LOGINเช้าวันต่อมา
แสงแดดอ่อนโยนยามเช้าเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างห้องนอน ร่างเล็กค่อย ๆ ลืมตาตื่นจากภวังค์แห่งฝัน ก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งเมื่อภาพเมื่อคืนมันแวบเข้ามาในหัวสมอง
“โอ๊ย!”
เธอรู้สึกเจ็บหน่วงตรงกลางหว่างขาขึ้นมาเพียงเพราะขยับร่างกายอย่างฉับพลัน
“ตื่นแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มยืนอยู่มุมห้องที่เป็นกระจกใสซึ่งตรงนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้กว้างไกล นัยน์ตาคมไล่สำรวจร่างเล็กแล้วลอบยิ้ม ก่อนจะนั่งลงตรงโซฟาทรงโมเดิร์นซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน เรียวขายาวขยับเป็นท่านั่งไขว่ห้าง จากนั้นเขาก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบอย่างสบายใจ
ทั้งสบายใจแล้วก็สบายตัวเลยล่ะ เพราะเมื่อคืนเขาได้ปลดปล่อยไปหลายน้ำ
ดาริณช้อนตามองคนร้ายกาจที่กระทำรุนแรงกับเธอทั้งคืนราวกับสัตว์ป่าหิวโหย เธอตั้งท่าจะลุกจากเตียงนอนแต่ต้องหยุดชะงักกลางคันเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองยังเปลือยกายล่อนจ้อน
หญิงสาวกระชับผ้าห่มคลุมตัวจากนั้นก็เอ่ยเสียงแข็ง
“ฉันจะกลับบ้าน”
“ใครห้าม”
ไม่มีใครห้ามแต่จะให้เธอเดินแก้ผ้าไปรึไงกัน หญิงสาวทำท่าทางฮึดฮัดใส่เจ้าของห้อง ก่อนจะพูดโวยวายตามนิสัยของเธอ
“ตาไม่มีดูเหรอ นายจะให้ฉันเดินแก้ผ้าไปรึไง”
แล้วชุดที่ใส่เมื่อคืนก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน จำได้แค่ว่าล่าสุดถูกถอดกองไว้ในห้องน้ำชั้นล่าง
“หึ!”
เจ้าขุนแค่นหัวเราะแล้ววางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะ ก่อนจะลุกจากโซฟาแล้วหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ตรงนั้นเดินไปหาเธอ
เขาโยนถุงกระดาษลงตรงหน้าคนที่นั่งเอาผ้าห่มคลุมตัวอยู่บนเตียง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“เสื้อผ้าแล้วก็ชุดชั้นใน ฉันให้คนไปซื้อมาให้เมื่อเช้า แล้วนั่นยาคุมฉุกเฉิน กินซะ!”
หญิงสาวรีบหยิบถุงกระดาษขึ้นมาเปิดดู เธอค่อนข้างแปลกใจที่เขารู้ขนาดเสื้อชั้นในของเธอเป็นอย่างดี จากนั้นก็หยิบแผงยาคุมฉุกเฉินแบบสองเม็ดขึ้นมาแล้วช้อนตามองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“ดูนายจะช่ำชองเรื่องผู้หญิงจังเลยนะ”
“ใช่ฉันช่ำชอง”
ตอบกลับทันควันแล้วนั่งลงบนเตียงเดียวกันกับเธอ จับใบหน้าสวยให้หันมาทางเขาแล้วพูดต่ออีกว่า
“ช่ำชองรึเปล่าเมื่อคืนเธอก็น่าจะรู้ดีนะ”
หญิงสาวปัดมือของเขาออกอย่างแรงแล้วถลึงตาใส่ ทั้งโกรธทั้งโมโหแต่ก็พูดมากไม่ได้ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นสาเหตุเกิดจากตัวเธอเองทั้งนั้น ถือซะว่าเมื่อคืนทำทานให้ไอ้บ้าเจ้าขุนละกัน
“เอาผ้าเช็ดตัวมาให้ฉันด้วย” เธอแว้ดเสียงออกคำสั่ง
เจ้าขุนแค่นยิ้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัวก่อนจะกลับมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนสีขาวสะอาดสะอ้าน
เขาโยนผ้าเช็ดตัวให้เธอ
คนเปลือยกายเงยหน้ามองเขาตาเขียวปั้ด ไอ้บ้าเจ้าขุนมันไม่อ่อนโยนกับเธอเลยสักนิด
หลังนุ่งผ้าเช็ดตัวเรียบร้อยดาริณก็เดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปในห้องน้ำ เธอใช้เวลาเป็นชั่วโมงกับการทำอะไรอยู่ในนั้น คนนั่งรอรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่าน
ให้ตายเถอะยัยดาริณอาบน้ำนานเป็นบ้า
เจ้าขุนลุกจากโซฟาแล้วเดินไปยืนอยู่หน้าห้องน้ำจากนั้นเขาก็เคาะประตูเรียกเธอ
“เธอจะอาบน้ำเอาโล่รึไง”
“...” ไร้เสียงตอบกลับจากคนด้านใน
“ดาริณ!!!”
