นาฬิกาบนโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าแสดงเวลาบ่ายโมงสี่สิบห้านาที เอวาเพิ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยในห้องเช่าเล็กๆ ของเธอ ชุดที่เธอเลือกสวมใส่นั้นไม่ใช่ชุดราตรีหรูหราหรือชุดที่ดูยั่วยวนเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในบาร์ แต่เป็นเพียงชุดเดรสสีครีมเรียบๆ ที่เธอใส่ไปงานวันเกิดเพื่อนเมื่อหลายเดือนก่อน มันเป็นชุดที่ดูสุภาพและเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เธอมี มันไม่ได้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เธอเลยแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นชุดเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกว่ายังเหลือความเป็นตัวเองอยู่บ้างก่อนจะก้าวเข้าสู่โลกที่เธอไม่อยากไป
เอวาหันไปมองตัวเองในกระจกเงาบานเล็กๆ ที่แตกร้าวตรงมุมขอบ ภาพสะท้อนของหญิงสาววัย 21 ปีผู้เคยมีแววตาเป็นประกายสดใส บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยดวงตาที่บวมช้ำและว่างเปล่า ริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมสีน้ำตาลเข้มที่เคยสลวยยาวเคลียหลังตอนนี้ถูกรวบเป็นหางม้าอย่างลวกๆ "นี่คือตัวตนสุดท้ายของฉัน...ก่อนจะกลายเป็นใครอีกคน" เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้น แต่เพราะความกลัวและความประหม่าที่ถาโถมเข้ามา เธอได้แต่ภาวนาให้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เธอจะตื่นขึ้นมาแล้วลืมมันไปให้หมดสิ้น แต่ภาพใบหน้าของแม่ที่หลับใหลอย่างอ่อนแรงในโรงพยาบาลก็ฉายชัดขึ้นมาในสมองทันที ความปรารถนาที่จะให้แม่มีชีวิตรอดได้บดบังความรู้สึกกลัวและเจ็บปวดทั้งหมดไปจนหมดสิ้น เธอคว้ากระเป๋าถือใบเล็กๆ ขึ้นมาคล้องบ่า ก่อนจะหันหลังให้กับห้องเช่าแห่งนี้ ห้องที่เคยเป็นที่พักพิงและเป็นที่เก็บความทรงจำมากมายของเธอและแม่ ห้องที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ บัดนี้กลับรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เอวาโบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งที่แล่นผ่านมาอย่างเชื่องช้า แล้วบอกจุดหมายปลายทางให้กับคนขับด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ "โรงแรมลักซ์ เซ็นทารา ค่ะ" ระหว่างทางที่รถแท็กซี่เคลื่อนตัวไปตามท้องถนนในมหานครที่แสนวุ่นวาย เอวาได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพตึกรามบ้านช่องที่สลับกันไปมาดูพร่าเลือนจนแยกแยะไม่ออก เธอพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายให้กลับมาอยู่กับตัว เธอรู้ว่าตัวเองจะต้องเข้มแข็ง เธอจะต้องไม่แสดงความอ่อนแอให้หัสดินเห็นเด็ดขาด เธอจะต้องไม่ปล่อยให้เขาเห็นว่าคำพูดของเขาสามารถทำร้ายจิตใจเธอได้ถึงเพียงนี้ การเดินทางใช้เวลาเพียงไม่นาน แท็กซี่ก็จอดลงตรงหน้าอาคารสูงระฟ้าที่ถูกออกแบบอย่างหรูหราอลังการ ด้านหน้าโรงแรมมีน้ำพุขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และรอบๆ บริเวณมีพนักงานแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบเรียบร้อยยืนต้อนรับแขกที่เข้ามาอย่างยิ้มแย้ม เอวาชำระค่าโดยสารและลงจากรถด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง เธอเดินเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรมอย่างเชื่องช้า พื้นหินอ่อนมันวาวสะท้อนภาพเงาของเธออย่างพร่าเลือน รอบๆ บริเวณตกแต่งด้วยโทนสีทองและสีขาว มีโคมระย้าคริสตัลขนาดใหญ่แขวนอยู่กลางล็อบบี้และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่บ่งบอกถึงความหรูหราฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ เอวารู้สึกไม่คุ้นเคยกับสถานที่แบบนี้เลยแม้แต่น้อย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงแค่สิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้ามาอยู่ในโลกที่เธอไม่ควรอยู่ เธอเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พยายามรักษาท่าทีให้ดูสงบนิ่งที่สุด "เอ่อ...