็ขับแต่กระบะของเขา“มากันแล้ว ได้อะไรมาบ้างแม่” ภาคินร้องถาม เมื่อป้านิ่มหอบของลงมาจากรถ“ของเจ้าแฝดทั้งนั้น สมัยนี้เสื้อผ้าของใช้เด็กมันเยอะ เลยเลือกนานไปหน่อย” ป้านิ่มบอก ก่อนจะเดินมาหอมหน้าผากหลานแฝด คนละฟอด“มีของหมอกไหมครับ” สินธรอ้อนเมื่อยกหลานขึ้น ป้านิ่มจะได้หอมได้ถนัด“มีแต่ของคุณหนู ๆ ค่ะ คุณหมอกโตแล้วไปซื้อเอาเอง”“หมาหัวเน่าหน้าเป็นแบบนี้นี่เอง” ภาคินแซวเมื่อเห็นสินธรทำท่าคอตก“มึงก็ไม่ต่างจากกูหรอก” สินธรย้อน“ไงคะสองหนุ่ม กวนคุณพ่อกับอาหมอกหรือเปล่า”เสียงหวานใสร้องทักมาก่อนตัวเมื่อเขมจิราลงจากรถ ยกของไปไว้ในบ้านจนหมด แล้วเดินกลับมาหาล
สองปีต่อมา“อุแว้ ๆ ๆ”“แง้ ๆ ๆ”“อุแว้ ๆ”“แง้ ๆ”เสียงเด็กน้อยร้องประสานเสียงที่ดังมาจากหน้าบ้าน ทำให้คนที่กำลังอุ่นนมอยู่ในครัวสะดุ้งโหยง มือแกร่งยกขึ้นกุมหัว เมื่อลูกแฝด ของเขาร้องแข่งกันอีกแล้ว งานที่ทำในมือถูกเร่งให้เร็วขึ้น คว่ำขวดนมที่ล้างเสร็จใส่กระจาด ก่อนจะเปิดเครื่องอุ่นนม หยิบถุงซิปเก็บน้ำนมแม่ ที่อุ่นได้ที่มาเทใส่ขวดนมขนาดสี่ออนซ์สองใบ แล้วรีบเดินไปหาหนูน้อยที่แผดเสียงแข่งกันจนดังไปทั้งบ้าน เขมจิราพาแม่นิ่มเข้าเมือง จึงฝากลูกแฝดไว้กับแม่เลี้ยงที่ บ้านใหญ่ ภาคินกลับมาจากไร่จึงไปรับลูกมาเลี้ยงเอง “มาแล้ว ๆ ใครงอแงเอ่ย พี่คินหรือเปล่า พี่คินไม่น่ารักหรือเปล่า”เสียงหยอกล้อลูกที่ดังมาก่อนตัว ไม่ได้มีผลกับเด็กน้อยในเปลเลยสักนิด เมื่อเด็กน้อยทั้งสองยังคงแข่งกันส่งเสียงร้องเหมือนเดิม เขาว่าเด็กแฝดมักจะทำอะไรเหมือน ๆ กัน เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะถ้าคนใดคนหนึ่งร้องอีกคนก็จะร้องตาม“อุ้มใครดีล่ะ” คนเป็นพ่อยืนคิดอยู่ข้างเปล เมื่อไม่รู้ว่าจะอุ้มลูกคนไหนก่อนดี “พ่ออุ้มน้องเขมนะครับ พี่คินเป็นพี่ต้องเสียสละให้น้อง” พูดกับลูกก่อนจะจับขวดนมใส่ปากแฝดพี่ แล้วอุ้มแฝ