LOGINกระท่อมน้อยริมบึง
แสงแดดอ่อนๆ ยามบ่ายส่องกระทบผืนน้ำในบึงหน้ากระท่อมเป็นประกายระยิบระยับ ลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามาในกระท่อมที่ดูสงบเงียบ กลิ่นหอมจางๆ ของดินชื้นและดอกไม้ป่าช่วยให้จิตใจของ ฝน รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในใจของเธอกลับเต็มไปด้วยความกังวล ฝนตัดสินใจโทรหาพี่สาว บทสนทนากับฟ้า (ทางโทรศัพท์) ฝน: "พี่ฟ้า...ฝนมีเรื่องจะบอก" ฟ้า: "อะไรเหรอ? ทำไมดูจริงจังขนาดนั้น" ฝน: "คือว่า...ฝนกับพี่เอก...เราคบกันค่ะ" ฟ้า: "อ๋อ...เรื่องนี้เองเหรอ? ไม่เห็นน่าแปลกใจเลยนี่" ฝน: "ไม่แปลกใจเหรอคะ? ทำไมล่ะ" ฟ้า: "ก็ตั้งแต่วันงานศพพ่อ พี่ก็เห็นสายตาที่พี่เอกมองฝนแล้ว พี่ก็รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนนั้นเลย ยังพูดกับทิวอยู่เลย" ฝน: "แต่ฝนยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแม่เลยค่ะ ฝนขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม" ฟ้า: "ทำไมล่ะ? ก็แค่คบกัน ฝนก็โตแล้ว พี่เอกเองก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องปิดบัง" ฝน: "คือว่า...มันมีอะไรที่มากกว่านั้นค่ะพี่ฟ้า...ตอนนี้ฝนกับพี่เอก...เราไม่ได้คบกันเฉยๆ แต่เราสองคน..." ฟ้า: "นี่อย่าบอกนะฝน ว่าไปถึงขั้นนั้นแล้ว" ฝน: "ใช่แล้วค่ะพี่...ฝนถึงยังไม่อยากบอกแม่ ฝนกลัวว่าแม่จะให้พี่เอกมาจัดการเรื่องนี้ให้มันเรียบร้อยก่อน" ฟ้า: "พี่เข้าใจ แต่ฝนต้องหาวิธีบอกแม่นะ สงสารแม่ แม่ก็เป็นห่วง" ฝน: "ขอบคุณพี่ฟ้ามากนะคะ" ทันทีที่ฝนวางสาย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เป็น พลอยใส เพื่อนสนิทของเธอ พลอยใส: "ว่าไงแก? จัดการตัวเองเรียบร้อยหรือยัง" ฝน: "เรียบร้อยแล้ว" พลอยใส: "ค่อยโล่งอกไปที...ที่บอกว่าเรียบร้อยหมายถึง...ฉันเรียบร้อยไปอีกรอบแล้วแก" พลอยใส: "นี่แกพูดอะไรของแกเนี่ย" ฝน: "ก็พูดเรื่องจริงนี่นา" พลอยใส: "ดูแกจะรักเขามากนะ" ฝน: "ก็รักแหละ...เมื่อก่อนฉันก็ไม่ได้คิดว่าจะรักเขาแบบนี้ แต่พออยู่ใกล้เขา ฉันรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก" พลอยใส: "งั้นก็ดีแล้ว ถ้าแกมีความสุข... ฝน: ทำไมเสียงแกอ่อยๆ เป็นอะไรหรือเปล่า" พลอยใส: "เปล่าหรอก...ช่วงนี้ฉันเข้าเวร ทีแรกว่าจะทำเรื่องกลับไปแถวบ้าน แต่เปลี่ยนใจแล้ว...ฉันจะทำเรื่องไปบนดอย" ฝน: "ไปบนเขาเนี่ยนะ...ทำอย่างกับอกหัก" พลอยใส: "เปล่าแก...ฉันแค่อยากไปอยู่ที่สงบๆ ที่การแพทย์ยังเข้าไม่ถึง เผื่อจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ได้บ้าง" ฝน: "แกนี่มันแม่พระจริงๆ นะ... พลอยใส: งั้นฉันไปก่อนนะ คิดถึงแกเว้ย ดูแลตัวเองด้วย" ฝน: "เออ...ดูแลตัวเองเหมือนกันนะ" หลังจากวางสายจากเพื่อน เสียงฝีเท้าของ เอก ก็ดังขึ้นพร้อมกับมือหนาที่โอบกอดเธอจากด้านหลัง เอก: "ทำอะไรอยู่ครับ" ฝน: "ตกใจหมดเลย! นึกว่าใคร" เอก: "แล้วนึกว่าใครล่ะครับ...ปกติก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ได้อยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่คนที่หน้าด้านหน้าทนแบบพี่" ฝน: "นี่กำลังพูดประชดฝนอยู่หรือเปล่า" เอก: "เปล่าสักหน่อย..." ฝน: เมื่อกี้ฝนโทรหาพี่ฟ้าค่ะ บอกเรื่องของเราให้พี่เขารับรู้ แต่ยังไม่พร้อมจะบอกแม่" เอก: "ทำไมถึงไม่บอกท่านล่ะครับ...หรือฝนไม่มั่นใจพี่" ฝน: "เปล่าค่ะ...ไม่ใช่แบบนั้น...ฝนอยากให้พี่ได้เจอครอบครัวของพี่ก่อน ฝนรู้สึกว่าเหมือนพี่เข้าใกล้ครอบครัวตัวเองมากขึ้น" เอก: "แล้วถ้าพี่ยังไม่เจอพวกเขา เราจะไม่ได้แต่งงานกันใช่ไหม...พี่ก็แก่แล้วนะ" ฝน: "ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ...แต่ฝนแค่อยากให้พี่ลองปะติดปะต่อเรื่องราวดูดีๆ ...พี่เล่าให้ฝนฟังอีกรอบได้ไหม" เอก: "พี่จำไม่ได้เลย...ที่รู้แค่มีเสียงเด็กร้อง...มีเสียงผู้ชายบอกให้พี่รออยู่ตรงนี้...แล้วก็มีเสียงผู้หญิงที่อุ้มเด็กคนนั้น...แต่พี่จำอะไรไม่ได้เลย" ฝน: "ฝนรู้สึกเหมือนพี่เข้าใกล้ครอบครัวตัวเองมากขึ้น..." เอก: แล้วถ้าพี่ยังไม่เจอพวกเขา เราจะได้แต่งงานกันสักทีไหมคะ? พี่ก็แก่แล้วนะ" ฝน: "ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แต่ฝนแค่อยากให้พี่ลองปะติดปะต่อเรื่องราวดูดีๆ ฝนฟังเรื่องของพี่แล้วมันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ลองเล่าให้ฝนฟังอีกรอบได้ไหม" เอก: "พี่จำอะไรไม่ได้เลย ที่รู้แค่ว่ามีเสียงเด็กร้อง มีเสียงผู้ชายบอกให้พี่ 'รออยู่ตรงนี้นะ อย่าเพิ่งไปไหน' แล้วก็มีเสียงผู้หญิงที่กำลังกล่อมเด็กคนนั้น พี่พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก" ฝน: "พี่เคยไปพบหมอไหมคะ" เอก: "เคยครับ หมอบอกว่าเป็น 'ภาวะความจำเสื่อมจากความเครียด'" ฝนขมวดคิ้วด้วยความตั้งใจ ฝน: "แล้วความทรงจำอื่นๆ ล่ะคะ อย่างเรื่องชอบหรือไม่ชอบอะไร" เอก: "เท่าที่จำได้...อ๋อ เหมือนพี่จะชอบกินปลา" เอกพูดพลางหัวเราะ ฝน: "เอาแบบมีสาระสิคะ" เธอตีไหล่เขาเบาๆ "จะมาทะลึ่งกับฝนทำไม" เอก: "พี่พูดเรื่องจริงครับ พี่ชอบกินปลาดุก เอาไปทอดกรอบๆ แล้วผัดเผ็ดเนี่ย พี่ชอบมากเลย" ฝน: "นั่นก็แสดงว่าทุกอย่างที่พี่ชอบก็ยังชอบเหมือนเดิม หนังสือพี่ก็ยังอ่านออก แล้วพ่อแม่บุญธรรมของพี่ไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอคะว่าเกิดอะไรขึ้น" เอก: "ท่านบอกแค่ว่าพี่โดนรถชนแล้วหมดสติไป เลยรีบพามาโรงพยาบาล แต่ไม่มีใครมาตามหาเลย ทั้งที่ถ้าพ่อแม่พี่รู้ว่าพี่หายไปก็น่าจะแจ้งความแล้ว นี่ทุกอย่างกลับดูเงียบราวกับพี่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ ท่านเลยรับพี่มาอุปการะ" ฝน: "แล้ววันเกิดพี่ล่ะคะ พี่รู้ได้ยังไงว่าตัวเองอายุ 35" เอก: "พี่จำได้ว่าตอนนั้นอายุครบ 12 ปีมาหมาดๆ วันเกิดพี่คือ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2533" ฝน: "บ้า! พูดเป็นเล่น! นี่พี่เกิดวันเดียวกับฝนเหรอ" เอก: "ไม่ได้พูดเล่น พูดจริงๆ" ฝน: "ใช่! ฝนเกิดวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2545" เอก: "เนื้อคู่กันแน่ๆ เลย" เอกยิ้มอย่างมีความสุข แต่ฝนกลับทำหน้าจริงจัง เธอพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวอย่างไม่สนใจคำหยอกล้อของเอก ฝน: "แล้วเหตุการณ์ในวันนั้นเกิดขึ้นที่ไหนคะ เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ หรือที่ไหน" เอก: "ไม่ครับ...