มาพบคุณหัสดิน เดทาวิรักษ์ ค่ะ" เธอเอ่ยบอกกับพนักงานหญิงด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา พนักงานหญิงผู้นั้นมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประเมินและสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะผายมือไปที่ลิฟต์ที่อยู่ด้านหลัง "เชิญที่ลิฟต์ด้านขวามือเลยค่ะ คุณหัสดินรอคุณอยู่ที่ชั้น 50 แล้วค่ะ" เอวาเดินไปที่ลิฟต์ตามที่พนักงานบอก เธอเข้าไปในลิฟต์ที่ประดับด้วยกระจกและโลหะสีทองหรูหราเพียงลำพัง เธอกดปุ่ม "50" ด้วยมือที่สั่นเทา ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นอย่างรวดเร็วจนเอวารู้สึกหวิวๆ ที่ท้องน้อย เธอยืนนิ่งอยู่หน้ากระจกสะท้อนเงาของตัวเอง พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนที่ประตูลิฟต์จะเปิดออก เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เอวาพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในโถงทางเดินที่ตกแต่งอย่างเรียบหรูและเงียบสงัด รอบๆ บริเวณไม่มีผู้คนเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ คลออยู่ตลอดเวลา เธอเดินตรงไปตามทางเดินไปจนสุดทางก่อนจะเจอกับประตูบานหนึ่งที่ใหญ่กว่าประตูทั่วไปและถูกแกะสลักอย่างสวยงาม เธอยืนอยู่หน้าประตูนั้นสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูเบาๆ "เชิญ" เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังมาจากด้านในห้อง เอวากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก มือที่สั่นเทาของเธอค่อยๆ เอื้อมไปบิดลูกบิดประตูโลหะเย็นเฉียบ แล้วค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป ห้องนี้กว้างขวางมาก มันถูกตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นแต่ก็ยังคงความหรูหราเอาไว้ โซฟาหนังสีดำขนาดใหญ่ถูกจัดวางอยู่กลางห้อง บนโต๊ะกาแฟมีแก้วกาแฟวางอยู่สองใบ มีขวดไวน์ราคาแพงตั้งอยู่บนตู้กระจกบานใหญ่ และมีกระจกใสบานใหญ่ที่เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ของมหานครที่สวยงามตระการตา และหัสดิน...เขากำลังยืนหันหลังให้เธอ มองออกไปนอกกระจกบานใหญ่นั้น ร่างกายกำยำของเขาสวมใส่เพียงเสื้อเชิ้ตสีดำที่ปลดกระดุมเม็ดบนออก เผยให้เห็นแผงอกหนาๆ ของเขา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงระยับโชยมาแตะจมูกของเอวาอีกครั้ง "มาแล้วเหรอ" เขาเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมามองเธอ "ฉันนึกว่าเธอจะไม่มาซะแล้ว" "ดิฉัน...ไม่เคยคิดจะผิดคำพูดค่ะ" เอวาตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ หัสดินหันกลับมามองเธอช้าๆ ดวงตาคู่คมสีรัตติกาลจับจ้องเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า รอยยิ้มหยันๆ ปรากฏบนริมฝีปากหยักลึกของเขา "ชุดของเธอมันดูธรรมดาไปหน่อยนะ...แต่ก็ไม่เป็นไร" เอวากำมือแน่นเพื่อระงับความโกรธที่กำลังคุกรุ่นในอก เธอไม่สนใจคำพูดของเขา เธอแค่ต้องการให้เรื่องนี้จบลงเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ "คุณต้องการอะไรจากฉันก็บอกมาเถอะค่ะ" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบที่สุด หัสดินเดินเข้ามาหาเธอช้าๆ จนเอวารู้สึกได้ถึงไอเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากตัวเขาอีกครั้ง "ใจร้อนจังนะ...