LOGINโรสตวัดใบหน้ากลับมาแล้วส่งค้อนวงโตให้สามีที่ชอบพูดเข้าข้างลูกชาย รวมทั้งพูดถึงว่าที่ลูกสะใภ้อย่างช้องนาง
ช้องนาง ชินนุรัตน์คือหญิงสาวใบหน้าคมอายุยี่สิบห้าปี ลูกสาวคนโตของอนุวัต เพื่อนของโรสในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งมาหยิบยืมเงินไปจุนเจือครอบครัวเนื่องจากบริษัทของครอบครัวล้มละลาย ทำให้ครอบครัวชินนุรัตน์สิ้นเนื้อประดาตัว และนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้โรสได้รู้จักกับช้องนาง เพราะเจ้าหล่อนมาขอทำงานที่บริษัทเพื่อชดใช้หนี้ที่เกิดขึ้น
แต่จุดพลิกผันสำหรับครอบครัวชินนุรัตน์ ก็คืออุบัติเหตุครั้งสำคัญ ที่ทำผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวนั้นสูญเสียขาไป ทำให้ช้องนางต้องแบกรับทำหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวแทน ต้องหาเงินส่งเสียน้องทั้งสองเรียนต่อ และยังต้องหาเงินมารักษาผู้เป็นพ่อ โรสนั้นเห็นในความขยันและรักครอบครัวหล่อนจึงยื่นข้อเสนอให้ ซึ่งก็คือการแต่งงานกับลูกชายหัวดื้อเพื่อแลกกับเงินค่ารักษาอนุวัตและส่งน้องชายน้องสาวของช้องนางเรียนจนจบ ซึ่งฝ่ายช้องนางก็ยอมตกลง
“โธ่คุณ!! ไม่สงสารหนูนางบ้างหรือไงที่ต้องมารองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของลูกเรา” ถึงจะรู้ดีว่าสิ่งที่ภรรยาทำลงไปนั้นก็เพื่อให้ลูกชายหลุดพ้นจากความเศร้า กลับมาเป็นคนเดิม ลืมเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิต แต่เขาก็ไม่อยากใช้วิธีนี้ ชีวิตคู่มันจะมีความสุขได้อย่างไรหากไม่ได้เกิดจากความรัก แต่แล้วความคิดก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นสายตาของโรสที่ส่งมาให้ ราเชนกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดคอ เพราะมันเป็นสายตาแม่เสือที่กำลังไม่พอใจ “หยุดพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ” เธอตอกย้ำความคิดเช่นเดิม พลางเชิดหน้าใส่แล้วเดินหนี ฝ่ายราเชนก็ได้แต่ส่ายศีรษะกับความดื้อของเมียรัก ซึ่งไม่ต่างจากลูกชายตัวดีของเขาเลยสักนิด“เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก แล้วยังมาถามอีกว่าลูกชายของเราเอานิสัยมาจากใคร เฮ้อ ก็มาจากคุณเต็มๆ”
ห้องบอลรูมสุดหรูในโรงแรมระดับห้าดาวถูกเนรมิตตกแต่งไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ขาว ชมพู แดงให้เหมาะสมกับงานวิวาห์สุดยิ่งใหญ่ที่ถูกจัดขึ้นในครั้งนี้ บรรดาแขกเหรื่อต่างทยอยมาร่วมงาน ใบหน้าทุกคนต่างมีรอยยิ้มประดับไว้ ต่างจากแม่งานคนสำคัญซึ่งกำลังทำสีหน้าเคร่งเครียด กระวนกระวายใจ เดินไปเดินมาไม่หยุด