“เออ! เสร็จแล้วกำลังจะออกไปแล้ว”
ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ปกติเธอก็ใช้เวลาประมาณนี้ในการอาบน้ำไม่รู้เขาจะโวยวายอะไรนักหนา
ไม่นานนักหญิงสาวก็เปิดประตูออกมาก่อนจะปั้นหน้าบูดบึ้งเดินผ่านเขาไป
“เสร็จแล้วก็ตามออกมานะ ฉันจะรออยู่ที่โต๊ะอาหารข้างล่าง”
พูดจบร่างสูงก็เดินออกไปจากห้อง
ดาริณเบ้ปากใส่เขาจากทางด้านหลังก่อนจะทำปากขมุบขมิบล้อเลียน
ไอ้คนกวนประสาท นอกจากจะไม่อ่อนโยนยังชอบตะคอกใส่เธออีก
เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ลงมานั่งรอหญิงสาวตรงโต๊ะอาหาร ตรงหน้าของเขามีอาหารมากมายซึ่งจัดวางไว้บนจานที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหรา
คนมาทีหลังเดินตึงตังลงบันไดก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“กินข้าวซะ เสร็จแล้วฉันจะไปส่งที่บ้าน”
“ฉันกลับเองได้ย่ะ”
“ก็ดี รู้จักพึ่งพาตัวเองก็ดี”
เธอมุ่ยหน้าใส่ไอ้คนปากร้าย
แววตาดุดันจ้องเขม็งมาทางเธอ ดาริณจึงเชิดหน้าใส่เขาแล้วหันมาสนใจอาหารบนโต๊ะ เธอเพิ่งสังเกตว่าอาหารทุกอย่างล้วนเป็นของที่เธอชอบทานทั้งนั้น ครั้นจะคิดว่าทั้งหมดนี้คือเมนูที่คนตรงหน้าตระเตรียมไว้ให้ก็คงเป็นไปได้ยาก
บังเอิญแหละ
คนอีกฝั่งละสายตาจากหญิงสาวแล้วหันมาสนใจอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากหยักยกยิ้มเล็กน้อย
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงกระทบกันเบา ๆ ของช้อนกับจานข้าวเท่านั้น
หลังทานอิ่มใบหน้าเง้างอก็หันไปทางร่างสูง เธอแบมือต่อหน้าเขาทำให้เจ้าขุนรู้สึกงวยงง
“อะไร?”
