อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของนักรบ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาจากมุมหนึ่ง เยี่ยนหยางจงพลันหันศีรษะไปยังทิศทางเป้าหมาย และทันทีที่สบนัยน์ตาสีน้ำหมึกที่ให้ความรู้สึกแน่วแน่ระคนดื้อดึง เขาก็เก็บประกายสังหารลงทันที แต่สิ่งที่ทำให้รองแม่ทัพหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งก็คือสตรีผู้นั้นมิได้หวั่นไหวหรือหวาดกลัว กลับมองตอบมาด้วยความสงบนิ่ง ไม่แม้จะตกใจที่ถูกเขาจับได้ว่านางลอบพิจารณาตนอยู่
ช่างใจเด็ดนัก!
ความจริงแล้ว จ้าวกุ้ยอินรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งกาย ขนทุกเส้นลุกชัน กระแสสายตาราวคมมีดของเขานั้นบาดลึกถึงกระดูก นางแทบทรุดตัวลงกับพื้น แต่ยังทำใจดีสู้เสือ โดยฝืนมองอย่างสงบนิ่ง ยังโชคดีที่อีกฝ่ายเก็บแววอำมหิตกลับไปแทบจะทันที ทำให้ยามนี้นางยังสามารถปั้นท่าทางสูงส่งได้โดยที่หน้ายังไม่เปลี่ยนสี
ที่แท้ก็เสือร้าย อยู่ให้ห่างไกลเขาเอาไว้จะดีกว่า...
เมื่อคิดได้ดังนั้น จ้าวกุ้ยอินก็คร้านจะสนใจเยี่ยนหยางจงอีก อีกฝ่ายจะเป็นพยัคฆ์ซ่อนลายหรืออะไรก็ช่าง ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับนาง
ในขณะที่จ้าวกุ้ยอินคิดจะเก็บสายตากลับมาแล้วไปช่วยบิดาตรวจตราความเรียบร้อย หางตาก็เหลือบเห็นดรุณีแรกแย้มในอาภรณ์สีเขียวที่ดูสดใสอิ่มเอิบ หากจะเปรียบผู้ที่กำลังก้าวเข้ามา ก็คงเหมือนดั่งดอกเหลียนฮวา[1] ที่กำลังเบ่งบานล่อหลอกหมู่ภมรอยู่กลางน้ำ ทั้งบอบบางและแสนบริสุทธิ์ แน่นอนว่าสตรีที่ให้ความรู้สึกเยี่ยงนี้จะเป็นผู้ใดมิได้นอกจากบุตรีเซวียนผิงโหว “ถางซือเซียน”
นัยน์ตาเรียวสวยหรี่ลง โทสะจาง ๆ แผ่ออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้น
หากความเกลียดชังสามารถเผาผลาญผู้ใดให้เป็นจุณได้ จ้าวกุ้ยอินก็คงอยากจะทำเช่นนั้นกับถางซือเซียนเป็นคนแรก ที่นางต้องถูกฉินอ๋องหมางเมินมาจนถึงทุกวันนี้ย่อมเป็นเพราะดรุณีท่าทางอ่อนแอ แต่ที่แท้เป็น ‘นางปีศาจตัวหอม’ ที่ใช้กลิ่นกายยั่วยวนบุรุษให้หลงหัวปักหัวปำผู้นี้นี่เอง
มีไม่กี่คนที่รู้ความลับนี้ กลิ่นกายของถางซือเซียนนั้นสามารถทำให้ผู้ที่ดอมดมเกิดความรู้สึกยินดีได้ ด้วยเหตุนี้มู่เลี่ยงหรงจึงโปรดปรานนางยิ่งนัก แต่สำหรับจ้าวกุ้ยอินกลับมองว่าความวิเศษนี้คือเภทภัย คงมีแต่ปีศาจเท่านั้นที่ร่ายมนตร์สะกดผู้คนให้ต่างหลงใหลได้ เพราะไม่ใช่แค่ฉินอ๋องเท่านั้น แม้แต่จ้าวเฟิงเหลยพี่ชายนางก็ถูกนังแพศยาน้อยนี่ล่อลวง จนเป็นเหตุให้บุรุษทั้งคู่ต้องผิดใจกัน
นี่ขนาดยามนั้นนางอายุยังไม่ถึงวัยปักปิ่น ยังก่อความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้ หากนางถึงวัยสาวสะพรั่งจะไม่สร้างความโกลาหลไปทั้งเมืองเลยหรือ...
