บ่ายวันอาทิตย์ บ้านกุลธาราวงศ์เงียบสงบ แดดอ่อนๆ พาดผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาในห้องรับแขก
อิงลดานั่งบนโซฟา พับมือลงบนตักอย่างเรียบร้อย ชุดเดรสสีครีมอ่อนทำให้เธอดูสงบ เรียบร้อย และแตกต่างจากภาพสาวมั่นในวันแรกที่เจอกัน
“ชิมขนมสิลูก แม่ให้คนยุพากับยุพินจัดมะยมแช่อิ่มไว้ตั้งแต่เช้า” ดาริกายื่นจานผลไม้ให้ด้วยรอยยิ้มละมุน
“ขอบคุณค่ะคุณน้า” อิงลดารับอย่างเกรงใจ ยิ้มจางๆ แล้วหยิบมะยมขึ้นมากัดช้าๆ
“ไม่ต้องเกร็งเลยจ้ะ เรียกแม่ก็ได้ อิงก็เหมือนลูกคนหนึ่ง “
คุณหญิงพูดพร้อมวางถ้วยชาลง แล้วยิ้มตาหยีอย่างเมตตาอิงลดายิ้มรับอีกครั้ง เธอไม่ใช่คนแสดงความอ่อนน้อมได้ง่ายๆ แต่กับผู้หญิงตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น เธอกลับรู้สึกว่ายิ่งแสดงออกแบบนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“พี่ภีมเขาเป็นลูกชายคนเดียวของแม่ แม่เลยห่วงเป็นพิเศษ ได้หนูอิงมาแม่รู้สึกหายห่วงขึ้นเยอะ” คุณหญิงพูดต่ออย่างอารมณ์ดี
“เขาดูเก่งมากเลยค่ะ เหมือนคุณแม่จะภูมิใจในตัวเขามาก”
“มากเลยล่ะจ้ะ” ดาริกาถอนหายใจเบาๆ อย่างทั้งปลาบปลื้มและเหนื่อยใจ
“แต่เจ้าตัวน่ะสิ ไม่เคยเปิดใจให้ใครเลย ดูตัวมากี่คนก็ปฏิเสธหมด”
“เขาก็อาจจะยังไม่เจอคนที่ใช่มั้งคะ”
“นั่นสินะ…แม่เองก็นึกว่าเขาจะครองโสดไปจนถึงแก่ แต่พอเขายอมตกลงเรื่องลูก แม่ก็แอบดีใจมาก” หญิงวัยกลางคนหัวเราะคิกแบบเบาใจ
“เขาคง…อยากลองเปิดใจดูบ้างมั้งคะ” อิงลดาเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มจางๆ
“แม่ก็คิดงั้นเหมือนกัน” ดาริกายิ้มหวาน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง
“หนูเองก็พูดจาน่ารัก เป็นเด็กมีมารยาท แม่อยากให้พวกเราปรับตัวเข้าหากันนะจ๊ะ”
“หนูจะพยายามค่ะ…”
จากนั้นบทสนทนาดำเนินต่อด้วยเรื่องทั่วๆ ไป ของชอบของภีมวัชและนิสัยส่วนตัวของเขาที่ชอบความสันโดษ อิงลดารับฟังเงียบๆ และตอบเป็นระยะๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
แต่ขณะเดียวกัน ในใจเธอกลับวูบขึ้นมาด้วยความรู้สึกบางอย่าง
คุณแม่ของเขาน่ารักขนาดนี้ เป็นผู้หญิงที่รอให้ลูกชายแต่งงานอย่างตั้งใจ แต่เธอกลับรู้ความจริงที่อีกฝ่ายไม่รู้ว่าลูกชายคนนี้ไม่ได้ชอบผู้หญิงเลย
อิงลดาก้มลง ซ่อนแววตาปนสงสารไว้ลึกๆ ถ้าดาริการู้จะเสียใจมากแค่ไหนกันนะ เธอเม้มริมฝีปากเบาๆ บอกตัวเองว่าจะช่วยเขาปกปิดให้ดีที่สุด จนกว่าเขาจะพร้อมเป็นตัวของตัวเอง
ขณะเดียวกันภีมวัชที่ถูกเรียกตัวด่วนให้มาที่โรงพยาบาลกะทันหัน เขากำลังเปิดแฟ้มเวชระเบียนพลางไล่สายตาอย่างไม่เร่งรีบ
“ว่างไหมคุณหมอภีม” เสียงหวานปนทะเล้นดังขึ้นก่อนเจ้าของเสียงจะโผล่มาในกรอบประตู
แพทย์หญิงณัชชา ก้าวเข้ามาพร้อมกล่องขนม และรอยยิ้มประจำตัวที่ดูสดใสกว่าหมอทั่วไป
“ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่าหมอนัท”
“เปล่าค่ะ ได้ยินว่าหมอภีมมาเลยแวะมาทักน่ะ”
“อืม คนไข้ที่เพิ่งผ่าตัดมีอาการแทรกซ้อน เลยรีบมาน่ะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว” เขาตอบเสียงเรียบ
ณัชชาเดินเข้ามา ทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างเขาโดยไม่ต้องรอคำอนุญาต แล้วยื่นกล่องขนมให้