“คุณ ทำไมเจ้ารามันยังไม่มาอีก นี่จะได้เวลาทำพิธีแล้วนะ” โรสเอ่ยถามสามีพลางชะเง้อคอมองหา
ราเชนได้แต่ส่ายศีรษะออกมาเป็นคำตอบ เพราะไม่รู้เลยว่าลูกชายจะมาหรือไม่ ก็เล่นไปบังคับกันซะขนาดนั้น เป็นเขาก็คงไม่มา ใครจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก แถมยังไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง และไม่รู้ว่าหากลูกชายมา แล้วงานแต่งนี้จะเป็นอย่างไร เพราะลูกชายก็หัวดื้อไม่แพ้คนเป็นแม่ คงมีอะไรเซอร์ไพรส์ให้มารดาตกใจแน่นอน
“คุณหญิง ดิฉันแต่งหน้าเจ้าสาวเสร็จแล้วนะคะ ไหนล่ะคะเจ้าบ่าวที่จะให้แต่ง” ช่างแต่งหน้าช่างเจรจาเอ่ยถามขณะจูงมือเจ้าสาวมาให้ทุกคนชม
“ฉันก็รอมันอยู่นี่ละ ไม่รู้ว่ามันจะมาไหม” โรสกล่าวเสียงกังวล แล้วหันมาส่งยิ้มให้กับว่าที่ลูกสะใภ้คนสวย ซึ่งอยู่ในชุดไทยประยุกต์สีทอง เปิดไหล่กว้างด้านซ้าย ส่วนอีกด้านมีสไบยาวสลวย
“สวยมากหนูนาง สวยจริงๆ แม่เลือกคนไม่ผิดเลย”
เจ้าสาวก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ แอบแสดงสีหน้ากังวลกับงานแต่งงานวันนี้ ก็หล่อนนั้นยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวเลยสักครั้ง เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ความร้ายกาจ ถ้าเจอกันแล้ว หล่อนจะต้องทำตัวอย่างไร จะพูดกับเขาแบบไหนช้องนางกังวลไม่น้อยในเรื่องนี้
ก่อนที่จะทำใจฮึดสู้ ในเมื่อหล่อนตัดสินใจยอมรับข้อเสนอของโรสแล้ว หล่อนก็ต้องทำให้ได้ พลันหันไปส่งยิ้มให้น้องชายและน้องสาวที่กำลังเดินตรงเข้ามาหา
“พี่นางของนุช สวยจังเลยค่ะ” นุชนาถเอ่ยเสียงหวาน เข้ามากอดพี่สาวไว้แน่น ก่อนที่จะเอ่ยถึงบิดาที่ไม่สามารถมาร่วมยินดีด้วยได้ เพราะต้องรักษาตัวจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น ครั้งที่เกือบทำให้พวกเธอสามคนสูญเสียผู้เป็นพ่อไป“เสียดายนะคะที่คุณหมอยังไม่อนุญาตให้พ่อออกจากโรงพยาบาล ไม่งั้นพ่อก็คงชมพี่นางเหมือนที่นุชชม ใช่ไหมชิน” เธอเอ่ยพร้อมกับผละออกห่างแล้วหันไปถามอชิน น้องชายคนสุดท้อง
“ใช่ พี่นางสวยมากๆ” อชินตอบเสียงเข้ม “พี่ก็อยากให้พ่อมา” ช้องนางตอบเสียงเศร้า เพราะใครๆ ก็ต้องอยากให้บุพการีมาอวยพรในวันที่มีคู่ครองและกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันทั้งนั้น เมื่อเห็นสีหน้าของน้องชายและน้องสาวแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าเพราะคำพูดของตน เจ้าหล่อนก็รีบเอ่ยขึ้นทันที“แต่ไม่เป็นไร แค่มีชินกับนุชพี่ก็ดีใจแล้ว แล้วอีกอย่างพ่อก็กำลังรักษาตัวอยู่ พี่ไม่อยากให้พ่อต้องลำบากมาที่นี่ ชินกับนุชออกไปช่วยรับแขกข้างนอกเถอะ อีกไม่นานพิธีก็เริ่มแล้ว”