จ้าวกุ้ยอินเชื่อมาตลอด ว่าอีกไม่นานกลิ่นจรุงจิตที่ติดกายถางซือเซียนจะต้องนำโชคร้ายมาสู่บุรุษที่เกี่ยวข้องกับนางแน่นอน แต่แทนที่จ้าวเฟิงเหลยจะตาสว่าง กลับทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อีกฝ่ายมาเป็นจวิ้นหวางเฟย[2] พี่ชายของตนเองช่างโง่เขลาเหลือเกิน ระหว่างเชื้อพระวงศ์สายตรงกับอี้ซิ่งอ๋อง[3]อย่างตระกูลจ้าว นางปีศาจจอมยั่วย่อมหมายตำแหน่งฉินหวางเฟยอยู่แล้ว
ใบหน้าประณีตละเมียดละไมแขวนรอยยิ้มหยัน เมื่อเห็นถางซือเซียนตรงเข้าไปหาเยี่ยนเยว่ฉีแล้วพูดคุยกันอย่างสนิทสนม นังปีศาจน้อยคงคิดประจบประแจงว่าที่พระชายาเพื่อจะได้แต่งเข้าจวนฉินอ๋องได้โดยง่าย
เอาเถอะ...เรื่องแบบนี้ก็มีให้เห็นจนชินตา ในเมื่อความพยายามเอาตัวเข้าแลกแบบที่ผ่านมาไร้ผล ถางซือเซียนเองก็พลาดตำแหน่งฉินหวางเฟย จึงมีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น จะว่าไปก็น่าสมเพชยิ่งนัก
ระหว่างที่กำลังเยาะหยันคู่แข่งของตนเองอยู่ในใจ คนสนิทของบิดาก็เข้ามาแจ้งกับนางว่าฉินอ๋องขอให้ช่วยจัดที่นั่งของตระกูลเยี่ยนกับถางซือเซียนในส่วนของประธาน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดในโรงละคร
แม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้ ผู้แทนพระองค์เอ่ยปาก นางมีแต่ต้องทำตามเท่านั้น
จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้า เก็บความขุ่นเคืองไว้ภายใน แล้วออกคำสั่งให้คนจัดที่นั่งใหม่ตามความประสงค์ของประธานในคืนนี้ แน่นอนว่านางจำต้องสวมหน้ากากสตรีสูงศักดิ์ที่แสนสง่างามเอาไว้ เพราะเมื่อตนเองเดินออกไปที่ตรงนั้น ย่อมมีสายตาสอดรู้สอดเห็นมองมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากได้รับคำยืนยันว่าจัดที่นั่งให้แขกกิตติมศักดิ์เรียบร้อยแล้ว ร่างอรชรในชุดสีแดงเพลิงจึงเคลื่อนไปยังกลุ่มบุรุษและสตรีที่โดดเด่นเบื้องหน้า
ชั่วขณะที่จ้าวกุ้ยอินก้าวสู่ห้องโถงใหญ่ ฉินอ๋องไม่ได้เหลือบแลผู้มา เพราะถูกดึงดูดความสนใจทั้งหมดเอาไว้โดยคู่หมั้นคนงามของตนเอง ทว่าในตาเหยี่ยวเฉียบคมคู่หนึ่งกลับเคลื่อนไปหยุดบนเงาร่างสวยสง่าราวนางพญาของจ้าวกุ้ยอินอย่างอดใจมิได้
แม้เยี่ยนหยางจงจะเฝ้าบอกตนเองว่าสตรีในใต้ล้าล้วนเหมือนกันหมด แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาจึงไม่อาจละสายตาจากสตรีที่มีนัยน์ตาดุจนางม้าป่าผู้นี้ได้ลง
รองแม่ทัพหนุ่มพลันย้อนคิดถึงวันงานชมดอกเหมยในวังหลวงที่ผ่านมา ภาพเงาร่างงดงามเคลื่อนไหว สะบัดผ้าพลิ้วแผ่ว แต่ละท่วงท่าอ่อนช้อย ทว่าแข็งแรงมีพลัง ทำให้ดูทรงเสน่ห์ยามร่ายรำอย่างยิ่ง
นางพรายในชุดระบำสีขาวยังคงประทับในห้วงคำนึง ถึงวันนั้นนางไม่แม้แต่จะเหลือบแลเขา แต่แววตาเจือความเศร้าสร้อยที่เล็ดลอดออกมาเพียงชั่วขณะหนึ่ง กลับทำให้เขาอยากค้นหาสตรีว่าเย่อหยิ่งจองหองที่น้องชายให้เขาพึงระวังมีโฉมหน้าแท้จริงเป็นอย่างไรกันแน่
จ้าวกุ้ยอินปรับอารมณ์ เก็บแววอาฆาตโกรธขึ้งไว้ภายใน แล้วแขวนรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าสวยได้รูปแทน นางเยื้องกรายเข้าไปหามู่เลี่ยงหรง พร้อมแจ้งจุดประสงค์ว่าบิดาให้ตนมานำทางเขาและผู้ติดตามไปยังที่นั่ง มู่เลี่ยงหรงไม่ได้มากวาจา เพียงพยักหน้าแล้วเดินตามนางไปยังที่นั่งประธาน
ในที่สุดคนทั้งหมดก็นั่งลงในตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้
เยี่ยนหยางจงยังคงลอบพิจารณาโฉมสะคราญในชุดสีแดงเพลิงอยู่เงียบ ๆ
จ้าวกุ้ยอินเปล่งปลั่ง ผิวนวลขาวผ่องดุจน้ำค้างแข็งในฤดูหนาว อวบอิ่มงดงามราวหยางกุ้ยเฟยสมคำร่ำลือ ถึงแม้ภายนอกจะดูเหมือนสตรีอ่อนแอทั่วไป แต่ดวงตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยแววดื้อรั้นดุจนางม้าป่า ช่างพยศดุดันยากจะกำราบ
ยิ่งมอง...เขายิ่งแทบไม่เชื่อว่าหญิงสูงศักดิ์จะให้ความรู้สึกเช่นนี้ได้
และแล้วความรู้สึกหนักอึ้งสายหนึ่งก็ผ่านเข้ามาในห้วงคิด ทำให้เยี่ยนหยางจงตัดสินใจดึงสายตากลับ พยายามบอกตนเองว่ารูปลักษณ์ตรงหน้านั้นก็เป็นแค่สิ่งลวงตา
สตรีงดงามมีแต่จะนำความโชคร้ายมาสู่ท่าน เสียงของเยี่ยนจิ้นหลิงในห้วงจำดังสะท้อนไปมาราวกับหลอกหลอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามอยู่ให้ไกลจากเหล่าหญิงงามทั้งหลายเสมอ ทว่าสำหรับธิดาจ้าวอ๋องผู้นี้...