“กุญแจรถของฉันล่ะ”
ลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนขับรถเธอมาที่นี่
ชายหนุ่มเดินไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ทีวีแล้วเดินกลับมา เขาเพ่งพิศร่างเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จากนั้นก็จูงแขนเธอออกจากห้องโดยไม่พูดไม่กล่าว
“อะไรของนายอีกเนี่ย นายจะพาฉันไปไหนอีก”
“ไปส่งเธอที่บ้านไง”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันจะกลับเอง”
พูดพลางสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุม
เจ้าขุนหันขวับกลับมาดวงตาไล่สำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้งก่อนจะพูดว่า
“ขับไหว? โดนจัดหนักทั้งคืนขนาดนั้นแค่เดินก็ยังจะไม่ไหวอยู่แล้ว”
“ปากนายนี่นะ”
ดวงตากลมโตทอประกายความโมโห เขาพูดคำหยาบคายออกมาได้ไม่รู้สึกกระดากอายบ้างรึไงกัน
รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจขี้เกียจต่อปากต่อคำกับยัยดาริณชะมัด
ชายหนุ่มถอนหายใจพรืด จากนั้นก็จูงแขนเธอออกจากห้องโดยไม่สนใจเสียงบ่นแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ข้างหู ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าลูกน้องที่ยืนคุมเชิงอยู่หน้าประตูเพ้นท์เฮ้าส์แล้วออกคำสั่ง
“ให้คนขับรถตามไปรับกูด้วย”
“ครับนายน้อย”
ชายชุดดำโค้งศีรษะรับคำสั่งเจ้าขุนจึงจูงมือหญิงสาวไปที่ลิฟต์ ดาริณเดินตามเขาด้วยความจำยอม
ขณะอยู่ในลิฟต์หญิงสาวก็คอยสำรวจคนข้างกายพร้อมกับคิดสงสัย เธอรู้จักกับเจ้าขุนเมื่อตอนเข้าเรียนปีหนึ่งซึ่งรู้จักผ่านทิวเขาอีกที
ทิวเขาเป็นเพื่อนสนิทกับเธอตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย นอกจากทิวเขาแล้วก็ยังมี ‘วายุ' อีกคน
หลังเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสามคนได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่ทิวเขาและวายุเลือกเรียนคณะวิศวกรรมศาสตร์ ส่วนเธอเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ ถึงแม้จะอยู่คนละคณะแต่ทั้งสามคนก็ยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม
ทิวเขาแนะนำให้เธอรู้จักกับเจ้าขุนและ 'ออสติน' ซึ่งเป็นเพื่อนใหม่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในตอนนั้นเจ้าขุนดูเป็นคนนิ่ง ๆ ค่อนไปทางเย็นชา ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาสักเท่าไหร่เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ
เธอไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าขุนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร รู้แต่ว่าฐานะทางบ้านของเขาไม่ธรรมดาไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถขับรถหรูและใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างนี้
แต่สิ่งที่เธอเห็นวันนี้มันยิ่งทำให้เธอสงสัยในตัวชายหนุ่ม นอกจากเจ้าขุนจะร่ำรวยเขายังดูลึกลับอีกต่างหาก
อากาศยามค่ำของบ้านพักตากอากาศริมทะเลมีลมพัดโชยสร้างความรู้สึกเย็นสบาย แสงไฟสีอบอุ่นส่องสว่างติดตามแนวรั้วไม้ของบ้านช่วยเพิ่มความโรแมนติก ดาริณเดินเล่นอยู่ริมชายหาดเพียงลำพัง ดวงตาเป็นประกายทอดมองไปยังสุดขอบฟ้า ร่างหนาเดินเข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง สันจมูกโด่งคมเคลื่อนไล้ไปตามแก้มเนียนแล้วหอมเธอฟอดใหญ่ ก่อนจะถามคนที่ยืนมองท้องฟ้าราวกับคนเหม่อลอย “คิดอะไรอยู่” พูดชิดแก้มนุ่มจากนั้นริมฝีปากหยักก็ขบกัดตรงใบหูเล็ก