“ได้ครับ/ได้ค่ะ” ทั้งสองตอบรับและหันหลังกลับเดินออกไปบริเวณหน้างาน
“เอ้า! คุณหญิง ตกลงจะให้ดิฉันแต่งหน้าเจ้าบ่าวไหมคะ ถ้าไม่ งั้นดิฉันจะได้ขอตัวกลับ ดิฉันก็มีงานเยอะนะคะ” ช่างแต่งหน้าเอ่ยถามพลางยกนาฬิกาเรือนหรูขึ้นมาดู เพราะเจ้าตัวนั้นรับงานเอาไว้แน่นเอี๊ยด วันๆ หนึ่งสี่ถึงห้างาน ทำให้ต้องรีบไปงานอื่นต่อ
“รออีกสักแป๊บสิ เดี๋ยวลูกชายของฉันก็มา” โรสพูดด้วยอาการร้อนรน กลัวว่าลูกชายจะไม่มาจริงๆ
เข็มนาฬิกาเดินหมุนไปเรื่อยๆ จนเวลาเหลืออีกเพียงสิบนาทีก็จะถึงเวลาเริ่มพิธี แต่ก็ยังไม่เห็นเงาของเจ้าบ่าว ทำให้โรสแสนจะหงุดหงิดใจ แถมพอกดโทรศัพท์ไปหาก็ดันได้ยินแต่เสียงให้ฝากข้อความ
“นั่งก่อนเถอะคุณ เดี๋ยวเจ้ารามันก็มาเอง” ราเชนต้องเอ่ยบอกให้ภรรยาใจเย็น หยุดเดินวนไปวนมาแล้วนั่งลง เพราะกลัวว่าจะเป็นลมเป็นแล้งไปเสียก่อนที่จะได้เริ่มพิธี
“คุณจะให้ฉันนั่งลงได้ไงคะ ป่านนี้แล้วมันยังไม่มาเลย เจ้าลูกชายของคุณ ดูสิ เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้ว”
“คุณจะให้ฉันนั่งลงได้ไงคะ ป่านนี้แล้วมันยังไม่มาเลย เจ้าลูกชายของคุณ ดูสิ เหลือเวลาไม่ถึงห้านาทีแล้ว” โรสถึงกับนั่งไม่ติด ต้องเดินไปชะเง้อคอมองว่าลูกชายจะมาเมื่อไร เวลาก็เดินผ่านไป เดินไปเรื่อยๆ และแล้วในที่สุดเวลาก็เดินมาถึงฤกษ์พิธีหมั้นหมาย ฝ่ายผู้ดำเนินงานต้องเดินมาสอบถามเมื่อเห็นว่าเลยฤกษ์มาพอสมควรแล้ว
“โอ๊ย!! คุณฉันจะทำไงดี เจ้ารามันจะมาไหม นี่มันจะไม่นับว่าฉันเป็นแม่ของมันหรือไง” เธอถามเสียงสั่น รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา จนจะเซล้ม
“คุณหญิงไหวไหม ผมก็บอกคุณแล้วว่าอย่าไปบังคับมัน” ราเชนรีบวิ่งเข้ามาประคองภรรยาแล้วพาไปที่โซฟา พร้อมกับที่ช้องนางรีบไปหายาดมมาให้
“ดีขึ้นไหมคุณหญิง” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าสีหน้าของภรรยาเริ่มดีขึ้น จึงค่อยๆ พยุงขึ้นมาพิงที่โซฟา
คนอาการดีขึ้นพยักหน้า ก่อนที่จะหลบตาลงเพื่อทำใจประกาศยกเลิกงานแต่ง ก็จะดำเนินงานต่อได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีเจ้าบ่าว พลันหันไปบอกผู้ดำเนินงานน้ำเสียงเศร้า
“ประกาศยกเลิกงานแต่งเลยค่ะ ลูกชายของฉันคงไม่มาแล้ว ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ทำให้เสียเวลา” แล้วหันไปหาว่าที่ลูกสะใภ้