ไม่ได้อยากจะดื่มกาแฟก่อนเหรอ" เขาผายมือไปที่โซฟา "นั่งก่อนสิ" เอวาปฏิเสธที่จะนั่งลง เธอไม่ต้องการที่จะอยู่ในห้องนี้แม้แต่วินาทีเดียว "ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันแค่อยากรู้ว่าคุณต้องการให้ดิฉันทำอะไร" หัสดินมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพอใจในตัวเธอ "ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอทำอะไรมากหรอก...แค่ยอมเป็นของฉัน" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกดูถูกเหยียดหยามอีกครั้ง "คุณหมายความว่ายังไงคะ" เอวาถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ "เธอก็เป็นแค่เด็กนั่งดริ้งในบาร์ไม่ใช่เหรอ? เธอคิดว่าฉันจะใช้เงินซื้อเธองั้นเหรอ? เธอไม่มีค่าพอที่จะให้ฉันต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ" คำพูดของเขาเหมือนมีดที่กรีดแทงลงบนแผลสดของเธอ "แล้วคุณต้องการอะไรจากฉันคะ!" เอวาขึ้นเสียงเล็กน้อย พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แสดงความอ่อนแอออกมา หัสดินยิ้มมุมปากเล็กน้อย "ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอเป็นเด็กเลี้ยงของฉัน" เขาเว้นจังหวะก่อนจะพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เอวารู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดลงกลางกบาล "ฉันต้องการให้เธอ...เป็นเจ้าสาวของฉัน" เอวาชะงักไปในทันที สมองของเธอประมวลผลคำพูดของเขาอย่างยากลำบาก "เจ้าสาว...ของคุณ? คุณพูดเรื่องอะไรคะ! ดิฉัน...ดิฉันไม่เข้าใจ" "มันไม่ยากที่จะเข้าใจเลยนะ" หัสดินเดินไปหยิบซองเอกสารอีกฉบับหนึ่งมาจากโต๊ะ ก่อนจะยื่นให้เธอ "ในนี้คือสัญญาทั้งหมด...เธอแค่อ่านมันแล้วเซ็นชื่อลงไปก็พอ" เอวารับซองเอกสารมาด้วยมือที่สั่นเทา เธอยื่นหน้าอ่านรายละเอียดในสัญญาอย่างรวดเร็ว "สัญญาการเป็นภรรยาโดยชอบธรรม..." เธออ่านชื่อสัญญาในใจ แล้วก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน "คุณ...คุณต้องการให้ดิฉันแต่งงานกับคุณอย่างนั้นเหรอคะ!" "ใช่" หัสดินตอบกลับมาอย่างเรียบง่าย "เธอต้องแต่งงานกับฉันและเป็นภรรยาของฉันตามกฎหมาย แลกกับการที่ฉันจะออกค่ารักษาพยาบาลให้แม่ของเธอทั้งหมด และดูแลครอบครัวของเธอจนกว่าแม่ของเธอจะหายดี" "ทำไม...ทำไมต้องเป็นดิฉันคะ" เอวาถามอย่างไม่เข้าใจ "คุณมีเงินทองมากมายขนาดนี้ คุณสามารถแต่งงานกับใครก็ได้ที่คู่ควรกับคุณ ทำไมต้องเป็นดิฉัน!" "เพราะฉันต้องการเธอ" หัสดินตอบกลับมาอย่างไม่ลังเล "ฉันต้องการผู้หญิงที่ฉันสามารถควบคุมได้ ผู้หญิงที่ไม่มีทางจะปฏิเสธคำสั่งของฉันได้" เขาเว้นจังหวะก่อนจะพูดประโยคต่อมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ "ผู้หญิงที่ต้องยอมจำนนต่อฉันในทุกๆ เรื่อง...เหมือนอย่างเธอ" เอวารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะมีใครมาพูดจาดูถูกเหยียดหยามเธอถึงเพียงนี้ เธอรู้สึกเจ็บปวดและอับอายจนแทบจะยืนไม่ไหว "คุณ...คุณเป็นคนบ้าไปแล้ว!" เธอพูดออกไปอย่างขาดสติ หัสดินไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย เขายังคงรักษารอยยิ้มหยันๆ บนใบหน้า "จะบ้าหรือไม่บ้า...เธอก็ไม่มีทางเลือกอยู่ดี" เขาเดินเข้ามาประชิดตัวเธออีกครั้ง "เซ็นสัญญานี่ซะ...แล้วแม่ของเธอจะรอด" เอวาจ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่คมของเขาอีกครั้ง เธอเห็นความจริงจังและความอำมหิตที่ซ่อนอยู่ภายในนั้น เธอรู้ว่าถ้าเธอปฏิเสธ...แม่ของเธอจะต้องตายอย่างแน่นอน "ถ้าฉัน...ถ้าฉันเซ็นสัญญาฉบับนี้แล้ว...ชีวิตของฉันจะเป็นยังไงคะ" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา "เธอก็จะเป็นภรรยาของฉันไง" หัสดินตอบ "เธอจะต้องอยู่ในความดูแลของฉันทุกอย่าง...เธอจะไม่มีสิทธิ์ที่จะไปไหน...