“อันนี้ซื้อมาเผื่อ”
“ขอบคุณ” เขารับไว้ แล้วมองหน้าเธอตามตรง
“จะมาเรื่องพยาบาลเมื่อเช้าใช่ไหม” เขาถามตามตรง
“อืม ได้ข่าวว่าคุณตวาดพยาบาลประจำเคสจนลาออกเลยเหรอ ลือกันทั้งตึกว่าหมอภีมไม่ไว้หน้าเลย ไล่กันกลางโถง ICU”
“ผมไม่ชอบผู้หญิงที่ชอบวิ่งตามผู้ชายแบบไม่อายตัวเอง และทำให้คนไข้เดือดร้อน เคสที่ผมถูกเรียกมาเพราะเธอลืมฉีดยาให้คนไข้จนมีอาการชัก ใช้อาการคนไข้เป็นเครื่องมือในการเข้าหาผม แม้ไม่มีหลักฐานเอาผิดทางกฎหมาย แต่ก็ทำงานสะเพร่ามีความผิดทางวสินัย แบบนี้จะให้อยู่ต่อได้เหรอ” คำพูดที่แสนเย็นชาทำให้รอยยิ้มของณัชชาชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเรื่องพูด
“ฉันเคยบอกไปแล้วนี่ ก็เพราะหมอภีมโสดไง ใครๆ ก็อยากเข้าหา” เธอขยับเข้าใกล้เล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“งั้นถ้าถึงตอนอายุสามสิบห้าแล้วคุณยังไม่มีใคร มาลองคบกับฉันได้นะ”
“ผมไม่กล้าจีบลูกสาวหุ้นส่วนโรงพยาบาลหรอก”
ณัชชาหัวเราะเบาๆ ราวกับพยายามกลบความเขิน เธอมองเขาเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดเหมือนเปรยกับตัวเอง
“แต่ฉันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอกนะ”
“อย่าเสียเวลาเลยครับ”
เธอยิ้มจางๆ อีกครั้ง แววตาฉายความผิดหวังเพียงเสี้ยววินาที
ก่อนจะลุกขึ้น ทำเป็นไม่ใส่ใจ“งั้นไว้วันหลังจะซื้อขนมมาใหม่ ใจอ่อนสักทีเถอะ” เธอพูดกลั้วหัวเราะแล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมา
ภีมวัชมองตามแผ่นหลังเธอ ก่อนจะถอนหายใจช้าๆ ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอย่างไร แต่เขาแค่ไม่อยากสุญเสียมิตรภาพดีๆ ก็เท่านั้น
************************
ช่วงเย็นของวันศุกร์ บ้านกุลธาราวงศ์อบอวลด้วยกลิ่นอาหารต้อนรับแขกผู้มาเยือน ภีมวัชยืนรออยู่ที่หน้าประตู ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ยินเสียงรถของครอบครัวอิงลดาเมื่อรถตู้สีดำคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอย่างนุ่มนวล เขาเป็นฝ่ายก้าวเข้าไปเปิดประตูรถให้ก่อนใคร น้ำเสียงสุภาพเรียบง่าย แต่แฝงด้วยความจริงใจ“สวัสดีครับคุณลุง คุณป้า เดินทางเหนื่อยไหมครับ”พิทักษ์และอารีย์ลงจากรถด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พวกเขาประหลาดใจไม่น้อยที่หมอหนุ่มผู้เงียบขรึมอย่างภีมวัชแสดงความเอาใจใส่ตั้งแต่ก้าวแรกที่พบกันอีกครั้ง“เหนื่อยนิดหน่อยแต่พอเจอหน้าว่าที่ลูกเขยแล้วหายเหนื่อยเลย” พิทักษ์หัวเราะร่า“พูดแบบนี้เขินแทนลูกสาวเลยค่ะคุณ” อารีย์ต่อบทพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะหันไปมองลูกสาวที่ยืนอึกอักอยู่ข้างหลังอิงลดายิ้มแห้งๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติ ทั้งที่ในใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะเมื่อทุกคนเข้ามานั่งในห้องรับแขก พร้อมหน้าพร้อมตา ดาริกาก็ยิ้มกว้างอย่างปลื้มใจ“ดูเหมือนเด็กๆ จะเข้ากันได้ดีนะคะ ดิฉันสบายใจขึ้นเยอะเลย”อารีย์