“แม่ขอโทษนะลูกที่ทำให้หนูเสียหน้าและเสียใจ” เธอเอ่ยออกมาด้วยความเสียใจและรู้สึกน้อยใจลูกชายสุดรัก น้ำตาคลอที่หน่วยตาไม่คิดเลยว่ารามันจะไม่ยอมมา ทั้งๆ ที่ขู่ไปแล้วว่าจะตัดความสัมพันธ์แม่ลูก เจ้าหล่อนพยายามสกัดกั้นไม่ให้น้ำตาไหล ไม่อยากจะทำให้มันเศร้าไปมากกว่านี้ และดีใจไม่น้อยที่อนุวัต บิดาของช้องนางไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะขืนมาอาการคงทรุดหนักมากไปกว่าเก่า
“ไม่ต้องขอโทษนางหรอกค่ะคุณหญิง นางเข้าใจดี”
“ยังไงแม่ก็ต้องขอโทษ ที่ทำให้หนูหม้ายงานแต่งแบบนี้ แม่…” แต่ไม่ทันที่โรสจะเอ่ยจบ เสียงทุ้มต่ำของคนที่หล่อนรอคอยก็ดังขึ้น พร้อมกับก้าวเท้าหนาเข้ามาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ผมมาแล้ว” เจ้าของเสียงทุ้มเดินเข้ามาพร้อมยกมือไหว้ผู้เป็นแม่และพ่อ ก่อนจะปรายตามองไปหาว่าที่เจ้าสาวด้วยสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ แสยะยิ้มให้อย่างเหยียดหยาม
รามันอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีซีด กางเกงยีนสภาพขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา ซึ่งสภาพแบบนี้เขาก็จงใจทำ เพื่อทำให้เจ้าสาวที่ไม่รู้ว่าคือใครนั้นอับอาย
“จะเริ่มงานเลยไหมครับ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” เอ่ยเสียงเหี้ยมพร้อมกับเดินไปกระชากตัวของเจ้าสาวเข้ามาหาแล้วกดริมฝีปากหนาลงไปที่แก้มนวล ทุกคนต่างตกใจทำสีหน้าเหลอหลากันไปหมด
“ว้าย!!” ช้องนางร้องลั่นเมื่อโดนกระชากอย่างแรงแถมยังโดนหอมแก้มทั้งซ้ายและขวา
“หอมแบบนี้ นี่เอง แม่ฉันถึงต้องจ่ายเงินไปเป็นสิบล้านกับค่าตัวของเธอ ว่าแต่หากินแบบนี้มากี่รายแล้วแม่โสเภณี”
รามันสาดกระหน่ำความร้ายกาจให้เห็นทันที คำพูดของเขาทำให้ทุกคนต่างอึ้ง ขนาดโรสยังยกมือขึ้นมาทาบอก ไม่คิดว่าลูกชายจะพูดแรงและไม่ให้เกียรติผู้หญิงถึงขนาดนี้
“ทำไมพูดแบบนี้เจ้ารามัน พ่อไม่เคยสอนให้แกพูดดูถูกผู้หญิงแบบนี้นะ ขอโทษหนูนางซะ” น้ำเสียงเหี้ยมเอ่ยสั่งพร้อมกับจ้องมองลูกชายตาเขม็ง ไม่พอใจในการกระทำและคำพูด
“ไม่จำเป็นครับพ่อ ผมไม่เห็นความจำเป็นต้องขอโทษ ในเมื่อมันจริงทุกอย่าง แล้วนี่จะเริ่มงานเลยไหมครับ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ” มือหนาบีบรัดข้อมือสวยแน่น ก่อนจะกระชากให้เดินตามไปหน้างาน
โรสส่ายหน้าอออกมากับการกระทำของลูกชาย ก่อนจะร้องห้ามสามีไม่ให้ตามไปเอาเรื่องลูกชาย รู้ดีว่านิสัยลูกชายเป็นอย่างไร ห่าม เถื่อน เย็นชา แต่ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่แสดงออกมา แต่ลูกชายหล่อนนั้นแสดงความอ่อนโยนไม่เป็น
และยังคงช้ำกับความรักครั้งเก่า ที่ทำให้เกือบไม่เป็นผู้เป็นคน เพราะถูกหลอกถึงสองครั้งสองครา หล่อนก็หวังว่าลูกสะใภ้จะช่วยบำบัดรักษาจิตใจของลูกชายให้กลับมาเป็นเช่นเดิม
และเมื่อเห็นว่ารามันกำลังก้าวลิ่วๆ เข้าไปในงาน ทั้งที่ยังคงแต่งตัวแบบนั้น โรสก็ร้องถามเสียงดังลั่น
“เจ้ารามันแกจะไม่แต่งตัวก่อนหรือไง” รู้อยู่แล้วว่าลูกชายตัวดีคงแต่งแบบนี้มาเพื่อประชดประชัน แต่หล่อนก็ไม่ใส่ใจ ในเมื่ออยากแต่งแบบนี้ก็ตามสบาย หล่อนก็ไม่ขัด
และเมื่อเริ่มพิธี โรสก็ลมแทบจับอีกหน เมื่อลูกชายโยนแหวนหมั้นราคานับสิบล้านทิ้ง แล้วหยิบแหวนดอกหญ้าขึ้นมาแทน
“แหวนราคานับสิบล้านแบบนี้ มันไม่เหมาะกับผู้หญิงหากินแบบนี้หรอกครับ มันต้องแหวนดอกหญ้า ถึงจะเหมาะสมกัน”
มุมปากเหยียดตรง แววตานั้นส่อถึงความรู้สึกที่มีได้เป็นอย่างดี มันทั้งชิงชัง เหยียดหยาม และรังเกียจ
ฝ่ายเจ้าสาวนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ารับคำพูดที่โหดร้าย ช้องนางไม่รู้ว่าจะตอบโต้ไปอย่างไร ยิ่งเห็นสายตาที่มีแต่ความเย้ยหยันคู่นั้น ก็ต้องเม้มริมฝีปากแน่น ข่มความรู้สึกเศร้าและอายเอาไว้ ที่สำคัญหล่อนไม่อยากทำให้โรสและราเชน ต้องเสียหน้าไปมากกว่านี้ เพราะแค่นี้แขกผู้ร่วมงานต่างก็ซุบซิบนินทากันหนาหูแล้ว
ขนาดอชินและนุชนาถ ที่ต่างอยากเห็นใบหน้าของพี่เขยต่างก็ยืนอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก มองหน้ากันแล้วลอบกลืนน้ำลายก้อนเหนียวแทบไม่ลงคอ ไม่คิดเลยว่าว่าที่สามีของพี่สาวจะเป็นคนร้ายกาจขนาดนี้ ไม่ให้เกียรติกันเลย นุชนาถเม้มริมปากแน่นอย่างขุ่นเคืองใจ
อยากจะเข้าไปต่อว่า แต่ก็ไม่สามารถทำได้ ในเมื่อพี่สาวขยับริมฝีปากบอกออกมาว่าไม่เป็นไร ที่สำคัญหล่อนรู้สึกเกรงใจโรส
ความบ้าบิ่นและป่าเถื่อนของรามัน ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ พอสวมแหวนหมั้นเสร็จ มือหนาก็กระชากตัวเจ้าสาวเข้ามาใกล้ พลันประกบปากจูบอย่างรุนแรง สั่งสอนที่บังอาจกล้ามาแต่งงานกับตน แล้วกระซิบชิดริมหูขาว
“นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นนะแม่เศษดิน เธอต้องเจอความร้ายกาจของฉันอีกเยอะ” เอ่ยเสียงเข้ม ผลักให้เจ้าสาวออกห่าง ก่อนจะร้องถามหาทะเบียนสมรส