“น่าเสียดาย...” เสียงถอนหายใจแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“พี่ใหญ่ นางไม่คู่ควรให้ท่านคิดถึงด้วยซ้ำ” เยี่ยนจิ้นหลิงเอ่ยเสียงเย็น “บางอย่างภายนอกดูดี ทว่าภายใน...เน่าเฟะ”
“ข้ารู้...” แม้จะตอบเช่นนั้น แต่นัยน์ตาคมปลาบกลับไหววูบชั่วขณะหนึ่ง เพราะรู้สึกค้านในใจ
เยี่ยนจิ้นหลิงไม่ได้สนใจนักว่าพี่ชายจะมีความคิดเช่นไร เพราะสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือสวัสดิภาพของเยี่ยนเยว่ฉีในอนาคต เขาโบกพัดหยกม่วงในมือไปมา นัยน์ตาที่ปกติจะฉายแววขี้เล่น บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกหิวโซที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ
“พี่ใหญ่...ท่านรู้หรือไม่ข้ามิได้ล้อเล่นกับท่านพ่อ” จู่ ๆ จิ้งจอกสีเงินก็พูดโพล่งขึ้นมา
“เจ้าประสงค์เช่นนั้นจริง ๆ หรือ” เยี่ยนหยางจงหรี่ตา คิดถึงสิ่งที่ของน้องชายเอ่ยกับบิดาก่อนออกจากจวนมา ว่าอยากให้วันนี้มีคน ‘ตาย’ จริง ๆ
เยี่ยนจิ้นหลิงยกยิ้ม แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมายื่นให้เยี่ยนหยางจง รอจนกระทั่งผู้เป็นพี่ชายหน้าเปลี่ยนสี จึงหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยถามเหมือนเป็นเรื่องสนุก “ท่านกล้าลงมือหรือไม่เล่า”
“ถ้าข้าไม่กล้า...” เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกหวั่นใจกับสิ่งที่น้องชายร้องขอให้ทำตาม
“จุ๊ ๆ พี่ใหญ่ ล้อจิ้นหลิงเล่นใช่หรือไม่ คำตอบนั้นท่านน่าจะรู้ดีกว่าผู้ใด”
“ร้ายแรงหรือไม่”
“ก็น่าจะร้ายพอ ๆ กับที่ท่านเคยลิ้มรส”
“...” เยี่ยนหยางจงนิ่งอึ้ง อดคิดถึงเรื่องในอดีตไม่ได้ ยามนั้นเขาเป็นเพียงชายหนุ่มเลือดร้อนที่เลือกทำตามหัวใจ โดยไม่สนคำทัดทานของน้องชาย เป็นเหตุให้ตนเองได้รับความเจ็บปวดอันแสนสาหัสมาแล้ว
หากครานี้เขาเลือกเชื่อความรู้สึกของตัวเองอีก ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเช่นไร แล้วที่ว่า ‘ร้ายแรง’ จะร้ายแรงปานใด
เมื่อคู่สนทนานั่งนิ่ง ไม่เอ่ยอะไรอีก เยี่ยนจิ้นหลิงก็หันหน้ากลับไปยังเวที เผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“งิ้วใกล้แสดงแล้ว”
ตลอดการแสดงหัวใจและสายตาของคนสองคนในที่นั้นไม่ได้อยู่กับตัวจ้าวกุ้ยอินลอบมองไปทางที่นั่งประธานอยู่บ่อยครั้ง และทุกทีที่เห็นมู่เลี่ยงหรงมองเยี่ยนเยว่ฉีอย่างอ่อนโยนก็เจ็บในอกจนแทบกระอักเลือด ต้องปลอบตนเองด้วยเรื่องของถางซือเซียนที่ตกกระป๋องเหมือนกัน จึงพอจะทำให้ความร้าวรานทุเลาเบาบางลงบ้างหนักเข้าจ้าวกุ้ยอินก็ยุจ้าวเฟิงเหลยให้ไปสู่ขอถางซือเซียนเสียเลย สำหรับนางแล้วหากให้ยอมรับนังปีศาจตัวหอมนั่นเป็นพี่สะใภ้ ยังง่ายกว่าทนมองให้นางขึ้นเกี้ยวเข้าจวนฉินอ๋องเป็นไหน ๆส่วนเยี่ยนหยางจงก็เฝ้ามองจ้าวกุ้ยอินพลางครุ่นคิดบางอย่างอยู่เงียบ ๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง รองแม่ทัพหนุ่มถึงเบนสายตากลับมาหาเยี่ยนจิ้นหลิงอีกครั้งน้องชายของเขามีความสามารถในการทำนายอย่างหาตัวจับได้ยาก นอกจากนั้นยังมีญาณวิเศษ ทว่าทุกสิ่งที่เห็นนั้นเจ้าตัวจะไม่มีวันเอ่ยออกมาตรง ๆ เป็นอันขาด โดยให้เหตุผลว่าการเผยลิขิตสวรรค์นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่ากลัว ดังนั้นที่ผ่านมาหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการศึก บิดาและเขาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ที่มีฉายาว่า ‘จิ้งจอกสีเงินแห่งแคว้น’ โดยเคร่งครัดแต่พอเป็นเรื่องส่วนตัว น้องชายของเขามักจะเอ่ยเตือนเป็นนัย ๆ