เกิดขึ้นที่จังหวัดนี้แหละ" ฝนเงยหน้ามองเอกอย่างพินิจพิจารณา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยจนเอกต้องถามกลับ เอก: "ทำไมใช้สายตามองพี่แบบนั้น" ฝน: "เปล๊า... ไม่มีอะไร..." เอก: "ทำไมต้องเสียงสูงด้วยล่ะ นี่อย่าบอกนะว่ายังคิดเรื่องที่พี่มาอยู่ที่นี่เพราะตามหาทิพย์ เลิกคิดได้แล้ว พี่กับทิพย์ไม่ได้ติดต่อกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว" ฝน: "ฝนยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย พี่อย่าร้อนตัวสิ" เอก: "ก็สายตาที่ใช้มองพี่เมื่อกี้คืออะไรล่ะ...อย่าบอกนะว่ากำลังหึงพี่" ฝน: "ไม่ได้หึงสักหน่อย! พี่อย่าเข้าข้างตัวเอง" เอก: "หึงก็บอกว่าหึง พี่ไม่ว่าหรอก..." เอกยิ้มอย่างทะเล้น แต่ฝนก็ยังคงทำหน้าจริงจัง เธอพยายามใช้สมองคิดวิเคราะห์เรื่องราวที่ได้รับรู้มาทั้งหมด สายตาที่เคยระยิบระยับบัดนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความคิดที่เคร่งขรึมจนเอกรู้สึกประทับใจ เพราะความสดใสและความน่ารักของเธอที่เต็มเปี่ยม ยังมีสิ่งที่น่าค้นหาอีกมากมาย เธอเหมือนหนังสือที่เอกค่อยๆ เปิดอ่านแบบไม่มีวันจบนพพลเริ่มสงสัยตอนไหน?เรื่องราวทั้งหมดต้องย้อนกลับไปในงานแต่งงานของฟ้า ลูกสาวคนกลางของนพพล ที่นั่นนพพลได้เจอกับเอกเป็นครั้งแรก และรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เมื่อได้พูดคุยก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู เขาจึงแลกช่องทางการติดต่อกับเอกไว้เมื่อรู้ว่าเอกต้องย้ายมาทำงานที่สาขาต่างจังหวัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน นพพลจึงชวนเอกให้มาเช่าบ้านใกล้ๆ ซึ่งในตอนนั้นเขายังไม่ได้มีความสงสัยใดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง ท่อน้ำที่บ้านแตก เอกได้เข้ามาช่วยซ่อมจนเสื้อผ้าเปียก นพพลจึงให้ฝนนำเสื้อมาให้เอกเปลี่ยน ขณะที่เอกถอดเสื้อ นพพลได้เห็นปานรูปใบหม่อนใต้ราวนมของเอก ซึ่งทำให้เขาตกใจและเริ่มสงสัยในตัวเอกอย่างมากหลังจากนั้น ในวันที่ฝนหมดสติและเอกโทรศัพท์ให้นพพลไปหาที่บ้าน ขณะที่เอกกำลังอุ้มฝนไปวางบนที่นอน นพพลได้แอบเข้าไปในห้องน้ำและเก็บเส้นผมรวมถึงแปรงสีฟันของเอกมา เพื่อนำไปตรวจ DNAนพพลจัดการเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เพราะเขาไม่อยากให้ประทินต้องผิดหวังหากผลตรวจออกมาไม่ใช่พ่อลูกกัน เขาอยากจะแน่ใจก่อนถึงจะบอกทุกคน เขาพยายามหาโอกาสให้ประทินได้พบกับเอกที่เขื่อน และตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ประทินฟัง แต่โชคร้ายที่นพพลกลับพลัด
บรรยากาศยามเช้าตรู่ ณ กระท่อมน้อยริมบึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แสงแดดสีทองสาดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ดอกบัวสีชมพูและขาวพากันชูช่อบานรับแสงอรุณราวกับกำลังยิ้มทักทาย สายลมพัดเอื่อยๆ พากลิ่นหอมของดอกไม้ป่าลอยมาตามลม ผีเสื้อหลากสีโบยบินไปมาอย่างร่าเริง เถาไม้เลื้อยที่เคยดูโรยรากลับเขียวชอุ่มและมีดอกไม้เล็กๆ แซมอยู่ประปราย เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังแว่วมาจากป่า บรรยากาศโดยรอบอบอวลไปด้วยความสุขและความหวัง ราวกับธรรมชาติกำลังเยียวยาบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้บนเฉลียงไม้เล็กๆ ของกระท่อมกลางบึง ฝน นั่งอยู่คนเดียวในชุดสีขาวเรียบง่าย ใบหน้าของเธอดูสงบและผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายตาของเธอมองไปยังผืนน้ำนิ่งๆ ที่สะท้อนเงาของท้องฟ้าสีคราม เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รับเอาความสดชื่นจากธรรมชาติเข้าสู่ปอดอย่างเต็มที่ในวินาทีนั้นเอง อ้อมแขนแกร่งก็โอบเข้าที่เอวของเธอจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา พร้อมกับกลิ่นหอมสะอาดของเสื้อเชิ้ตสีขาวที่คุ้นเคย เอก ยืนอยู่ด้านหลังของเธอด้วยใบหน้าหล่อเหลาที่ดูสมบูรณ์แบบ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรักที่ยากจะปิดบัง ทั้งคู่ทอดสายตามองยาวไปยังผืนน้ำเบื้องหน้าพ
เปลือกตาสีไข่ค่อยๆ ขยับ ก่อนที่นิ้วกลางจะกระตุกขึ้นอย่างแผ่วเบา พลอยใสที่นั่งอยู่ข้างเตียงรู้ทันทีว่าเพื่อนของเธอกำลังจะฟื้น ฝนค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นพลอยใสนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความสงสัยและความงุนงง ในใจเธอยังคงตั้งคำถาม "ฉันยังมีชีวิตอยู่เหรอ? ฉันยังไม่ตายอีกเหรอ?" ภาพสุดท้ายที่จำได้ก่อนหมดสติคือภาพของเอกกับแม่ที่อยู่ข้างๆฝนหันไปถามพลอยใส "ฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? แล้วแกมาได้ยังไง?"พลอยใสไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับพูดขึ้นเสียงสั่นเครือ "ฝน แกเป็นอะไร ทำไมแกไม่บอกฉัน! ทำไมถึงคิดแบบนี้ได้ยังไง แกรู้ไหมว่าถ้าแกเป็นอะไรไป จะมีคนอีกตั้งหลายคนที่เสียใจ...ทำไมถึงคิดสั้นแบบนี้!" พลอยใสโผเข้ากอดเพื่อนรักที่กำลังอ่อนเพลียจนพูดอะไรไม่ออก มีเพียงน้ำตาที่ไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆทันใดนั้น ฟ้าเปิดประตูเข้ามา "ฝน! เป็นยังไงบ้าง? พี่ได้ข่าวก็รีบมาเลย ทำไมทำแบบนี้ มีอะไรทำไมไม่บอกพี่!" ฟ้าโผเข้ากอดน้องสาวแล้วร้องไห้ ฝนร้องไห้ตามอีกครั้ง กอดพี่สาวด้วยความเสียใจกับเรื่องราวที่ตัวเองต้องเผชิญ เธอได้แต่ร้องไห้โดยไม่พูดอะไร พลอยใสทำได้เพียงลูบหลังปลอบใจ ก่อนจะหันไปมองฟ้าด้วยความไม่เข้า
ฝนกอดรองเท้าข้างน้อยของพ่อไว้แน่น ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวด ด้วยความสิ้นหวัง รู้ตัวอีกที เธอก็ไปยืนอยู่ริมตลิ่งของเขื่อนชลประทาน สายตาเหม่อมองไปยังผืนน้ำกว้างที่นิ่งสงบ ราวกับกำลังรอคอยที่จะกลืนกินความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอลงไป"พ่อ...หนูจะตามพ่อไป..." เธอพึมพำ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ความทรงจำที่เคยมีร่วมกับพ่อฉายชัดขึ้นในหัว ภาพที่พ่อเคยยิ้มให้เธอ เคยโอบกอดเธออย่างอบอุ่น และภาพที่พ่อบอกว่าเขาจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหนแต่ตอนนี้...พ่อไม่อยู่แล้ว...และคนที่เธอรักก็กำลังทำให้เธอเจ็บปวดที่สุดฝนค่อย ๆ ยื่นมือออกไป ปล่อยรองเท้าข้างน้อยของพ่อให้ร่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำช้า ๆ ราวกับกำลังปล่อยความหวังสุดท้ายในชีวิตให้จมหายไปกับสายน้ำนั้น"ลาก่อน...ทุกอย่าง..."ในวินาทีนั้นเอง...เธอก็ตัดสินใจที่จะไม่ทนต่อความเจ็บปวดอีกต่อไป ร่างของเธอค่อย ๆ ก้าวเดินลงไปในน้ำอย่างเชื่องช้า น้ำที่เย็นเยียบไม่สามารถหยุดยั้งความรู้สึกที่ร้อนรุ่มในหัวใจได้ เธอเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งผืนน้ำค่อย ๆ กลืนร่างของเธอไปจนมิดและในตอนนั้นเอง...ทุกอย่างก็ดับลง...เธอรู้สึกเหมือนร่างกายลอยเคว้งคว้
"ผมไม่เข้าใจเลยครับคุณอา ท่าทีของนวลในตอนนั้น..."นวล มองซ้ายมองขวา เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ไม่ควรใช้เสียง นวลจึงรากเอกออกมา ยังบริเวณข้างนอกวอร์ด จาก สถานที่ ที่ห้ามรบกวนผู้ป่วยและ บุคลากรของโรงพยาบาลเอกมองหน้าอาด้วยความสับสน ทั้งที่เขาชื่อเอก แต่ทำไมทุกคนถึงเรียกเขาว่า 'นนท์' นนท์เป็นใคร แล้วเอกคือนนท์ นนท์คือเอกจริงหรือ? ความรู้สึกที่เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ"ภาพความทรงจำเมื่อ 28 ปีก่อนย้อนกลับมาฉายซ้ำในหัวนวล"วันนั้น เอก หรือ นนท์ ในวัยเด็กกำลังจะไปเยี่ยมน้องสาวคนใหม่ที่เพิ่งคลอดได้ไม่กี่เดือนพร้อมกับพ่อ ขณะที่พ่อกับอาขอตัวไปทำธุระ เอกจึงต้องอยู่กับนวลที่โรงพยาบาลนวลพาน้องสาวตัวน้อยมาฉีดวัคซีน เอกเลยตามมาด้วย แต่แล้วพ่อของเอกก็ขอตัวไปทำธุระอีก ปล่อยให้เอกอยู่กับนวลและน้องสาวตัวน้อยลำพังขณะที่นวลกำลังติดต่อชำระเงินค่าบริการโรงพยาบาล ก็มีหญิงสาวเสียสติคนหนึ่งเดินมาอุ้มน้องสาวตัวน้อยไป เธอคิดว่าเด็กคนนั้นคือลูกของตัวเองที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน เอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งตามไปทันทีแต่ในระหว่างที่กำลังวิ่งตามออกไปนั้นเอง รถคันหนึ่งก็เฉี่ยวเข้าที่ร่างของเอ
ฝนตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเอก เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ยังคงหลับใหลอย่างมีความสุข รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของเขาฝนเดินไปที่ระเบียงและมองออกไปยังวิวทะเลที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เธอรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในความฝัน ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความสุข ความรัก และความอบอุ่นเข้ามาแทนที่ความเหงาที่เคยมีในใจมาตลอด ฝนยืนมองวิวอยู่นาน ก่อนที่วงแขนแข็งแรงของเอกจะเข้ามากอดเธอจากด้านหลัง พร้อมกับจุมพิตที่ท้ายทอยแผ่วเบา"ฝนไม่หนีไปจากพี่จริงๆ ด้วย..." เอกพึมพำด้วยเสียงแหบพร่าในยามเช้า ฝนจึงหันไปมองเขาแล้วซบหน้าลงกับแผงอกที่เปลือยเปล่าของเขาอย่างออดอ้อน"จะให้ฝนหนีไปจากความโรแมนติกของพี่เอกได้ยังไงคะ" เธอกระซิบตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใส เอกหัวเราะในลำคออย่างพอใจ ก่อนจะกอดเธอไว้แน่นขึ้น"พี่รักฝนนะครับ""ฝนก็รักพี่เอกค่ะ...รักหมดหัวใจเลย"เอกก้มลงจูบฝนอย่างดูดดื่มอีกครั้ง เป็นการเริ่มต้นที่แสนโรแมนติกของทั้งคู่"พี่เอกคะ... กลับจากที่นี่ เราเข้าไปหาแม่ของฝนดีไหมคะ"เอกที่กำลังกอดเธออยู่จากด้านหลังคลายอ้อมกอดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาสบตาเธออย่าง