“ฮือ พ่อขา นางเหนื่อยแล้วค่ะ นางไม่อยากจะสู้แล้ว เขาไม่เคยมองนางในแง่ดีเลย มีแต่กล่าวหานาง เขาคงเกลียดนางมาก เขาคงไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีนางเป็นเมีย ฮือ...นางผิดหรือคะ ที่ทำเพื่อช่วยครอบครัว” น้ำตายังคงไหลริน หัวใจดวงน้อยมีแต่รอยแผล และมันคงยากที่จะเยียวยารามันไม่ได้ใส่ใจคนที่วิ่งร้องไห้ไป เขาเดินตรงไปสะสางงานต่อ พอได้เวลาอาหารค่ำก็กลับมา ก่อนจะยกคิ้วขึ้นสูงเมื่อไม่เห็นเมียตีทะเบียน ไหล่หนายกขึ้นสูงอย่างไม่ใส่ใจ คิดว่าหญิงสาวคงเรียกร้องความสนใจ อยากให้ง้อ แต่คนอย่างเขาไม่คิดที่จะง้อใคร ยิ่งเป็นเมียคนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางป้าน้อยอยากจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ช้องนางไม่ยอมมากินข้าว แถมพอหล่อนไปตามก็ต้องตกใจ เพราะดวงตาสวยบวมช้ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามเพราะมันเป็นเรื่องของเจ้านาย“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าน้อย” เมื่อเห็นว่าป้าน้อยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา เสียงเข้มจึงต้องเอ่ยถาม“ทะเลาะอะไรกันคะ ทำไมหนูนางร้องไห้ไม่ยอมมากินข้าว”“ป้าอย่าไปสนใจเลยครับ นิสัยเด็กแบบนั
“ฮือ พ่อขา นางเหนื่อยแล้วค่ะ นางไม่อยากจะสู้แล้ว เขาไม่เคยมองนางในแง่ดีเลย มีแต่กล่าวหานาง เขาคงเกลียดนางมาก เขาคงไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีนางเป็นเมีย ฮือ...นางผิดหรือคะ ที่ทำเพื่อช่วยครอบครัว” น้ำตายังคงไหลริน หัวใจดวงน้อยมีแต่รอยแผล และมันคงยากที่จะเยียวยารามันไม่ได้ใส่ใจคนที่วิ่งร้องไห้ไป เขาเดินตรงไปสะสางงานต่อ พอได้เวลาอาหารค่ำก็กลับมา ก่อนจะยกคิ้วขึ้นสูงเมื่อไม่เห็นเมียตีทะเบียน ไหล่หนายกขึ้นสูงอย่างไม่ใส่ใจ คิดว่าหญิงสาวคงเรียกร้องความสนใจ อยากให้ง้อ แต่คนอย่างเขาไม่คิดที่จะง้อใคร ยิ่งเป็นเมียคนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีทางป้าน้อยอยากจะเอ่ยถามถึงสาเหตุที่ช้องนางไม่ยอมมากินข้าว แถมพอหล่อนไปตามก็ต้องตกใจ เพราะดวงตาสวยบวมช้ำ ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา แต่ก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามเพราะมันเป็นเรื่องของเจ้านาย“มีอะไรหรือเปล่าครับป้าน้อย” เมื่อเห็นว่าป้าน้อยทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ยอมพูดออกมา เสียงเข้มจึงต้องเอ่ยถาม“ทะเลาะอะไรกันคะ ทำไมหนูนางร้องไห้ไม่ยอมมากินข้าว”“ป้าอย่าไปสนใจเลยครับ นิสัยเด็กแบบนั
ช้องนางสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ความคิด เหล่ไปมองเล็กน้อย เมื่อเจอสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตานั้นช่างดูถูก เหยียดหยาม เจ้าหล่อนก็หันกลับมาทำกับข้าวต่อ ไม่อยากจะสบสายตาคู่คม ทำไมกันเขาถึงไม่ยอมมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนบ้าง ทำไมต้องมองด้วยสายตาเหยียดหยามตลอด“เฮ้อ”“มัวแต่ถอนหายใจกับข้าวมันจะเสร็จไหม”“นางจะรีบทำค่ะ” เธอรีบตอบไม่อยากจะมีปัญหากับอสูรตนนี้ เดี๋ยวตอบช้าก็จะพาลมาหาเรื่องกันอีกจัดการลงมือทำกับข้าวต่อ ไม่ถึงสิบนาทีกับข้าวทุกอย่างก็พร้อมเสิร์ฟ คนนั่งรอก็ตีหน้านิ่ง จนช้องนางแอบหมั่นไส้ บางวันก็นิ่ง บางวันก็ดุอย่างกับยักษ์ คนอะไรช่างมีหลายอารมณ์เสียจริง“แล้วจะยืนหาพระแสงอะไร นั่งลงมากินข้าวสิ พิรี้พิไรอยู่ได้”“ค่ะ” ตอบรับแล้วลอบถอนหายใจ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะเอาชนะใจอสูรไร้หัวใจได้สักที หรือว่าชาตินี้จะไม่มีหนทาง คิดแล้วก็กลุ้มใจ ได้แต่ภาวนาให้ตัวเองหาวิธีเอาชนะใจชายคนนี้ได้เสียทีกาลเวลาค่อยๆ เปลี่ยนผัน จากชั่วโมงเป็นวัน วันเป็นเดือน ช้องนางมาอยู่ที่นี่ในสถานะเมียกึ
ตั้งแต่วันที่ปะทะคารมกับช้องนางอย่างดุเดือด กระชากเจ้าหล่อนเข้ามาจูบอย่างเร่าร้อน รามันก็พยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ ทำใบหน้าเรียบตึงใส่ บางครั้งก็เสแสร้งทำเป็นไม่เห็น ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนยืนอยู่ตรงหน้า เหตุผลก็เพราะหัวใจแกร่งมันดันเต้นผิดจังหวะเวลาอยู่ใกล้ๆ รู้สึกอยากจะครอบครองริมฝีปากบางนั้นอีกครั้ง จนต้องข่มใจไม่ให้เข้าใกล้กระทั่งวันนี้วันที่โรสนั้นโทรมา อยากจะคุยกับลูกสะใภ้คนโปรด ทำให้เขาต้องเข้าใกล้ โดยเจ้าหล่อนกำลังวุ่นกับการทำครัว“แม่ฉันอยากจะคุยด้วย” ยื่นโทรศัพท์ไปให้ แต่เมื่อเห็นว่าช้องนางยื่นมือมารับ ก็ชักโทรศัพท์กลับแล้วก้มลงกระซิบบอกวาจาร้ายกาจข้างหูขาว“ตอบคำถามให้มันดีๆ ละ คงรู้นะที่ฉันพูดหมายความว่ายังไง รู้ใช่ไหมหากตอบไม่ดีจะเจออะไร” ขู่เสียงเหี้ยมช้องนางพยักหน้าหงึกหงักรับ ใครจะกล้าพูดขัดใจอสูรเช่นเขา ขืนทำมีหวังอสูรผู้โหดเหี้ยมได้กลับมาอีก ขอให้มันเงียบสงบแบบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่าน เพราะหล่อนจะได้ไม่ต้องเจ็บช้ำใจ ไม่ต้องฟังวาจาเหยียดหยาม“สวัสดีค่ะคุณหญิง”“เดี๋ยวจะตีให้ตายเลย ต้องเรียกว่า
“ผมไม่ห้ามคุณหรอกครับ ผมเองก็ต้องขอโทษคุณด้วยซ้ำ นี่ถ้าวันนั้นกล้องวงจรของผับผมไม่พัง ป่านนี้คุณคงรู้แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ยังไงผมก็ขอให้คุณเจอเธอเร็วๆ นะครับ ผมเอาใจช่วย" เขาตบบ่าเบาๆ แล้วจากไปหัวใจแกร่งกระตุกวูบทุกครั้งเมื่อก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ภาพเหตุการณ์เมื่อแปดปีก่อนแวบเข้ามาในหัว ยังคงจำเสียงร้องเจ็บปวดของผู้หญิงคนนั้นได้ดี เขารู้ดีว่าตัวเองเลวแค่ไหน พอเหล้าเข้าปากจนเมามาย ทำให้เขาพร่าพรหมจรรย์ของผู้หญิงคนหนึ่ง แถมพอตื่นขึ้นมาก็จำอะไรแทบไม่ได้ กระทั่งหน้าตาของเจ้าหล่อน เขาก็ยังคงจำไม่ได้“มาคนเดียวหรือคะ ให้หนิงนั่งเป็นเพื่อนไหม”หลุดออกจากภวังค์ความคิดเมื่อได้ยินเสียงหวาน ก่อนจะหันไปมอง แล้วพบว่าผู้หญิงคนหนึ่งกำลังอยู่ในอาการเมามาย ส่งยิ้มหวานฉ่ำมาให้ แถมยังลูบไล้ไปตามร่างกาย“ไม่เป็นไรครับ ผมขอนั่งคนเดียวดีกว่า”“ทำไมล่ะคะ ก็หนิงอยากจะนั่งด้วยนี่คะ ยิ่งนั่งที่ตักด้วยยิ่งดี” พลันขยับมานั่งข้างๆ“งั้นก็ตามใจครับ” ในเมื่อปฏิเสธแล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงตื๊อ เขาก็ไม่อยากจะปฏิเสธให้เสียหน้า ริมฝีปากหนาต้องเม้มแน่น ตั้งแต่มานั่งตรงนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังจับจ้อง จนรู้สึ
“แกไปหาหนูรีมาเหรอ”รามันพยักหน้าตอบและพ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมา“แล้วหนูรีเป็นไงบ้าง?” เขาถามด้วยความเป็นห่วง รู้ดีว่าเด็กน้อยคนนี้มีความสำคัญกับเพื่อนรักมากแค่ไหน เรียกว่าตอนนี้ที่หัวใจดวงแกร่งยังเต้นอยู่บ้าง ไม่ได้ด้านตายไปซะหมด ก็เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้“ยังเหมือนเดิม” รามันตอบเสียงเศร้า พลางนึกถึงความน่ารักของลูกสาวสุดรัก“พ่อรามันขา อุ้มหนูรีหน่อยนะคะ หนูรีคิดถึงพ่อรามัน พ่อรามันเหนื่อยไหมคะ เดี๋ยวหนูรีจะนวดให้”เมื่อนึกถึงเสียงออดอ้อน ใบหน้าเล็กที่ฉีกยิ้มทีไรก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าคมได้ทุกครั้ง แต่ก็ต้องกำมือแน่นด้วยความโกรธแค้นเมื่อนึกถึงต้นเหตุที่ทำให้เสียงออดอ้อนนี้หายไป เหลือไว้แต่ความเศร้าและร่างที่เกือบไร้วิญญาณ สามปีเต็มแล้วสิที่ลูกสาวของเขาต้องนอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา สามปีแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงออดอ้อน ไม่ได้เห็นความน่ารักของเด็กคนนี้แววตาที่เศร้าลงถนัดตาของเพื่อนรัก ทำให้กิจเดินไปตบบ่าเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ“แกเชื่อฉันนะ อีกไม่นานหนูรีก็ฟื้นมา หนูรีเป็นเด็กน่ารัก นิสัยดี ฟ้าต้องเห็นใจ” พลางยกนาฬิกาขึ้นมาดู เพราะตนต้องไปเข้าเวรตรวจคนไข้“ฉันไปก่อนนะเพื่อน มีตรวจคนไข้ ส่วนแกไปรับเ