ช่วงเช้าในบ้านกุลธาราวงศ์ บนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้เป็นข้าวต้มปลาหมึกแห้งสูตรของยุพินและยุพาที่นำเสนอจนกลายเป็นอาหารเช้ามื้อหลักที่ต้องมีในทุกสัปดาห์“ข้าวต้นปลาหมึกแห้ง สูตรของสองสาวเขา อิงลองชิมนะลูก”“ค่ะ คุณแม่” เธอตอบรับอย่างว่าง่ายดาริกามองว่าที่สะใภ้ก็ยิ้มกริ่ม อิงลดาเป็นคนสมัยใหม่ แต่ว่านอนสอนง่าย พูดจาตรงไปตรงมาแต่นอบน้อม แม้จะแสดงเจตนาจะแต่งงานกับลูกชายเธอเพราะความจำเป็น แต่เธอเริ่มมองเห็นว่าทุกอย่างมันเริ่มลึกซึ้งและมีความผูกพันกันเกิดขึ้นทีละน้อย“จริงสิตาภีม แม่ลืมบอกไป” เธอหันไปทางลูกชายที่กำลังโรยหอมเจียวเพิ่มในข้าวต้ม“ครับแม่”“พ่อแม่ของอิงจะเดินทางมาถึงตอนเย็นวันนี้นะภีม พรุ่งนี้เป็นวันดี ฤกษ์งามยามเหมาะสำหรับพิธีหมั้น พวกเราเตรียมงานไว้หมดแล้ว เหลือแค่ลูกกับหนูอิงตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะเชิญแขกมาเพิ่มไหม เผื่อเปลี่ยนใจแม่จะได้สั่งห้องอาหารให้เตรียมอาหารเพิ่ม”ภีมวัชเงยหน้าจากถ้วยข้าวต้ม ดวงตาสงบนิ่งแต่แวววาวอย่างพอใจ“ครับแม่ ผมรับทราบ&rdquo
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง ตามด้วยเสียงของเจ้าของบ้าน“อิง เปิดหน่อย”อิงลดาหรี่ตามองนาฬิกา “ดึกแล้วนะคะ มีอะไรหรือเปล่า”“ขอเข้าไปคุยด้วยหน่อย” เขาตอบกลับมาเธอถอนหายใจ ก่อนจะลุกไปเปิดประตู แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก ร่างสูงก็แทรกตัวเข้ามาโดยไม่รอคำอนุญาต“นี่! ห้องอิงนะ พี่ภีมจะทำอะไร”“เงียบก่อน” เขาปิดประตูแล้วหันกลับมา สายตาคมนิ่งจ้องมาที่เธออย่างหนักแน่น“พี่มาพิสูจน์”“พิสูจน์อะไรคะ” เธองุนงง ก่อนจะนึกได้ว่าคำพูดเมื่อตอนกลางวันของเขาเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร หญิงสาวเบิกตากว้าง แต่ก็ไม่ทันแล้ว“ว่าพี่ไม่ใช่อย่างที่เธอเข้าใจผิด” พูดยังไม่ทันจบ ภีมวัชก็คว้าแขนเธอดึงเข้าหาตัว แรงกระชากทำให้เธอเซเล็กน้อย ใบหน้าเขาโน้มลงมาใกล้จนเธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ปะทะแก้มเมื่อใบหน้าของเขากำลังจะโน้มลงหา เธอก็จ้องตาไม่กะพริบแล้วเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เขาจูบ แต่เมื่อรมิฝีปากคลอเคลียใกล้ๆ ลมหายใจรดรินกันเธอก็ตัดสินใจที่จะต่อต้าน
ขณะที่นายแพทย์หนุ่มนั่งกับอิงลดา และเอาใจเธอ ทั้งไปสั่งอาหารให้ และเดินไปซื้อเครื่องดื่มให้โต๊ะอีกมุมหนึ่งของโรงอาหาร ณัชชานั่งมองภาพตรงหน้านั้น มือหนึ่งถือช้อน อีกมือกุมตะเกียบไว้แน่น“หมอภีมเป็นอะไรของเขา วันนี้อ่อนโยนผิดปกติ แบบนี้เรียกคลั่งรักใช่ไหมคะ” หมอนุ่นกล่าวแล้วยิ้มมองภาพเพื่อนร่วมงานที่ดูต่างออกไปจากปกติ เป็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แม้กระทั่งณัชชาที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่เป็นนักศึกษาแพทย์ปีหนึ่ง เขาก็ยังไม่เคยมีมุมอ่อนโยนแบบนี้ให้เธอ“ไม่เคยเห็นยกข้าวยกน้ำให้ใคร ขนาดหมอนัทที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังไม่เคยเดินไปซื้อน้ำมาให้”“หมอธนินทร์พูดถูก สงสัยผู้หญิงคนนั้นคือตัวจริงล่ะมั้ง หมอภีมถึงได้ยอมเปลี่ยนตัวเองขนาดนี้” หมอปุณณ์หัวเราะอย่างชอบใจณัชชาก้มหน้ากินอาหารคำต่อไปเหมือนเคี้ยวยากผิดปกติ ในหูเธอยังได้ยินเสียงพยาบาลโต๊ะข้างๆ กำลังเม้าท์ต่อ“ผู้หญิงคนนั้นน่ารักนะ สดใสเป็นธรรมชาติดี”“ใช่ ฉันเห็นตอนเธอมาส่งข้าวให้หมอภีมครั้งก่อน หมอภีมยิ้มอะปกติก็ไม่เคยเห็นยิ้มเลยสัก