ก่อนจะจับร่างเล็กให้หันมาสบตากัน “คิดถึงเรื่องของเราน่ะ ไม่น่าเชื่อเลยเนอะว่าเราสองคนจะมีวันนี้ได้” เจ้าขุนคลี่ยิ้ม แววตาลึกล้ำจดจ้องใบหน้าหญิงคนรักแล้วพูดว่า “เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม” “...” หญิงสาวเลิกคิ้วรอฟัง “พรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกับคนที่เราเฝ้าตามหามาสิบปี” “นายหมายถึงใคร” “จำกันไม่ได้จริง ๆ เหรอเนี่ย น่าน้อยใจจัง” พูดพลางดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอดก่อนจะจุมพิตลงบนหน้าผากสวยได้รูป จากนั้นก็จับเธอผละออกเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายมองสำรวจใบหน้าขอ
ริมฝีปากหยักเคลื่อนไซ้ไปตามท้ายทอยและซอกคอหอมกรุ่น กดจูบและขบเม้มสร้างความกระสันเสียว ร่างเล็กบิดส่ายเร่าร้อนมือสองข้างเกาะอยู่เบื้องหน้า ปลายนิ้วแกร่งเกี่ยวรั้งกางเกงชั้นในตัวจิ๋วลงมากองอยู่บนพื้น “เสียบเลยได้ไหม” เสียงพูดชิดอยู่ตรงริมแก้มเนียน ก่อนที่ริมฝีปากจะจูบซับพวงแก้มระเรื่อขณะรออีกฝ่ายเอ่ยตอบ “ไม่ไหวแล้วเหรอ” “ไม่ไหวแล้ว” พูดจบก็ถอดเสื้อยืดออกจากทางศีรษะ มือหนาเร่งปลดตะขอกางเกงแล้วรูดรั้งลงไปพร้อมกับกางเกงในบอกเซอร์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สลัดมันออกจากปลายขาอย่างไม่ไยดี ก่อนที่ร่างสูงจะขยับมายืนประกบอยู่ด้านหลังคนตัวเล็ก ปลายนิ้วหนาบดบี้ส่วนที่เป็นติ่งเสียวของหญิงสาว นิ้วกร้านแหย่แยงเข้าไปในร่องรักเพื่อเบิกทางเพิ่มน้ำหล่อลื่น ร่องสวาทเปียกแฉะไปด้วยน้ำหวานที่ผลิตออกมาอย่างล้นหลาม เจ้าขุนจับท่อนเอ็นใหญ่ถูไถตรงสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วทำหน้าที่แหวกให้ร่องรูเบิกกว้าง จากนั้นก็เอาส่วนปลายหยักไปจ่อไว้ตรงปากทางแล้วดันเข้าไปรวดเดียวมิดด้าม ปลายลิ้นหนาแลบเลียตามแนวกระดูกสันหลังด้วยความหื่นกระหาย
@โรงพยาบาล ว่าที่คุณพ่อนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจเลือด ใบหน้าซีดเผือดเป็นไก่ต้มเมื่อรู้ว่าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าเขาต้องถูกแทงเข็มฉีดยาเข้าไปในร่างกาย ลูกผู้ชายตัวโตเรื่องปืนผาหน้าไม้ไม่เคยเกรงกลัว แต่พอเป็นเข็มฉีดยากลับกลายเป็นคนใจเสาะใจปลาซิวขึ้นมาเสียได้ ดาริณหัวเราะกระซิก รู้สึกขบขันมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทว่ากับกลัวเข็มฉีดยาอันเล็กกระจิ๋วหลิ๋ว คนหน้าเข้มใช้สายตาดุดันเพ่งมองใบหน้าสวยของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง ริมฝีปากหนาแนบชิดใบหูเล็กแล้วพูดกระซิบ “หัวเราะเยาะเหรอ เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อยนะ” “ไม่กลัว” เธอยิ้มแป้นแล้นล้อเลียนเห็นแล้วมันน่าจับฟัดแก้มชะมัด มือหนายกขึ้นบีบแก้มดาริณด้วยความมันเขี้ยว ขณะนั้นคุณพยาบาลก็ออกมาเรียกเขาเข้าห้องเจาะเลือดพอดี “เชิญคุณภัทรดนัยค่ะ” คนถูกเรียกเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ก่อนเข้าไปก็ไม่ลืมหันมามองคาดโทษคนที่หัวเราะเยาะเขาไม่หยุด คืนนี้เธอโดนแน่ดาริณ เวลาต่อมา ดาริณนอนอยู่บนเตียงตรวจโดยมีเจ้าขุนนั่งอยู่ด้านข้าง ม