“วางใจเถิด ชีวิตสตรีเจ้าปัญหาผู้นั้นอยู่ในมือท่านแล้ว จิ้นหลิงไม่หาทางฆ่านางทีหลังแน่”สิ้นคำของน้องชาย เยี่ยนหยางจงจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย นับจากนาทีนี้ไป เขาแค่ประกบจ้าวกุ้ยอินเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้นก็พอเมื่อม่านบนเวทีถูกปิดลง เสียงปรบมือโห่ร้องชื่นชมดังไม่ขาดสาย แม้แต่ฉินอ๋องก็ร้องว่าดีติดกันถึงสามครั้งตามธรรมเนียมปฏิบัติฮ่องเต้จะต้องเป็นผู้ให้รางวัลกับนักแสดงทั้งหลาย ในเมื่อโอรสสวรรค์ไม่เสด็จมาก็เป็นหน้าที่ของผู้แทนพระองค์ นักแสดงทั้งหมดออกมาทำความเคารพฉินอ๋อง จากนั้นก็เดินเข้าไปรับรางวัลทีละคนขณะผู้เป็นประธานกำลังจะมอบรางวัล พลันเกิดเสียงดังเอะอะเกิดขึ้นภายในโรงละคร คนร้ายในชุดสีดำสนิทราวสามสิบคนตรงเข้าทำร้ายแขกเหรื่อ“ฆ่าขุนนางชั่วพวกนี้ให้หมด!” เสียงตะโกนดังลั่น นักฆ่าทั้งหลายแยกย้ายกันจู่โจมเพียงชั่วพริบตาสามารถเปลี่ยนงานรื่นเริงให้กลายเป็นทะเลโลหิต เสียงกรีดร้องท่ามกลางความโกลาหล ดาบและกระบี่กระทบกันอย่างแรงจนเกิดสะเก็ดไฟ องครักษ์เงาของเชื้อพระวงศ์เผยตัว ต่างรุมล้อมผู้เป็นนายของตนเอาไว้จ้าวอ๋องหน้าซีดเผือด งานแสดงงิ้วประจำปีที่เพียรจัดขึ้นกลับมีคนร้ายแฝงตัว
เยี่ยนหยางจงมองภาพตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง บางจังหวะก็หัวเราะเบา ๆ ออกมา หากไม่เห็นศพกองอยู่ตรงหน้า ผู้อื่นย่อมนึกว่าเขากำลังชมงิ้วด้วยความเบิกบานใจอยู่เป็นแน่จ้าวกุ้ยอินก็เช่นกัน นางจำได้ดี บิดาเคยเปรยให้ฟังว่าแม่ทัพใหญ่และบุตรชายเก่งกล้าสามารถ แต่ตอนนี้เห็นเพียงบุรุษเอื่อยเฉื่อยที่มองคนสู้กันอย่างหน้าตาเฉยผู้หนึ่งเท่านั้น ทำให้นางนึกเดียดฉันท์เยี่ยนหยางจงอย่างยิ่ง“นี่หรือ ผู้ที่เคยสังหารแม่ทัพแคว้นเป่ย เกรงว่าจะเป็นแค่ราคาคุยเสียมากกว่า”ครั้นน้ำเสียงกระจ่างใสเจือความเย้ยหยันลอยมาจากด้านหลัง เยี่ยนหยางจงหรี่ตา กำแส้ในมือแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่ยังรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ หน้าที่ของเขามีเพียงกันจ้าวกุ้ยอินให้ห่างจากฉินอ๋องเท่านั้น ส่วนเรื่องจัดการนักฆ่าเหล่านี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่นจากการประเมิน หากเยี่ยนจิ้นหลิงไม่ติดเล่นจนเกินไป เพียงหนึ่งก้านธูปก็กำจัดได้หมดแล้ว ไม่ต้องถึงมือเขาหรอก“ที่แท้ รองแม่ทัพเยี่ยนก็แค่คนขี้ขลาดตาขาว ไร้ประโยชน์สิ้นดี”“...” ประโยคเชือดเฉือนลอยเข้ามากระทบโสตอีกระลอก ตนเองเป็นคนเช่นไรเยี่ยนหยางจงย่อมรู้ดีแต่...คนงามไม่รู้นี่!ครั้นหันกายกลับไปเผชิญหน้ากั
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย มู่เลี่ยงหรงปรับสีหน้าเป็นปกติดุจเดิม พลันสาวเท้าตรงไปหาเยี่ยนเยว่ฉีแล้วดึงมือของนางมากอบกุมเอาไว้ เขาปลอบประโลมคู่หมั้นสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่หลงเหลือความดุดันแม้แต่น้อย อากัปกิริยาที่แสดงออกบ่งบอกถึงความห่วงหาอาทร ทั้งหมดนี้สร้างความเจ็บปวดและริษยาให้สตรีอีกผู้ที่มองมาจากอีกมุมหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้จ้าวกุ้ยอินเม้มริมฝีปากแน่น เล็บแหลมคมจิกเข้าที่ฝ่ามือเพราะเผลอกำหมัดอย่างแรง แต่ความเจ็บเพียงเท่านี้ก็ไม่เท่าที่ดวงใจถูกบีบรัด นางเองก็เป็นห่วงมู่เลี่ยงหรงไม่แพ้สตรีผู้นั้น เพียงแต่ไม่อาจทำสิ่งใดได้สุดท้ายก็ปลอบใจตนเองว่าอีกไม่นานไทเฮาจะทรงพระราชทานสมรสให้พวกเขา เมื่อถึงเวลานั้นนางไม่เชื่อว่าชายในดวงใจจะไม่แลเห็นคุณธรรม ความสามารถ และส่วนที่ดีงามภายในจิตใจของตนเองแม้เยี่ยนเยว่ฉีมีรูปโฉมสะคราญตา แต่ตนเองก็เป็นหนึ่งในยอดพธู หนำซ้ำศักดิ์ฐานะก็เหนือกว่าหลายขุม อีกทั้งเรื่องเล่ห์กลในเรือนหลังนางล้วนเห็นมาจนชินตา ย่อมไม่มีทางเพลี่ยงพล้ำให้อีกฝ่ายโดยง่าย ขอเพียงนางช่วงชิงความโปรดปรานจากมู่เลี่ยงหรงมาได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องกลัวอีกต่อไปเหตุการณ์สงบลงแล้ว คนร้า
คนได้รับบาดเจ็บ แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นท่านหญิงกุ้ยอินที่ใช้กายต่างโล่บังธนูอาบยาพิษให้ฉินอ๋องแต่สวรรค์ยังมีเมตตา รองแม่ทัพหนุ่มเยี่ยนหยางจงช่วยถอนพิษได้ทันการณ์ หาไม่แล้วแคว้นหานคงสูญเสียยอดพธูผู้งามล้ำไปหนึ่งนางพิษที่อาบอยู่บนธนูนั้นร้ายแรงยิ่งนัก ทำจ้าวกุ้ยอินสลบไสลอยู่นาน แต่พอจะมีสติขึ้นมาบ้างก็ต้องทรมานกับบาดแผลจากคมธนู หมอหลวงจำต้องจ่ายยาระงับความเจ็บปวดอย่างแรง จึงเป็นเหตุให้นางได้แต่หลับ ๆ ตื่น ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือน ซึ่งช่วงเวลานี้จวนฉินอ๋องจัดงานสมรสพระราชทานอย่างยิ่งใหญ่อลังการเยี่ยนเยว่ฉีกลายเป็นฉินหวางเฟย ส่วนสตรีที่เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้องคนผู้หนึ่งกลับต้องนอนซมอยู่บนเตียงไร้การเหลียวแลจากอีกฝ่ายจ้าวอ๋องทั้งเดือดดาลและผิดหวัง ธิดาของเขาบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แล้วไหนจะรอยแผลเป็นน่าเกลียดบนแผ่นหลังนั่นอีก สตรีที่เรือนร่างมีตำหนิจะมีบุรุษใดต้องการแต่งงานด้วยเล่า และที่จ้าวกุ้ยอินต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เพราะช่วยชีวิตฉินอ๋อง เช่นนั้นเขาก็ควรรับผิดชอบโดยการรับนางเป็นชายารองไม่ใช่หรือ นี่เวลาก็ล่วงเลยจนบุรุษหน้าตายผู้นั้นตบแต่งชายาเอกเรียบร้อยแล้ว ไฉนจึงยังนิ
“เอาเถอะ หากอธิบายดี ๆ อินเอ๋อร์คงเข้าใจและยินยอมกระมัง” น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบขาดห้วง ธิดาผู้งดงามกำลังจะกลายเป็นสาวเทื้อ บิดาย่อมสะเทือนใจเมื่อเห็นผู้เป็นบิดาคล้อยตามจ้าวเฟิงเหลยจึงไม่คิดสนทนาหัวข้อนี้อีก เพราะมั่นใจว่าต่อให้น้องสาวคนงามของตนเองมีตำหนิเป็นรอยแผลเป็นที่แผ่นหลัง บุรุษที่ต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลจ้าวก็ยังมีมากมายก่ายกองอยู่ดี ถึงแม้ไม่อาจเข้าคัดเลือกเป็นพระสนม หรือชายารัชทายาทได้อีกแล้ว แต่หากขอพระราชทานสมรสให้เชื้อพระวงศ์ หรือขุนนางน้ำดีสักคนย่อมไม่ใช่เรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เพียงแต่ต้องเพิ่มสินเดิมให้มากหน่อยก็เท่านั้นเมื่อคิดตกเรื่องหนึ่ง จ้าวเฟิงเหลยก็ต้องมากังวลเรื่องที่สองแทนมู่เลี่ยงหรงตั้งข้อสงสัยในน้ำใจของจ้าวกุ้ยอิน หากจะมองเป็นเพียงข้ออ้างปัดความรับผิดชอบก็ย่อมได้ แต่ด้วยอุปนิสัยตรงไปตรงมา อีกฝ่ายไม่มีทางกล่าวลอย ๆ เป็นแน่แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนผู้นั้นมีความคิดเหลวไหลพรรณ์นี้กันเล่า?แม้น้องสาวของเขาเคยกระทำตนไม่เหมาะสม แต่นั่นเป็นเรื่องในวัยเยาว์ ไฉนอีกฝ่ายถึงได้คลางแคลงในความดีงามของนางถึงขนาดนี้ คิดแล้วก็ให้ขุ่นเคืองใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยของความก
เมื่อเห็นว่าอาการของธิดาสุดที่รักดีขึ้นจริง ๆ ตามคำรายงาน จ้าวอ๋องก็กล่าวขอบคุณสวรรค์ เขารีบรุดมานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าของจ้าวกุ้ยอินพลางยกยิ้ม แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความห่วงใย “อินเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บมากหรือไม่”“ยังเจ็บแผลอยู่บ้างเจ้าค่ะ นอกนั้นก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะลุกขึ้นมาร่ายรำให้ท่านพ่อชมได้” นางตอบบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ดี... ดียิ่ง” จ้าวอ๋องหัวเราะเบา ๆ แล้วยื่นมือไปลูบศีรษะของธิดาอย่างทะนุถนอมแต่แล้วรอยยิ้มของจ้าวอ๋องมีอันต้องจืดจาง เมื่อจ้าวกุ้ยอินไต่ถามถึงฉินอ๋อง แม้ไม่ต้องการให้ธิดาของตนเองเสียใจ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ไม่แน่ว่าสตรีที่โง่งมในรักตรงหน้าจะหูตาสว่างแล้วยอมรับความจริง“อินเอ๋อร์ ในระหว่างที่เจ้าบาดเจ็บสาหัส มู่เลี่ยงหรงก็ตบแต่งกับบุตรสาวไคกั๋วกงไปเรียบร้อยแล้ว”“เรื่องนั้นลูกเข้าใจ แม้ต้องแต่งเข้าไปเป็นชายารองก่อนก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไว้ลูกมีบุตรชายให้เขาเมื่อไหร่ ด้วยศักดิ์ฐานะย่อมต้องได้เลื่อนขั้นเป็นผิงซี[1]”“อินเอ๋อร์ พ่อรู้ว่าเจ้าอดทนได้ แต่เจ้าควรได้เป็นชายาเอก” จ้าวอ๋องเห็นอากัปกิริยาเ
“เจ้าค่ะ อินเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นห่วง” นางตอบพลางยกยิ้ม ทว่าไม่ถึงดวงตาจ้าวอ๋องตบหลังมือบุตรสาวเบาๆ สองสามครั้ง แล้วค่อยลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปปกติจ้าวกุ้ยอินเป็นคนที่มีความอดทน ดื้อดึง และใจแข็งยิ่งนัก แม้จะเจ็บปวดหัวใจปานใดก็จะพยายามข่มกลั้นอย่างถึงที่สุดแต่ยามนี้ร่างกายไม่แข็งแรง หนำซ้ำยังต้องฟังเรื่องที่บีบรัดหัวใจ ความทรมานทางกายผสานกับความรู้สึกทำให้เกินทนรับไหว สุดท้ายก็กระอักโลหิต หมดสติไปอีกครั้งขณะนั้น อวี้หรูเหรินนำน้ำแกงบำรุงมาให้จ้าวกุ้ยอินพอดี ทันทีที่นางกำนัลคนสนิทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากห้องนอน เอ่ยละล่ำละลักว่าท่านหญิงกระอักโลหิตหมดสติไปอีกแล้ว นางก็ตกใจเป็นลมล้มไปอีกคน ทำให้เรือนอิงฮวาวุ่นวายโกลาหลขึ้นในบัดดลโชคดีที่หมอหลวงยังไม่ทันก้าวออกจากจวนจ้าวอ๋อง ชิวสุ่ยจึงวิ่งไปรั้งตัวเขากับหมอหญิงกลับมาได้ทันหมอหลวงชราเร่งฝีเท้าตามชิวสุ่ยกลับไปเรือนอิงฮวาอย่างว่องไว พอเข้าไปถึงก็พบว่ามีคนป่วยอยู่ถึงสองคน เขาไม่รอช้า สั่งให้หมอหญิงไปดูแลอวี้หรูเหรินที่ตกใจเป็นลม ส่วนตนก็ตามชิวสุ่ยเข้าไปยังห้องนอนด้านในชิวอิงกับชิวเยวี่ยกำลังใช้ผ้าสะอาดเช็ดคราบเลือดที่เปรอะเปื้อ
เถิด นี่มันบนรถม้านะ” จ้าวกุ้ยอินรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว จึงพยายามไม่มองเขา แล้วเอ่ยปราม“อ่อ ถ้าเป็นที่อื่น สามีไม่ต้อง...”“หยุดเดี๋ยวนี้เลย!”“ก็ได้...ก็ได้ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว” ครั้นสัมผัสได้ถึงโทสะจาง ๆ ในน้ำเสียงภรรยาอีกครั้ง เยี่ยนหยางจงก็รีบออกปาก พลางดึงนางเข้ามาซบในอ้อมอก แล้วเอ่ยอย่างนุ่มนวน “กว่าจะกลับถึงจวนคงอีกนาน อินเอ๋อร์ก็พักผ่อนเถิด”“ข้า...ข้านอนแบบนี้ไม่ถนัด ท่านก็ขยับไปตรงโน้นสิ ผู้อื่นจะได้นอนลงบนตั่ง”“ตรงนี้ดีแล้ว” พูดพลางกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีก ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อย“...” จ้าวกุ้ยอินไร้วาจา ได้แต่ลอบตำหนิอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้เผด็จการเหลือร้าย แม้ปากจะเอ่ยคำหวาน แต่ไม่เคยยินยอมให้นางปฏิเสธเขาแม้แต่หนเดียว จึงจำต้องโอนอ่อน หลับตาลงในอ้อมกอดแต่โดยดีรถม้าเคลื่อนไปบนถนนศิลาอย่างช้า ๆ ทั้งสองไม่ได้สนทนาอะไรกันอีก มีเพียงสัมผัสจากริมฝีปากอุ่นประทับเบา ๆ ลงบนหน้าผากของจ้าวกุ้ยอินอยู่เป็นระยะ เดิมทีนางคิดว่าอีกฝ่ายแค่แสดงละครฉากใหญ่ให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเป็นสามีตัวอย่าง และตนเองเป็นสตรีผู้โชคดีแต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสแสร้งหรือว่า...เขามี
“ชู่ว์...อย่าเอ็ดไป เจ้าไม่กลัวคนข้างนอกได้ยิน แล้วสงสัยว่าเรา...กำลัง...ทำอะไรกันอยู่...?” เมื่อเห็นคนปากเก่งแนบตนเองไว้กับผนังรถม้าอย่างเอาเป็นเอาตาย ถลึงตาใส่ขู่ฟอด ๆ อย่างกับแมวน้อย เยี่ยนหยางจงก็เผยรอยยิ้มลำพองใจ“เจ้า...เจ้า...เจ้ามันชั่วช้าสารเลว กักฬะสิ้นดี”“น้องหญิงเรียกแบบนี้ใช้ไม่ได้นะ นี่สามี...ใช่คนชั่ว คนสารเลวที่ไหนกัน” เยี่ยนหยางจงส่งสายตาหยอกเย้า พลางหัวเราะเบา ๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน“คนถ่อย!” ยิ่งเห็นท่าทางยียวนและได้ยินถ้อยคำที่เขาเรียกขานนางอย่างสนิทสนมราวกับคู่สามีภรรยาที่รักกันดูดดื่ม นอกจากจะขนลุกแล้ว ยังรู้สึกโมโหมากขึ้นด้วย คนผู้นี้จงใจยั่วโทสะนางชัด ๆ จึงส่งสรรพนามใหม่ไปให้อีกคำ“อะไรกันเมื่อครู่ตอนอยู่ต่อหน้าท่านพ่อตายังเรียกข้า ‘ท่านพี่’ อยู่แท้ ๆ”“คนน่ารังเกียจ!”“อินเอ๋อร์...จำได้ว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้ว สามีให้โอกาสเจ้าเรียกใหม่”“เจ้าจะทำไม ข้าพอใจจะเรียกแบบนี้ คนชั่ว คนสารเลว คนถ่อย คนบ้าอำนาจ...” จ้าวกุ้ยอินไม่ยอมแพ้ ยังคงเอ่ยสรรพนามไม่น่าฟังใส่เขาอย่างต่อเนื่อง“สามีเตือนเจ้าแล้ว”“หึ! คิดว่าผู้อื่นต้องกลัวเจ้าหมดงั้นสิ” จ้าวกุ้ยอินเชิดหน้าใส่อย่
ทันใดนั้นหลิวหยงคนสนิทของเยี่ยนหยางจงก็เดินนำคนสองสามคนเข้ามา ทว่าทุกสายตากลับไปตกอยู่ที่อาชาซึ่งถูกจูงมาทางด้านหลัง ยิ่งเข้ามาใกล้ ทุกคนในที่นั้นก็แทบลืมหายใจขนสีทองที่ปกคลุมตลอดทั้งตัวเปล่งประกายยามต้องแสงอรุณ ทั้งแข็งแรง องอาจปราดเปรียว งามสง่ายากจะหาใดเปรียบปาน“อะ...อะ...อาชาสวรรค์” จ้าวอ๋องอุทานออกมาแทบไม่เป็นคำ นับประสาอะไรกับจ้าวเฟิงเหลยที่ยืนตะลึงอ้าปากตาค้างไปแล้ว“ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง แม้แคว้นหานจะมิได้ขาดแคลนอาชาเหงื่อโลหิต แต่รับรองว่าไม่มีผู้ใดมี ‘อาชาสวรรค์’ ไว้ในครอบครองอย่างแน่นอน”“จะ...เจ้าให้ข้า”“ไม่ผิด และหวังว่าของขวัญชิ้นนี้จะทำให้ท่านพ่อตากระจ่างในเจตนาของหยางจง” เยี่ยนหยางค้อมกายคารวะอย่างนอบน้อม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาทั้งมั่นคงและหนักแน่น แววตาคมกล้าเผยความจริงใจใช้อาชาสวรรค์ตอบแทนที่เขายกสตรีแสนวิเศษให้! นี่เยี่ยนหยางจงกำลังจะบอกว่าธิดาของเขามีความสำคัญมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวจ้าวอ๋องหันไปมองจ้าวกุ้ยอินปราดหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนกลับมาที่เยี่ยนหยางจง แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ในเมื่อบุตรเขยพยายามแสดงความจริงใจถึงขนาดนี้ ตนเองจะยอมเชื่อใจดูสักครั้ง“เปิ่นหวาง
หลังรับสำรับกลางวันเสร็จ จ้าวอ๋องกำลังอารมณ์ดี จึงชวนบุตรเขยกับบุตรชายไปสนทนาและร่ำสุราต่อในสวน ส่วนจ้าวกุ้ยอินกับอวี้หรูเหรินขอตัวไปเดินเล่น พูดคุยกันตามประสาสตรีขณะที่เหล่าบุรุษกำลังสนทนากันอย่างออกรส บ่าวชายผู้หนึ่งก็เข้ามารายงาน“เรียนท่านอ๋อง มีพ่อค้าจากต่างแดนกลุ่มหนึ่งอ้างว่านำของมาส่งท่านแม่ทัพ บ่าวเห็นว่าไม่มีคำสั่ง จึงให้พวกเขาไปรอที่ประตูหลัง แต่ยังไม่ให้เข้ามาขอรับ”“หากเป็นของเจ้า เหตุใดจึงให้ส่งมาที่นี่เล่า” จ้าวอ๋องหันไปถามบุตรเขย“เรียนท่านพ่อตา สิ่งที่ส่งมาคือของขวัญวันเยี่ยมบ้านภรรยาของข้า” เยี่ยนหยางจงตอบพลางอมยิ้มน้อย ๆ“ไม่ใช่ว่าส่งเข้ามาหมดแล้วหรอกหรือ” จ้าวอ๋องนึกถึงของมีค่าที่ธิดายกเข้ามาให้ก่อนหน้านี้“เพื่อตอบแทนที่ท่านพ่อตายกสตรีที่แสนวิเศษเช่นท่านหญิงให้กับข้า แน่นอนว่าของขวัญชิ้นนี้ย่อมพิเศษกว่า”คำพูดของบุตรเขยเอ่ยเป็นนัย เขาต้องการแสดงออกถึงความจริงใจที่มีต่อจ้าวกุ้ยอิน จ้าวอ๋องจึงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมา พลันหันไปสั่งบ่าวชายที่ยืนรออยู่ “เร็วเข้า รีบให้พวกเขาเข้ามาส่งของ หลังจากรับไว้แล้วก็เอามาให้ข้าดูที่นี่”“ช้าก่อน ท่านพ่อตา พวกเราคงต้องไปชมที่คอกม้าจึ
“ช้าก่อน” เสียงตะโกนแหบห้าวดังกังวานมาจากหัวมุมถนน ยับยั้งคำสั่งเคลื่อนขบวนรถม้าไว้ทันท่วงทีจ้าวกุ้ยอินอยู่ภายในรถทำให้ไม่เห็นสภาพภายนอก ชิวอิงจึงออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอเห็นร่างสูงสง่าบนหลังอาชาสีนิลกำลังออกคำสั่งให้องค์รักษ์ตั้งขบวนอารักขา พลันเลิกม่านกลับเข้ามารายงานด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว ตอนนี้กำลังจัดกำลังอารักขาขบวนอยู่เจ้าค่ะ”“จัดกำลัง?” จ้าวกุ้ยอินขมวดคิ้ว ยังรู้สึกรับมือไม่ทัน“ท่านหญิงได้ยินไม่ผิดเจ้าค่ะ” พูดจบชิวอิงก็ขยับเข้ามา เลิกม่านหน้าต่างขึ้นเล็กน้อยจ้าวกุ้ยอินทอดสายตาออกไปภายนอก เห็นทหารองค์รักษ์ประมาณสิบกว่าคนกำลังตั้งขบวนอยู่ด้านหลัง จึงเข้าใจสถานการณ์อย่างแจ่มแจ้ง ความจริงแล้วบุรุษที่หายหน้าไปตั้งแต่เมื่อวาน ไม่ได้คิดจะสร้างความอัปยศให้นางโดยการให้กลับไปเยี่ยมบ้านผู้เดียวสินะรอยยิ้มสายหนึ่งปรากฏบนดวงหน้างามลออโดยไม่รู้ตัวแต่พอเห็นว่าเยี่ยนหยางจงทำท่าเหมือนจะหันมาทางนี้ นางก็รีบเก็บสายตากลับ แล้วพึมพำเสียงเบา “นับว่าเจ้าหมียักษ์ยังรู้ดีชั่ว”เยี่ยนหยางจงมองม่านหน้าต่างที่พะเยิบพะยาบด้วยแววตาล้ำลึก ก่อนบังคับอาชาไปยังหน้าขบวนรถม้าพร้อมกับห
ครั้นตื่นลืมตา จ้าวกุ้ยอินพบว่าที่ตนเองตระหนกอยู่ครึ่งค่อนคืนนั้นเสียเปล่าแล้วเยี่ยนหยางจงไม่ได้กลับมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวภายในห้อง แม่นมจางเดินนำชิวอิงกับชิวเยวี่ยเข้ามาปรนนิบัติยามเช้าทันที เพราะวันนี้คู่แต่งงานใหม่ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าสาวตามธรรมเนียมจ้าวกุ้ยอินลุกขึ้นจากเตียงแล้วทำธุระเช้าโดยไม่อิดออด เพราะจะได้กลับจวนไปพบหน้าบิดากับพี่ชายใหญ่ ไหนจะอวี้หรูเหรินอีก เมื่อในหัวใจเกิดความยินดี ยามนี้จึงรู้สึกสดชื่นอย่างยิ่งหลังจากพลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้ว แม่นมจางก็พาชิวเยวี่ยออกไปจากห้อง เหลือเพียงชิวอิงที่กำลังง่วนกับการแต่งหน้าทำผมให้เจ้านายภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียง “กรุ๊งกริ๊ง” ยามชิวอิงหยิบปิ่นทองประดับทับทิมปักลงบนศีรษะ จ้าวกุ้ยอินเหลือบมองเครื่องประดับชุดนั้นด้วยสายตาเย็นชา ก่อนยกมือขึ้นเป็นเชิงรั้ง “ข้าไม่เอาเครื่องประดับชุดนี้”“ทำไมเล่าเจ้าคะ? บ่าวว่าเครื่องประดับปิ่นชุดนี้งดงามอย่างยิ่ง เหมาะกับท่านหญิงเป็นที่สุด” ชิวอิงเลิกคิ้วถาม“ถ้าจำไม่ผิด ปิ่นชุดนี้คือของหมั้นที่เยี่ยนหยางจงส่งมาให้ข้า”“ใช่แล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังนึกแปลกใจไม่หาย ว่าท่