ที่ห้องพักแพทย์ แพทย์หญิงณัชชาเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ“หมอภีม เที่ยงนี้ลงไปกินข้าวด้วยกันนะ หมอธนินทร์ หมอนุ่น แล้วก็หมอปุณณ์จะไปด้วย นัดกันไว้แล้ว” เธอพูดพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับแพทย์อีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน“อืม ลงไปพร้อมกันก็ได้” เขาพยักหน้ารับณัชชาแย้มยิ้มเบาๆ ก่อนจะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมอาชีพ แล้วพวกเขาก็เดินออกไปพร้อมกันเมื่อถึงชั้นโรงอาหาร ภีมวัชเดินนำมาเล็กน้อย พอเลี้ยวผ่านโซนเสาใหญ่ เขาก็ยิ้มกริ่มที่โต๊ะตัวเดิม อิงลดานั่งรออยู่ในชุดเรียบง่าย สีหน้านิ่งแต่สายตาเป็นประกายเมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา“เดี๋ยวผมขอแยกไปตรงนั้นนะ” ภีมวัชพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะเบนทิศทางจากกลุ่มแพทย์ไปยังโต๊ะของอิงลดา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยณัชชาชะงัก สีหน้ายิ้มที่เคยแต่งไว้เริ่มคลายลง“เอ๊ะ…นั่นหรือเปล่าผู้หญิงที่พยาบาลลือกันอยู่ช่วงนี้” หมอนุ่นหันมาถาม “ใช่ๆ เขาว่ากันว่าเย็นชากับทุกคน แต่อ่อนโยนกับผู้หญิงคนนี้แค่คนเดียว” หมอธนินทร์เสริมณัชชาเงียบ ไม่พูดอะไร เธอแค่มองตามแผ่นหลังของภีมวัชที่กำลังเดินไปนั่งข้างหญิงสาวคนนั้น มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงปลายเล็บที่จิกลงกลางฝ่ามือแต่ก่อนที่เธ
เช้าวันต่อมา ภีมวัชเดินลงมาที่โต๊ะอาหารก่อนใคร สีหน้าของเขานิ่งสนิทเหมือนเดิม แต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยบ่งบอกว่าจิตใจไม่ได้สงบเท่าไรดาริกาทักว่าเมื่อคืนหลับสบายไหม เขาเพียงพยักหน้ารับเงียบๆ ก่อนจะก้มหน้าจิบน้ำเปล่าอิงลดาเดินลงมาช้าๆ วันนี้เธอใส่เสื้อเชิ้ตสบายๆ กับกางเกงผ้าเนื้อดี ดูคล่องตัวแต่เรียบร้อย พอเห็นว่าภีมวัชนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอก็ยิ้มบางๆ“อรุณสวัสดิ์ค่ะ พี่ภีม” หญิงสาวจงใจเน้นเสียงอย่างยียวนเขาเหลือบตามอง ตอบกลับเสียงเรียบและสีหน้าไม่เปลี่ยน“เที่ยงนี้พี่อยากกินข้าวผัดกุ้ง”อิงลดาเลิกคิ้ว เพิ่งจะเช้าเขาก็ถามหาอาหารเที่ยงแล้ว“ค่ะ เด่ยวบอกป้าสมรให้”“พี่อยากกินฝีมืออิง”“วันนี้ไม่อยากเข้าครัวค่ะ” เธอปฏิเสธตามตรง“อ้าว แย่เลยลูก พ่อคุณอยากกินข้าวผัดกุ้งแต่แม่ครัวคนเก่งไม่เข้าครัวซะแล้ว” ดาริกาหัวเราะเบาๆ“แต่อิงเห็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำในโรงอาหารโรงพยาบาลน่ากินมากเลยนะคะ” เธอพูดพลางหรี่ตามองเขา“เรากินก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นได้หรือเปล่าคะ”ภีมวัชเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ“อืม...” เขาไม่มีคำพูดอื่น แต่ในใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลงนิดหน่อยอย่างน้อยเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เสแสร้งเข้าค