ณ วังขององค์ชายสามฟู่อวิ้นหลง
"เจ้าว่าอย่างไรนะ!"
หลังจากได้รับรายงานจากข้ารับใช้คนสนิท ฟู่อวิ้นหลงถึงขั้นตวาดเสียงดังทั้งจวน ใบหน้าเขาซีดเผือดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
"เรียนองค์ชาย ฝ่าบาททรงมีราชโองการถอนหมั้นพระองค์กับคุณหนูเฟิ่ง" ข้ารับใช้คนสนิทของฟู่อวิ้นหลงรายงานเรื่องที่ได้ยินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
"ไม่จริง จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องการถอนหมั้นเลย"
สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าไม่เชื่อในเรื่องที่ข้ารับใช้นำมารายงานแม้แต่น้อย
"ไปเตรียมเกี้ยวให้ข้า ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อตอนนี้"
ข้ารับใช้ได้รับคำสั่งจึงเดินออกไป เพื่อไปเตรียมเกี้ยวให้ฟู่อวิ้นหลงตามคำสั่งที่ได้รับ
"นางน่ะรึจะกล้าถอนหมั้นข้า ต้องมีผู้ใดไปเป่าพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่"
ฟู่อวิ้นหลงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเฟิ่งอวี่เหิงจะขอถอนหมั้นกับตน เพราะเขารู้ดีว่านางทุ่มเทให้เขาเพียงใด ตนชี้นกเป็นนก ชี้ไม้ก็เป็นไม้ แล้วอยู่ ๆ จะมีราชโองการถอนหมั้นได้อย่างไร ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่
ณ ห้องทรงงานของฮ่องเต้
"ถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ" ชายผู้สูงศักดิ์ในชุดสีทองที่กำลังอ่านฎีกาอยู่นั้นไม่ได้สนใจผู้มาเยือนตนแต่อย่างใด เขาสนใจแต่ฎีกาที่อยู่ตรงหน้าตนเองเท่านั้น
"ว่าเรื่องของเจ้ามา"
"เสด็จพ่อทรงออกราชโองการถอนหมั้นของข้ากับเฟิ่งอวี่เหิงได้อย่างไรกัน เหตุใดเสด็จพ่อไม่เรียกข้ามาถามก่อน"
"หึ"
ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงได้ยินอย่างนั้นก็แค่นเสียงออกมา นึกไว้ไม่มีผิดว่าหลังจากที่ออกราชโองการถอนหมั้น เจ้าสามต้องรีบมาหาตนเป็นแน่
"ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการแบบนี้อยู่แล้วหรือ?"
"มะ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ต้องการถอนหมั้นกับนาง"
"แล้วการที่เจ้าไปกับสตรีอื่นที่ไม่ใช่คู่หมั้นของตนหมายความว่าอย่างไร ไม่ใช่เจ้าชอบพอกับคุณหนูอี้หรอกรึ?"
คนที่ถูกท้วงติงถึงกับชะงัก ฟู่อวิ้นหลงเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง แสดงว่าเสด็จพ่อทรงทราบเรื่องของตนแล้ว
"แต่ข้าก็ให้นางเป็นชายาเอกนะเสด็จพ่อ"
ตนไม่ได้ต้องการถอนหมั้นกับเฟิ่งอวี่เหิง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตั้งใจแต่งตั้งเฟิ่งอวี่เหิงเป็นพระชายาเอกเพื่อให้มีเกียรติสมกับฐานะของนางอยู่แล้ว และจะแต่งอี้หลิงฟางให้มาเป็นชายารองตามที่ได้คาดหวังไว้
ฮ่องเต้ได้ยินในสิ่งที่โอรสตัวเองกล่าวออกมาถึงกับหัวเสีย ไอ้บุตรชายสมองหมูคนนี้ยังคิดไม่ได้อีกรึว่าเพราะเหตุใดคุณหนูเฟิ่งถึงขอถอนหมั้นด้วย
"อวิ้นหลง สตรีบางคนไม่ได้สนใจในฐานะชื่อเสียงเพียงอย่างเดียวหรอกนะ ตอนที่เจ้าขอหมั้นหมายนาง เจ้าก็เป็นคนรับปากกับนางเองไม่ใช่รึว่าจะมีแค่นางเป็นสตรีข้างกายเพียงผู้เดียว?"
ครั้นได้ยินแบบนั้นฟู่อวิ้นหลงก็นึกถึงวันที่ตนเอ่ยคำมั่นสัญญาให้กับเฟิ่งอวี่เหิงก่อนที่จะได้หมั้นหมายกัน
‘องค์ชาย พระองค์สัญญากับหม่อมฉันได้หรือไม่ว่าจะมีหม่อมฉันแต่เพียงผู้เดียว หม่อมฉันเติบโตมาจากความรักที่ท่านพ่อมีแค่ท่านแม่เป็นคู่ชีวิต ไม่มีแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียง หากองค์ชายรับปากข้าก็จะยอมหมั้นด้วยเพคะ’
‘ได้ ข้ารับปาก แล้วเจ้าเล่าจะมีแต่ข้าผู้เดียวใช่หรือไม่?’
‘หม่อมฉันสัญญา ว่าจะมีพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน’
"เสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็ทรงทราบว่าพวกเราจะมีแค่ชายาเดียวไปได้อย่างไร นางเป็นถึงว่าที่พระชายาเอกจะมาจิตใจแคบเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ ไม่ว่าจวนใดล้วนมีหลายเมียทั้งนั้น"
"แต่ไม่ใช่ที่จวนสกุลเฟิ่งและกับเฟยเทียน ขนาดข้าจะพระราชทานสมรสให้ เจ้านั้นยังปฏิเสธข้าอย่างไม่ไยดี ทำเหมือนว่าข้าไม่ใช่ฮ่องเต้เลยสักนิด อวิ้นหลง... พ่อจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวของเจ้าเอง แคว้นเราเป็นแคว้นใหญ่และแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใด ถึงขั้นที่จะต้องยอมรับการสมรสจากต่างแคว้นหรือจากเหล่าขุนนางเพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ ทุกอย่างหากบรรดาบุตรของข้าไม่ยินยอม ข้าผู้เป็นบิดาก็ไม่บังคับจิตใจ ไม่ใช่บังคับเพื่อแก่งแย่งอำนาจกันทางการเมือง บิดาคงบอกเจ้าได้เพียงเท่านี้ เจ้ากลับไปเถิด ข้าจะอ่านฎีกาต่อ เพราะวันนี้ข้าเสียเวลากับเจ้ามามากแล้ว"
ฟู่อวิ้นหลงได้ฟังในสิ่งที่บิดาสั่งสอนก็นิ่งไป เขายืนเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณทำอะไรไม่ถูก
ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงสัมผัสได้ถึงความนิ่งเงียบของบุตรชายตน ก็แค่นเสียงหัวเราะออก สงสัยวิญญาณหลุดออกจากร่างแล้วเป็นแน่ เมื่อคิดได้แบบนั้นก็บอกเรื่องบางอย่างเพื่อจะดึงวิญญาณของบุตรตนกลับเข้าร่างโดยเร็ว
"อ๋อ ข้าลืมเล่าให้เจ้าฟัง เหล่าบรรดาพี่น้องของเจ้าที่ได้รู้ข่าวการถอนหมั้นของเจ้ากับคุณหนูเฟิ่งต่างพากันมาแย่งขอสมรสพระราชทานจากข้า หากข้าไม่ได้ออกราชโองการให้นางเลือกคู่ครองด้วยตนเอง ข้าคงจะวุ่นวายทั้งวันเป็นแน่ เฮ้อ คุณหนูผู้นี้ช่างมากวาสนาเสียจริง มีแต่คนอยากแต่งไปเป็นพระชายา"
ฮ่องเต้แสร้งทำท่าทีกล่าวคำออกมาอย่างเหนื่อยใจ ทว่าคนที่ได้ยินอย่างนั้นใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ถึงกับกำหมัดเข้าหากันจนเล็บแทบจิกเนื้อตนเอง
"ไม่ ข้าไม่ยินยอมให้นางแต่งกับผู้ใด นางต้องเป็นชายาเอกของข้าคนเดียวเท่านั้น!" ฟู่อวิ้นหลงพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
"จะเป็นได้อย่างไร อย่าลืมสิว่าเจ้ากับนางถอนหมั้นกันแล้วและอีกอย่างข้าได้ออกราชโองการให้นางเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเอง หึ เจ้าจะทำเช่นไรเล่า...บุตรชายข้า"
"ยังไงข้าก็ไม่ยอม ข้าจะให้นางมาเป็นชายาเอกของข้าให้จนได้พ่ะย่ะค่ะ"
จบเรื่องจะพูดคุยต่อแล้ว ฟู่อวิ้นหลงจึงทูลลาเสด็จพ่อตนเอง เขาคิดเพียงเรื่องถอนหมั้นที่เกิดขึ้น ลืมแม้กระทั่งเรื่องที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทูลขอสมรสพระราชทานตนกับอี้หลิงฟางไปทันที
ฮ่องเต้ฟู่เหวยหมิงมองคนที่เดินออกไปจากห้องแล้วก็สรวลออกมาอย่างพอใจ สมน้ำหน้า...
ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะอย่างมีความสุขอยู่นั้น จู่ ๆ เฟิ่งฮูหยินก็ร้องออกมาคล้ายว่าเจ็บปวดบางอย่าง เฟิ่งฮูหยินถึงกับบีบมือสามีของตนแน่นด้วยความเจ็บปวด สร้างความตื่นตระหนกให้กับทุกคนในตอนนี้เป็นอย่างมาก"ฮูหยิน เจ้าเป็นอะไร?" เฟิ่งจินหยวนกุมมือของภรรยาด้วยความห่วงใย"โอ๊ย-! ท่านพี่จู่ ๆ ข้าก็เจ็บท้องเจ้าค่ะ""หรือว่าท่านพี่เจ็บท้องจะคลอด?"กู่ฮูหยินแสดงความคิดเห็นออกมาเพราะจากที่นับเดือนการตั้งครรภ์ของเฟิ่งฮูหยินก็ถือว่าถึงเวลาสมควรแล้วอีกอย่างท่าทางเช่นนี้ต้องใช่อย่างแน่นอน ทำเอาผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับแตกตื่นด้วยความตกใจปนกับความดีใจจนทำอะไรไม่ถูกเหล่าบรรดาสาวใช้รีบไปตามหมอมาทำคลอดทันที ทำให้สถานการณ์ตอนนี้นั้นวุ่นวายยิ่งนักต่างจากตอนเช้าโดยสิ้นเชิงตอนนี้ทุกคนต่างพากันยืนอยู่ที่หน้าห้องทำคลอดอย่างใจจดใจจ่อกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในไม่ช้า"ท่านพ่อ...ข้าตื่นเต้นจังเลยเจ้าค่ะ"เฟิ่งอวี่เหิงยื่นอยู่ใกล้ ๆ บิดาที่กำลังมีสีหน้าตื่นเต้นไม่แพ้กัน"พ่อก็เช่นกัน"ในขณะที่ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ การรอคอยก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อได้ยินเสียงเด็กทารกที่กำลังร้องออกมาพร้อมกับประตูที่เปิดออก"ย
"เดี๋ยว!!"เฟิ่งอวี่เหิงชะงักไปครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้หันกลับไปมองแต่อย่างใด นางไม่อยากให้กู่จิ้นอันเห็นน้ำตาที่กำลังไหลริน ในห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้งเฟิ่งอวี่เหิงคิดว่าอย่างไรวันนี้ก็มาแล้ว พูดให้จบเสียตอนนี้เลยดีกว่า เพราะหากกลับไปโดยที่ยังไม่ได้พูดอะไรก็จะเป็นการค้างคาใจต่อกันอีก พอคิดได้เช่นนั้นนางก็พ่นลมหายใจออกมาเพื่อกลั้นอารมณ์ที่เก็บความเสียใจไว้อยู่"ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าทำไปมันผิด เพราะข้าแค่อยากปกป้องตัวเองจากคนที่คิดไม่ดีต่อข้า และที่วางแผนไปทั้งหมดโดยที่ไม่ได้บอกท่าน เพราะข้ากลัวว่าท่านจะไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนี้ ดีไม่ดีท่านอาจจะห้ามข้าไม่ให้ข้าไปร่วมงานด้วยซ้ำ เพราะข้ารู้ว่าท่านนั้นเป็นห่วงข้าเพียงใด และข้าก็รู้ว่าท่านไม่ยอมให้ข้าต้องเจ็บตัวอย่างแน่นอน"เฟิ่งอวี่เหิงหยุดพูดไปครู่หนึ่งเพื่อดูท่าทีของอีกฝ่ายทว่ากู่จิ้นอันก็ยังไม่มีท่าทีตอบรับแต่อย่างใด แต่ไม่ว่าอย่างไรเฟิ่งอวี่เหิงก็ตัดสินใจพูดต่อไป เพราะหากไม่พูดวันนี้ วันต่อไปอาจจะไม่ได้พูดอีกย่อมเป็นได้"ที่ข้าต้องทำเช่นนี้กับอี้หลิงฟาง เพราะคนเช่นนางหากไม่โดนเหมือนที่กระทำกับผู้อื่นบ้างก็คงไม่หยุดคิดร้ายเช่นกัน คนเช่นนางน
เช้าวันใหม่วันนี้เฟิ่งอวี่เหิงลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า เพราะวันนี้นางมีที่จะไปคือจวนสกุลกู่หลังจากที่เมื่อคืนได้พูดคุยกับบิดาแล้ว เฟิ่งอวี่เหิงก็ได้ตัดสินใจทำตามที่กู่ม่านชิงและบิดาแนะนำ คือในเมื่อเขาไม่มาเราก็ต้องไปหา จะได้ปรับความเข้าใจกันสักทีวันนี้นางใส่ชุดสีขาวปักด้วยลายหมู่ตานทำให้ดูสวยงามยิ่งนักชินชินสาวใช้คนสนิทยกถาดปิ่นมาให้เฟิ่งอวี่เหิงเลือก พร้อมกับเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม"คุณหนูวันนี้ปักปิ่นอันไหนดีเจ้าคะ?"สายตาของเฟิ่งอวี่เหิงมองดูปิ่นในถาดที่ชินชินยกมา ได้ไปสะดุดกับปิ่นชิ้นหนึ่งเป็นปิ่นลายหูเตี๋ยสีฟ้า จึงเอื้อมไปหยิบขึ้นมาดูด้วยสายตาเปล่งประกายนางจำได้ว่าปิ่นชิ้นนี้เป็นชิ้นแรกที่กู่จิ้นอันซื้อให้ตอนที่ไปเที่ยวตลาดด้วยกัน ทว่าตั้งแต่ที่ได้มายังไม่เคยปักเลยสักครั้ง'ข้าเอาใจท่านขนาดนี้หากท่านยังไม่หายโกรธ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว'คิดได้อย่างนั้นเฟิ่งอวี่เหิงจึงให้ชินชินปักปิ่นชิ้นนี้ให้นางหลังจากที่ทำอะไรเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เฟิ่งอวี่เหิงจึงเดินทางไปยังจวนสกุลกู่ตามที่คาดหวังไว้ทันทีใช้เวลาราวสองเค่อก็มาถึงที่หมาย เฟิ่งอวี่เหิงเดินเข้าไปข้างในโดยมีสาวใช้นำทางให้น
"อะไร?" กู่ม่านชิงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่เฟิ่งอวี่เหิงถาม"ข้ารู้นะว่าวันนั้นเจ้าไปไหนกับรุ่ยอ๋อง บอกข้ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ""ก็แค่ไปกินข้าวด้วยกัน มีอะไรให้น่าตื่นเต้นกัน"แม้ปากจะพูดไปอย่างนั้น แต่แก้มของกู่ม่านชิงตอนนี้กลับแดงระเรื่อขึ้นมา ทำเอาเฟิ่งอวี่เหิงถึงกับหลุดหัวเราะให้กับท่าทางของสหาย"ก็ได้ ๆ ข้าเชื่อเจ้าก็ได้"เห็นว่าถูกล้อเลียนจากสหาย กู่ม่านชิงก็ได้แต่ย่นจมูกใส่หญิงสาวตรงหน้า"แล้วรุ่ยอ๋องดีกับเจ้าหรือไม่?" ท้ายเสียงมีความห่วงใย"ก็ดีนะ...” กู่ม่านชิงทำท่าครุ่นคิดถึงคำพูดในวันนั้น “นี่เหิงเหิง รุ่ยอ๋องบอกจะพาข้าไปท่องเที่ยวเมืองอื่นด้วย"คิดถึงเรื่องนี้ทีไรกู่ม่านชิงถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ เพราะตื่นเต้นเรื่องที่ตนจะได้ไปเที่ยวตามที่เคยปรารถนาเอาไว้ เมื่อมีคนจะทำปรารถนาของนางให้เป็นจริง มีรึกู่ที่นางจะปิดบัง"ไหนเจ้าว่าไม่ตื่นเต้น?""ข้าไม่คุยกับเจ้าแล้ว"กู่ม่านชิงที่โดนหยอกล้อเช่นนั้นถึงกับแง่งอนเพราะความเขินอาย เฟิงอวี่เหิงก็ได้แต่ยิ้มขำให้กับท่าทีเช่นนี้ สตรีสองคนนั่งคุยกันจนถึงช่วงบ่าย กู่ม่านชิงก็ขอตัวกลับจวนของตนในขณะที่กู่ม่านชิงกำลังออกจากโรงน้ำชาของเฟิ่
"เรื่องที่พาเจ้าไปเที่ยวยังเมืองต่าง ๆ เป็นข้าแทนได้หรือไม่?""ฮ่า ฮ่า ฮ่า พระองค์ทรงล้อหม่อมฉันเล่นอีกแล้ว"กู่ม่านชิงแสร้งหัวเราะออกมาเบา ๆ กับคำพูดของคนที่จะพานางไปเที่ยว จะให้นางเชื่อได้อย่างไรว่ารุ่ยอ๋องจะพานางไปได้ ในเมื่อตำแหน่งนั้นที่ติดตัวอยู่นั้นมากด้วยภาระและหน้าที่ จะทิ้งภาระเพราะว่าจะพานางไปเที่ยวอย่างนั้นรึ ไม่ว่าอย่างไรกู่ม่านชิงก็ไม่เชื่อเด็ดขาด"..." ฟู่เฟยเทียนในขณะที่ฟู่เฟยเทียนกำลังจะบอกเรื่องบางอย่างกับกู่ม่านชิงนั้น เสี่ยวเอ้อก็นำอาหารที่สั่งเข้ามาก่อน ทำให้บทสนทนานั้นต้องยุติลงเพื่อที่ทั้งคู่จะได้รับประทานอาหารกันในระหว่างที่ทั้งคู่กำลังรับประทานอาหารด้วยกันอย่างเงียบ ๆ นั้น ฟู่เฟยเทียนก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา"ชิงเอ๋อร์ เรื่องที่ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยว ข้าพูดความจริง เพราะนั่นก็เป็นความฝันของข้าเช่นกัน" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงจัง"พระองค์จะไปท่องเที่ยวได้อย่างไรเพคะ ในเมื่อพระองค์เป็นรุ่ยอ๋อง เว้นเสียแต่พระองค์จะไม่ได้เป็นท่านอ๋องแล้ว"กู่ม่านชิงยังคงไม่เชื่อคำพูดของฟู่เฟยเทียน เพราะตราบใดที่ฟู่เฟยเทียนยังเป็นอ๋องอยู่ก็ไปไหนตามอำเภอใจไม่ได้ เพราะภาระที่ต้องดูแลประชา
ทันทีที่เห็นว่าเป็นฟู่เฟยเทียนคิ้วงามก็ขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เพราะกู่ม่านชิงนั้นคิดว่าฟู่เฟยเทียนตามกู่จิ้นอันออกไปแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่ายังไม่ไปไหน"จะไปไหน""ไปหาท่านพี่จิ้นอันเพคะ หม่อมฉันต้องอธิบายให้ท่านพี่จิ้นอันเข้าใจ""ไม่ต้องไป""ไม่ได้เพคะ ต้องไป"กู่ม่านชิงเริ่มจะไม่เข้าใจในการกระทำของฟู่เฟยเทียน นอกจากจะรั้งไม่ให้นางไปอธิบายเรื่องที่เฟิ่งอวี่เหิงกับนางวางแผนให้กู่จิ้นอันฟัง ยังจับมือนางไม่ปล่อยอีก"ข้าหิวข้าว""หิวก็ไปกินสิเพคะ""เจ้าต้องไปกินกับข้าด้วย""หม่อมฉันไม่หิวเพคะ หม่อมฉัน...ว้าย! รุ่ยอ๋องปล่อยมือหม่อมฉันก่อนเพคะ"ฟู่เฟยเทียนนั้นไม่ฟังกู่ม่านชิงพูดแต่อย่างใด ชายหนุ่มดึงมือของกู่ม่านชิงลงบันไดไปยังชั้นล่างเพื่อเดินทางไปยังโรงเตี๊ยมทันที"รุ่ยอ๋อง ได้โปรดปล่อยมือของหม่อมฉันก่อนเพคะ หากมีผู้ใดเห็นพระองค์จะเสื่อมเสียชื่อเสียงเอานะเพคะ" น้ำเสียงที่พยายามออดอ้อนให้ฟู่เฟยเทียนปล่อยมือ"เจ้าก็ต้องรับผิดชอบข้า เพราะเจ้าเป็นคนทำให้ข้าเสียชื่อเสียงเป็นที่ครหาของชาวบ้าน แล้วก็คงไม่มีสตรีใดอยากแต่งงานกับข้าเพราะว่าข้านั้นเสียชื่อเสียงไปแล้ว เพราะฉะนั้น เจ้าต้องรับผิดชอบ