เธอจะทำอะไรไม่ได้เลยหากไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน...เธอจะต้องเชื่อฟังฉันในทุกๆ เรื่อง...และที่สำคัญที่สุด...เธอจะต้องเป็นของฉันคนเดียว" เอวาฟังคำพูดของเขาแล้วน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับไปขังไว้ในกรงทองที่สวยงาม แต่ไร้อิสระ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีไปในพริบตาเดียว "ทำไมคุณถึงทำแบบนี้กับดิฉันคะ" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สะอื้นฮัก "ดิฉันไปทำอะไรให้คุณคะ!" "เธอไม่ได้ทำอะไรให้ฉันหรอกเอวา" หัสดินตอบด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ "แต่การที่ฉันจะช่วยชีวิตแม่ของเธอ...มันต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า...และเธอก็คือสิ่งแลกเปลี่ยนนั้น...เพราะฉันรู้ว่าเธอจะไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งของฉันได้" เอวาปิดตาลงด้วยความเจ็บปวด เธอรู้ว่าหัสดินพูดถูก เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ เธอถูกต้อนจนมุมแล้วจริงๆ ไม่มีทางหนี ไม่มีทางรอด ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเธอได้เลย! เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี ก่อนจะตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตอีกครั้ง เธอเปิดตาขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแต่ก็ยังคงมีความเศร้าสร้อยซ่อนอยู่ภายใน "ตกลงค่ะ...ดิฉันจะเซ็นสัญญาฉบับนี้" เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น "แต่คุณต้องให้คำมั่นสัญญากับดิฉันว่า...คุณจะดูแลแม่ของดิฉันอย่างดีที่สุด และคุณจะทำให้แม่ของดิฉันหายดี" หัสดินยิ้มออกมาอย่างพอใจ "ฉันให้สัญญา" เขายื่นปากกาให้เธอ "เซ็นเลย"ทันใดนั้น...ก็มีชายชุดดำสองคนเดินเข้ามาในห้อง แล้วลากเอวาออกไปจากห้องโถงใหญ่!"ไม่นะ!" หัสดินตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว "พวกแกจะทำอะไร!"หัสดินรีบลุกขึ้นจากโซฟาแล้ววิ่งเข้าไปหาเอวาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกชายชุดดำอีกคนเข้ามาขวางไว้ "อย่ายุ่งนะครับคุณดิน" ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา"พวกแกจะทำอะไรภรรยาของฉัน!" หัสดินตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว "พวกแกจะทำอะไร!""ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกนะ" นายใหญ่พูดด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ "ผมแค่อยากจะให้คุณเห็นว่า...คุณควรจะทำอย่างไรดีกับธุรกิจของคุณ"ทันใดนั้น...ก็มีชายชุดดำอีกคนเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับถาดที่เต็มไปด้วยเข็มฉีดยา!"ไม่นะ!" หัสดินตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว "พวกแกจะทำอะไร!"หัสดินพยายามจะวิ่งเข้าไปหาเอวาอีกครั้ง แต่ก็ถูกชายชุดดำอีกคนเข้ามาขวางไว้ "อย่ายุ่งนะครับคุณดิน" ชายชุดดำพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาหัสดินไม่สนใจคำพูดของชายชุดดำเลยแม้แต่น้อย เขากระโดดเข้าใส่ชายชุดดำอย่างรวดเร็ว แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของชายชุดดำอย่างรุนแรง! ชายชุดดำล้มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ หัสดินรีบวิ่งเข้าไปหาเอวาอย่างรวดเร็ว แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของชายชุดดำที่กำลังจะฉีดเข็มฉ