“พวกมึงคิดจะทำอะไรหลานกู” คนมีอำนาจตวาดเกรี้ยวกราดมือข้างหนึ่งยกปืนขึ้นจ่อขมับคนที่คุกเข่าอยู่ เปลวไฟแห่งโทสะลุกโชนอยู่ในดวงตาสีเทาอ่อน ดวงตาดุดันจ้องเขม็งคนตรงหน้าราวกับอยากฆ่าให้ตาย ภาพชวินนั่งตัวสั่นเทาทำให้ดาวิทย์เริ่มหวาดกลัว เขานั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเจ้าขุนก้มหัวกราบกรานร้องขอชีวิต “เจ้าขุนฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว นายไว้ชีวิตฉันด้วย สัญญาว่าฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก ต่อไปนี้ฉันจะกลับตัวเป็นคนดี ไว้ชีวิตฉันด้วยนะ” แค่นหัวเราะให้กับคำพูดของดาวิทย์ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าคนอย่างดาวิทย์จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้ ถ้ามันอยากกลับตัวจริง ๆ มันคงทำไปตั้งนานแล้ว “ยูจะเอาไง” เจ้านายใหญ่หันมาถามหลานเมีย ตอนแรกเขาไม่คิดจะทำร้ายดาวิทย์ แต่มาคิด ๆ ดูแล้วถ้าปล่อยดาวิทย์ไปอีกครั้งมันต้องสร้างปัญหาอีกแน่ และที่เขากังวลมากที่สุดคือคนอย่างดาวิทย์มันต้องใช้ลูกกับเมียของเขาเป็นเครื่องมือต่อรอง เจ้าขุนยกยิ้มมุมปากจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้ถึงตายนะ ทำให้พิการตลอดชีวิตและพูดไม่ได้ก็พอ” บอกความต้องการเรียบร้อยก็หันหลังให
“ปล่อยตัวประกันมาก่อน แล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะได้หลงเชื่อตั้งแต่แรกว่าดาวิทย์ถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ จึงให้ออสตินเป็นคนถือกระเป๋าที่บรรจุเงินสดสามสิบล้านเอาไว้ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นชวินก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้าเหี้ยมโหดแดงก่ำด้วยแรงโทสะ “มึงคิดจะเล่นตุกติกกับกูเหรอ” “ถ้ากูอยากเล่นตุกติกกับมึงกูโทรแจ้งตำรวจไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าอยากได้เงินก็ปล่อยตัวประกันออกมาก่อนแล้วกูจะบอกว่าเงินอยู่ไหน” ชวินทำสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางมือขวาคนสนิทแล้วเอ่ยสั่ง “ไปเอาตัวไอ้ดาวิทย์มา” “ครับนาย” ดาวิทย์ถูกลากออกมาจากในตึกร้าง มือสองข้างถูกมัดไพล่หลัง สภาพเหมือนคนปกติไม่ได้ถูกซ้อมจนน่วมเหมือนคนที่ถูกจับตัวมา ลูกน้องคนหนึ่งแกะเชือกให้ดาวิทย์ “ทีนี้มึงบอกกูได้รึยังว่าเงินอยู่ที่ไหน” “เงินอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าทางเข้า” เมื่อรู้ที่ซ่อนเงินชวินก็คลี่ยิ้มจนกว้าง เขาส่งซิกให้ลูกน้องสองคนไปเอากระเป๋าเงินตรงจุดที่เจ้าขุนบอก พอรู้ที่ซ่อนเงินแน่ชัดสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็หันมาส่
รถสปอร์ตคันงามแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็วมุ่งหน้าไปที่บ้านของท่านรัฐมนตรี ร่างสูงโปร่งก้าวฉับ ๆ เข้าไปในบ้านของว่าที่พ่อตาอย่างไม่เกรงกลัว เมื่อเห็นหน้าลูกเขย คนร้อนใจก็รีบร้อนเข้าไปหาทันที “พวกมันติดต่อมารึยังครับ” “ติดต่อมาแล้ว มันบอกว่าให้เอาเงินไปให้มันที่นี่” ท่านรัฐมนตรียื่นกระดาษที่จดสถานที่นัดหมายให้กับเจ้าขุน เขาหยิบมันมาดูแล้วพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเงยหน้าสบตากับคนอายุมากแล้วเอ่ยถาม “พวกมันต้องการเงินเท่าไหร่ครับ” ความจริงก็ได้ยินที่ดาริณอุทานแล้วล่ะ แต่ก็อยากถามให้แน่ใจอีกครั้ง ท่านรัฐมนตรีมีสีหน้าหวั่นวิตก ริมฝีปากขบเม้มเป็นเส้นตรง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับพูดเสียงอ่อย “สามสิบล้าน” ได้ยินแค่นั้นเจ้าขุนก็ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วรีบโทรหาจรณ [ครับนายน้อย] “คุณช่วยเอาเงินมาให้ผมที่บ้านท่านรัฐมนตรีนพดลหน่อย” [ได้ครับ นายน้อยจะเอาเท่าไหร่ครับ] “สามสิบล้าน” [ได้ครับ ผมจะรีบไป] หลังวางสายจากลูกน้องเขาก็กดโทรหาเพื