หลังจากได้ชื่ออย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว จิงจิงก็ก้มหน้าลงแทะเปลือกเหอเถาต่อ โดยมีจ้าวกุ้ยอินนั่งเท้าคางมองมันด้วยความเอ็นดูอยู่เงียบ ๆดวงหน้างามพิสุทธิ์อาบย้อมด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาหงส์ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังสายน้ำฤดูสารท สีหน้าเปี่ยมสุขราวบุปผาบานสะพรั่ง ดูงดงามเปล่งประกายจนผู้มองตาพร่ามัวภาพสตรีสะคราญโฉมเริงรื่นดุจความฝัน ทำให้เรือนเจาหยางมีชีวิตชีวาขึ้นในบัดดลยามแสงทองบนท้องนภาถูกแทนที่ด้วยม่านราตรีสีดำ ทั่วทั้งจวนก็เริ่มจุดโคมไฟ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนเจาหยาง แสงสีนวลจากโคมเหนือประตูสว่างไสวเสมือนดวงดาวนำทางให้ใครสักคน หลังจากอาบน้ำจนหอมกรุ่นไปทั้งกาย ชิวอิงกับชิวเยวี่ยก็ช่วยกันสวมชุดนอนให้นายหญิง ทั้งบรรจงสางผมจนเรียบลื่น กระทั่งเส้นไหมสีดำมันวาวแผ่สยายเต็มแผ่นหลังเอี้ยมสีชมพูปักลายดอกโบ๋ตั๋นถูกสวมทับด้วยอาภรณ์แพรโปร่งบางสีเดียวกัน ขับเน้นผิวขาวราวหิมะให้กระจ่างสดใส อวดเรือนร่างอรชรภายใต้แสงเทียน ดูเย้ายวนใจอย่างยิ่งจ้าวกุ้ยอินอดขมวดคิ้วมิได้ เมื่อเห็นคนสนิททั้งสองกระตือรือร้นในการแต่งกายให้นางเป็นพิเศษ ราวกับจะเตรียมส่งพระสนมไปยังห้องบรรทมของจักรพรรดิ“พวกเจ้าแน่ใจนะว่ากำลัง
“ขอบคุณฮูหยินชื่อจื่อมากขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” ชิงอวี้รับถุงแพรมาด้วยหน้าตายิ้มแย้ม แล้วกล่าวคำอำลา หลังจากได้รับอนุญาตเขาก็รีบจากไปทันทีจ้าวกุ้ยอินมองไปยังตะกร้าที่เจ้ากระรอกน้อยนอนอยู่แล้วหัวเราะเบา ๆ ที่แท้ท่าทางจะเป็นจะตายของมันเมื่อครู่เกิดจากความตะกละ แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกยินดีที่เจ้าก้อนกลมสีน้ำตาลนี้จะไม่เป็นอะไร เพราะถ้ามันตายขึ้นมา คงเพิ่มความหดหู่ให้ชีวิตนางมากขึ้นไปอีก“ถ้าเป็นตามที่ท่านหมอบอก อีกไม่นานเจ้านี่คงจะถ่ายออกมา บ่าวว่าเอามันออกไปดูแลที่อื่นดีกว่าเจ้าค่ะ” ชิวอิงยังคงจดจำกลิ่นราวกับมีอะไรตายเมื่อครู่ได้ดี จึงไม่คิดเสี่ยงให้มันถ่ายของเสียออกมาในห้องอีกแต่ว่าสายเกินไป...ปู๊ด! ปรื๊ด...ปรี๊ด! จ้าวกุ้ยอินเอามือปิดจมูก ลุกขึ้นในฉับพลัน แล้วสาวเท้าถี่ ๆ ออกไปจากห้อง แต่ก่อนที่ร่างอรชรจะพ้นประตู ยังไม่วายหันมากำชับนางกำนับคนสนิท “ชิวอิง เรื่องนี้ให้เจ้าไปจัดการก็แล้วกัน พอทำความสะอาดเรียบร้อยค่อยไปตามข้า”ชิวอิงรับคำสั่งแล้วร้องไห้อยู่ในใจ พลางมองตะกร้าใบเล็กอย่างผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมฮือ...ท่านหญิง ทำไมเป็นข้าที่ต้องเช็ดอึกระรอกด้วยเล่า?เมื่
“ลำบากท่านหมอแล้ว แต่ ‘คน’ ที่เป็นอะไรนั้นไม่ใช่ข้า” จ้าวกุ้ยอินยิ้มน้อย ๆ กล่าวตอบอย่างนุ่มนวล“ฮูหยินซื่อจื่อเกรงใจไปแล้ว ไม่ว่าผู้ใดในจวนเจ็บไข้ล้วนเป็นหน้าที่ของผู้น้อยทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าจะให้ตรวจนางกำนัล หรือสาวใช้คนใดของท่านขอรับ”“รบกวนท่านหมอแล้ว” กล่าวจบ จ้าวกุ้ยอินก็ผายมือไปด้านข้างซึ่งไม่มีใครอยู่ทั้งสิ้น“...” ชงอวี้นิ่งอึ้ง“ในตะกร้า” พอเห็นสีหน้างุนงงของผู้เป็นหมอ จ้าวกุ้ยอินจึงเปิดปากอีกประโยคชงอวี้สาวเท้าไปยังโต๊ะข้างตั่งที่มีตะกร้าวางอยู่ใบหนึ่ง พอถึงที่หมายก็ชำเลืองมองลงไป เมื่อเห็นกระรอกน้อยนอนตัวสั่นอยู่ในนั้น พลันรู้สึกเหมือนกำลังถูกทดสอบความอดทนแม้อยากจะตะโกนใส่หน้าสวย ๆ ของฮูหยินซื่อจื่อว่า ท่านเล่นบ้าอะไรอยู่? แต่ก็พยายามตั้งสติ รวมไปถึงทำความเข้าใจสตรีงดงามที่กำลังยกยิ้มน้อย ๆ แล้วมองมาทางนี้อย่างมีความหวัง จึงยังรักษาความสุขุมเอาไว้ได้หากสัตว์เลี้ยงแสนรักเจ็บป่วย ไม่ว่าผู้ใดย่อมรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นนางจึงส่งคนเชิญตนเองมารักษามันกระมังแต่ว่าเขาเป็นหมอรักษาคน!“ท่านหมอรออะไรอยู่หรือ ยังไม่รีบตรวจอีก” จ้าวกุ้ยอินที่รอฟังอาการของกระรอกน้อยเจ้าปัญหาอยู่เอ่ยเ