รถยนต์คันหรูของ แดเนียล แล่นไปตามท้องถนนในมหานครที่สว่างไสวด้วยความเร็วสูง แต่ในหัวใจของ เอวา กลับมืดมิดและเต็มไปด้วยพายุที่โหมกระหน่ำ เธอได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ในรถอย่างหมดอาลัยตายอยาก ภาพของ หัสดิน ที่กำลังจะไปทำสัญญาซื้อขายธุรกิจที่อันตรายที่สุดในชีวิตเพื่อแลกกับชีวิตของแม่ของเธอมันเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาอยู่ในหัวของเธอเอวารู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจมากที่เธอได้ทำให้เขาต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เธอไม่เคยคิดว่าผู้ชายอย่างหัสดินจะยอมทำอะไรที่อันตรายขนาดนี้เพื่อเธอเลยแม้แต่น้อย"คุณแดเนียลคะ...พาหนูไปหาคุณดินเดี๋ยวนี้" เอวาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "หนู...หนูต้องไปหยุดเขาให้ได้""แต่คุณเอวาครับ...มันอันตรายนะครับ" แดเนียลพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล "นายใหญ่เป็นคนอันตราย...ถ้าคุณไป...คุณอาจจะเป็นอันตรายได้""หนูไม่กลัวหรอกค่ะ" เอวาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ "หนูรู้ว่าหนูจะต้องทำอะไร"แดเนียลเงียบไปในทันที เขาเข้าใจดีว่าเอวาเป็นคนอย่างไร เธอเป็นคนที่มีความกล้าหาญและไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาขับรถออกไปจากโรงพยาบาลแล้วขับตรงไปยังคฤหาสน์ของนายใหญ่ทันทีในขณะที่เขากำลังขับรถไปที่คฤหาสน
ในค่ำคืนที่ท้องฟ้าไร้ดวงดาว หัสดิน ขับรถยนต์คันหรูของเขาเข้าไปจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ของ นายใหญ่ แห่งตระกูลวรวิทย์อย่างสง่างาม แม้ภายนอกจะดูเยือกเย็นและน่าเกรงขาม แต่ภายในใจของเขากำลังร้อนรุ่มด้วยความโกรธแค้นที่อัดแน่น เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำธุรกิจอย่างที่นายใหญ่คาดหวัง แต่เขามาเพื่อทวงคืนความยุติธรรมให้กับสิ่งที่พวกมันทำไว้กับ เอวา และครอบครัวของเธอ!ทันทีที่หัสดินก้าวลงจากรถ ก็มีชายชุดดำสองคนเดินเข้ามายืนขนาบข้างเขาอย่างเงียบๆ พวกมันเป็นลูกน้องของนายใหญ่และกำลังรอให้เขาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ หัสดินไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างไม่เกรงกลัวภายในคฤหาสน์เต็มไปด้วยความหรูหราอลังการ มีรูปภาพและรูปปั้นโบราณวางประดับอยู่ทั่วบริเวณ และที่ห้องโถงใหญ่...มีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่บนโซฟา เขาในชุดสูทสีขาวดูสง่างามและน่าเกรงขามอย่างที่เธอเคยเห็นในครั้งแรก เขากำลังยกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างไม่รีบร้อน"สวัสดีครับคุณดิน" ชายชราคนนั้นทักทายหัสดินด้วยรอยยิ้ม "ผมก็ว่าแล้วว่าคุณจะต้องมาหาผม""นายท่าน" หัสดินตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว "ผมมาที่นี่ไม่ได้มาเพื่อทำธุรกิจ...แต่ผมมาเพื่
หลังจากพาเอวาออกมาจากโรงพยาบาลและกลับมาที่คฤหาสน์ หัสดิน ก็ไม่ได้สนใจเธออีกเลย เขาทิ้งเธอไว้ในห้องนอนเพียงลำพัง แล้วเดินลงมาที่ห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความโกรธ เขาไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ แม่ของเอวา อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่ทีมแพทย์ที่ดีที่สุดก็ดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาหัสดินหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรหา หมอวิน ทันที "อาการของแม่เอวาเป็นยังไงบ้าง" เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา"ผมขอโทษนะครับคุณดิน" หมอวินตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ "ผมพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่า...หัวใจของท่านจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ""เป็นไปได้ยังไง" หัสดินถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย "ฉันให้ทีมแพทย์ที่ดีที่สุดไปดูแล...ทำไมอาการถึงทรุดลง"หมอวินเงียบไปในทันที เขาไม่รู้จะตอบหัสดินอย่างไรดี "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ...แต่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล""ไม่ชอบมาพากลเหรอ" หัสดินถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "แกหมายความว่ายังไง""ผมรู้สึกเหมือน...เหมือนมีใครบางคนพยายามที่จะทำลายการรักษาของท่านครับ" หมอวินตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ "ยาที่ผมสั่งให้ท่านก
เช้าวันรุ่งขึ้น... เอวา ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้งในอก เธอแทบไม่ได้หลับเลยทั้งคืนจากเหตุการณ์เมื่อวาน เธอลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆ แล้วเดินไปที่หน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นแสงอาทิตย์อ่อนๆ ที่เริ่มสาดส่องเข้ามาในห้อง แต่แสงสว่างนั้นไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเธอดียิ่งขึ้นเลยแม้แต่น้อยเธอทำธุระส่วนตัวและแต่งตัวด้วยชุดที่ดูสุภาพเรียบร้อยที่สุดเท่าที่เธอมี ในขณะที่เธอกำลังสวมเสื้อผ้าอยู่นั้น เธอก็เห็นรอยฟกช้ำและรอยแดงที่ปรากฏอยู่บนร่างกายของเธอ เธอใช้มือลูบเบาๆ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง เธอรู้สึกเหมือนร่างกายและจิตใจของเธอได้ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดีเมื่อเธอเดินลงไปที่ชั้นล่าง เธอก็เห็น หัสดิน ยืนรออยู่ตรงหน้าคฤหาสน์ เขาในชุดสูทสีดำดูสง่างามและน่าเกรงขามอย่างที่เธอเคยเห็นในครั้งแรก เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ผายมือไปที่รถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ เอวาขึ้นรถไปกับเขาอย่างเงียบเชียบ รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนในมหานครที่แสนวุ่นวาย เอวาได้แต่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพตึกรามบ้านช่องที่สลับกันไปมาดูพร่าเลือนจนแยกแยะไม่ออก เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง แต่โลกที
รถยนต์คันหรูของ หัสดิน แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าคฤหาสน์ด้วยความเร็วสูง ทันทีที่รถหยุดนิ่ง เอวา ก็ถูกลากลงจากรถอย่างรุนแรง เธอสะดุดล้มลงกับพื้น แต่หัสดินไม่สนใจ เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง เขาเดินตรงเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยแต่เต็มไปด้วยความโกรธที่คุกรุ่นอยู่ในอกเอวาพยายามลุกขึ้นยืนด้วยร่างกายที่บอบช้ำ เธอรู้สึกเหมือนร่างกายทั้งร่างไม่มีเรี่ยวแรงเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ต้องฝืนใจลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามหลังเขาเข้าไปในคฤหาสน์อย่างช้าๆ เธอเดินตามหลังเขาไปจนถึงห้องโถงใหญ่ เธอเห็นหัสดินเดินขึ้นบันไดไปยังห้องทำงานของเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมเมื่อหัสดินหายลับไปจากสายตา เอวาก็เดินเข้าไปหา ป้าสร้อย แม่บ้านที่ดูแลคฤหาสน์แห่งนี้มาตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นเด็กเล็กๆ "ป้าสร้อยคะ...คุณดินยังโกรธอยู่ใช่ไหมคะ" เธอถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือป้าสร้อยมองดูเอวาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสารและห่วงใย "คุณดินไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะหนูเอวา...ตั้งแต่หนูมาอยู่ที่นี่ คุณดินก็เปลี่ยนไปมาก"คำพูดของป้าสร้อยทำให้เอวาน้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทำให้หัสดินต้องเสียใจ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกเลยแม