LOGIN
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
เสียงฝ่ามือที่ฟาดลงบนร่างกายของหลานสาววัยสิบเก้าหลายต่อหลายที ทำให้ "วาสิตา" ต้องร้องไห้ก้มหน้าลงพนมมือไหว้คุณป้าผู้มีพระคุณกับชีวิต ร้องขอความเห็นใจและสำนึกผิดกับสิ่งเลวทรามที่ตัวเองได้กระทำลงจนเอาอะไรกลับมาไม่ได้อีก "ป้ามาจ๋า วาขอโทษ วาผิดไปแล้ว วาเจ็บ ป้าอย่าตีวาเลยนะ ฮือ ฮือออ" นางมาลาถึงกับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของหลานสาว น้ำหูน้ำตาที่พรั่งพรูออกมาทำให้นางนึกสงสารจับหัวใจ แต่เรื่องงามหน้าที่หลานสาวทำเอาไว้ในเวลานี้ นางจะต้องได้คำตอบที่แท้จริงจากปากของวาสิตา "แกจะบอกฉันได้หรือยัง ว่าแกไปท้องกับใครมา แกไปนอนกับใครที่ไหนมาฮะยายวา!" น้ำเสียงที่โกรธเคือง สายตาที่จ้องมองมาชวนให้วาสิตาต้องรีบหลบหน้าไม่กล้าสบตานัก "วา วาไม่รู้จ้ะป้า วาไม่รู้ว่าท้องกับใคร" เสียงที่สั่นเครือตอบกลับเบา ๆ ยิ่งทำให้คนที่ยืนรอฟังต้องโมโหขึ้นมาอีกครั้งจนได้ "แกไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเด็ก แกจะบ้าไปแล้วหรือยังไงนังหลานไม่รักดี!" ฝ่ามือของนางมาลายังระดมฟาดลงตามร่างกายหลานสาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า "เจ็บ ๆ ๆ วาเจ็บแล้วป้ามา เลิกตีวาเถอะนะ ฮึก ฮือออ ตีให้ตายวาก็ไม่รู้ว่าใครคือพ่อของลูก" "แกไปนอนให้ใครเขาเอายังไม่รู้ตัวอีกหรือไง ฉันมีหลานปัญญาอ่อนขนาดนี้เชียวเหรอฮะ!" นางรู้สึกเหนื่อยใจกับเรื่องนี้มากเหลือเกิน ทั้งที่หลานสาวเพิ่งจะเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงหนึ่งปีเลยด้วยซ้ำ หวังว่าจะให้มาทำงานด้วยและเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าหลานสาวที่ดูอ่อนหวานน่ารักไร้เดียงสา จะกล้าทำเรื่องแบบนี้ให้ปวดหัวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจนเกินแก้ไข นางคาดคั้นเอาความจริงกับหลานสาวมานานกว่าสิบนาทีแล้ว แต่วาสิตายังคงไม่ให้คำตอบที่พอใจเลยสักครั้ง จะเป็นไปได้จริงหรือที่จะไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก? "แล้วแกจะเอายังไงต่อไป แกจะให้มันเกิดมาประจานความโง่ของแกให้อับอายชาวบ้านเขาแบบนี้น่ะเหรอวา?" เมื่อไม่ได้คำตอบที่อยากจะได้ยิน นางก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร ตบตีไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว สู้มาช่วยกันคิดหาทางออกให้กับเรื่องนี้แทนจะดีกว่า "ป้ามา วาไม่รู้จ้ะว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี ป้ามาช่วยวาด้วย" "ทางเดียวที่จะทำได้ แกไปเอาเด็กออกซะ แกเพิ่งจะ 19 เองนะวา ฉันอุตส่าห์เอาแกมาจากบ้านนอก เพื่อที่จะมาทำงานหาเงินเรียนต่อให้มันสูง ๆ แม่แกที่อยู่ที่บ้านมันจะได้สบายขึ้นเหมือนคนอื่นเขาบ้าง แต่นี่แกกลับมาท้องแถมยังท้องไม่มีพ่ออีก ฉันจะบ้าตาย!" วาสิตาแหงนหน้าขึ้นจ้องมองป้าที่เคารพรักทั้งน้ำตา เมื่อนึกถึงคนเป็นแม่ที่ป่วยออดแอดแล้วยังต้องทำงานหนัก ทั้งที่เธอเพิ่งจะเรียนจบมอหกได้ไม่นาน แต่ในเวลานี้เหมือนชีวิตกำลังมืดมัวขึ้นอีกครั้ง เธออยากเรียนจบให้สูง ๆ เพื่อวันข้างหน้าจะได้มีงานดี ๆ ทำในอนาคต แม้ในเวลานี้จะเป็นเด็กรับใช้ภายในบ้าน "เมธาวิน" มีนางมาลาผู้เป็นป้าทำงานที่นี่มานานนับสิบปีแล้ว ด้วยความหวังดีอยากให้หลานสาวมีงานและเงินส่งเสียตัวเองเรียนต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัย จึงขออนุญาตเจ้าของบ้านเพื่อจะนำหลานสาวมาอยู่ทำงานรับใช้ด้วยกัน บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ แม้ว่าจะเป็นเพียงงานแม่บ้าน แต่ทุกคนในตระกูลเมธาวินก็ใจดีและเป็นกันเองมากเหลือเกิน นอกจากเวลาทำงานวาสิตาสามารถไปเรียนที่มหาวิทยาลัยได้อีกด้วย "ป้ามา แต่วากลัวนะ วาไม่กล้า" "ไม่กล้า แล้วแกจะปล่อยให้ท้องมันโตจนคนอื่นต้องมาถามหาพ่อของลูกแกน่ะเหรอ ถ้าวันหนึ่งเด็กมันอยากรู้ว่าใครเป็นพ่อที่ทำให้มันเกิดมาล่ะ แกจะบอกกับลูกมันว่ายังไงฮะวา?" นั่นสินะ เธอจะบอกกับทุกคนไม่ได้ว่าคนที่ทำเธอตั้งครรภ์ในวันนี้คือใคร ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้แต่เธอไม่สมควรจะเรียกร้องให้เขาต้องมารับผิดชอบอะไรเลยต่างหาก วาสิตาจ้องมองหน้านางมาลา รู้ดีว่าผู้เป็นป้ารักและหวังดีกับชีวิตของเธอมากที่สุด แต่จะให้ไปเอาเด็กออกเป็นเรื่องที่น่ากลัวและไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยในชีวิต "ฉันพอจะรู้จักที่ที่เขาทำ แกไม่ต้องกลัวไปหรอกวา มันไม่ใช่เรื่องผิดบาป มันไม่ได้น่ากลัว แกควรจะมีลูกเมื่อพร้อม ไม่ใช่ในเวลาแบบนี้ที่ยังเอาตัวเองไม่รอด" น้ำเสียงที่เคยเกรี้ยวกราดเปลี่ยนเป็นอ่อนนุ่มลงอีกครั้ง ใช้อารมณ์ไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นได้ นางไม่ได้อยากจะชักชวนให้หลานต้องทำร้ายอีกหนึ่งชีวิต แต่มันจะเป็นทางออกเดียวเพื่อชีวิตของวาสิตาที่เหลืออยู่ นางมาลาได้แต่ถอนหายใจออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเหนื่อยแทนหลานสาวยิ่งนัก "ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้แกเอง ฉันหวังดีกับแกนะวา ถึงฉันจะไม่เคยมีลูก แต่ชีวิตในทุกวันนี้ถ้าแกไม่มีปัญญาเอาตัวเองให้รอดก่อน ชีวิตที่จะต้องมีบ่วงมาผูกมัดคอมันหนักหนาเกินกว่าที่แกคิด แกอยากให้ลูกเกิดมาอด ๆ อยาก ๆ เหมือนอย่างที่แกเคยพบเจอมาก่อนเหรอวา แกอยากให้คนอื่นล้อเลียนลูกแกเหมือนที่แกโดนเขาล้อมาตั้งแต่เล็กจนโตงั้นสิ?"หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ภายในสวนหลังคฤหาสน์ของครอบครัวจิตติพัฒน์ เสียงหัวเราะของคนที่มาร่วมงานดังสลับกับเสียงเพลงแจ๊สหวาน ๆ ที่เล่นคลออยู่ในงานเลี้ยงเล็ก ๆ ซึ่งจัดขึ้นอย่างอบอุ่นในวันนี้ โต๊ะยาวถูกประดับด้วยดอกไม้โทนสีขาวและสีฟ้าอ่อน สื่อถึงความสุขและการเริ่มต้นใหม่ของชีวิตเล็ก ๆ ที่กำลังจะลืมตามาดูโลก บนโต๊ะตรงกลางมีเค้กสามชั้นซึ่งตกแต่งด้วยตุ๊กตาคู่เจ้าบ่าวเจ้าสาว และเด็กทารกตัวจิ๋วที่วางอยู่ระหว่างกลาง สัญลักษณ์ของครอบครัวที่กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง วันนี้ยาหยีสวมเดรสสีครีมที่ออกแบบให้รองรับหน้าท้องของคุณแม่ตั้งครรภ์ได้อย่างสวยงาม เธอยืนยิ้มกว้าง และมองไปรอบ ๆ สวนที่วันนี้ถูกจัดให้เป็นทั้งงานแต่งเล็ก ๆ ซ้ำอีกครั้ง รวมทั้งงานเบบี้ชาวเวอร์ เป็นการเฉลิมฉลองเพื่อต้อนรับเจ้าตัวน้อยของพวกเขา ทิวายืนอยู่ข้าง ๆ เขามองภรรยาด้วยสายตาที่ทั้งรักทั้งหวง “พร้อมไหมครับเจ้าสาวของพี่” เขาก้มลงกระซิบเบา ๆ ข้างหู "งานวันนี้มันเกิดขึ้นเพราะความรักและความเต็มใจของเราสองคนใช่ไหมคะ?" “ใช่ครับ และพี่ก็อยากจัดงานแต่งกับหยีทุกปีเลย" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มขี้เล่นเหมือนเดิม ก่อนจะจับมือเรียวเอาไว้
รถคันหรูแล่นผ่านรั้วบ้านหลังใหญ่เข้ามา จนมาจอดสนิทที่โรงจอดรถ บ้านที่เขาคุ้นเคย บ้านที่เขาเคยเดินเข้ามาสารภาพบาปเรื่องรังแกยาหยีในวันที่เมามายและขอเธอแต่งงาน จนกระทั่งวันที่เขาทำให้เธอร้องไห้หนัก ๆ บ้านนี้ก็ไม่เคยเปิดประตูต้อนรับเขาอีกเลย แต่วันนี้เขากลับมาอย่างภาคภูมิใจอีกครั้ง รุ่งทิวาเดินออกมาจากบ้านเพื่อมารอรับลูกสาว นางยิ้มหวานทักทายลูกสาวและลูกเขยด้วยความเป็นมิตรเหมือนเคย “กลับมากันแล้วเหรอลูก” “ค่ะ แม่” ยาหยีตอบ ก่อนจะก้าวเข้าไปกอดแม่แน่น ๆ อย่างคิดถึง ทั้งที่เธอไม่ได้กลับมาบ้านแค่คืนเดียวเท่านั้น "สวัสดีครับคุณแม่" ทิวายกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม "ไหว้พระเถอะตาทิ ไปนอนคอนโดมาคงหลับฝันดีสินะ หน้าตาดูสดชื่นกันทั้งคู่เลย" "ก็ดีค่ะแม่ ได้พูดคุย ได้ปลดล็อกอะไรในใจหลาย ๆ อย่าง หยีกับพี่ทิเข้าใจกันดีแล้วนะคะ เราจะกลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม" "ถ้าลูกคิดว่าดีแม่ก็ว่าดีจ้ะ ปะ เราเข้าบ้านกันได้แล้ว ทานข้าวเช้ากันมาหรือยัง" "เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วพ่อล่ะคะแม่?" "รออยู่ข้างในน่ะ ปะ ตาทิ เข้าบ้านกันลูก" นางหันไปยิ้มให้กับลูกเขยอีกครั้ง "เดี๋ยวผมต้องเอาของหลังรถเข้าไ
"พี่ทิ หยีเจ็บ อื้อ..." "เดี๋ยวก็หายนะที่รัก เราจะไปช้า ๆ มันรู้สึกดีมากเลยหยี คิดถึงหยีที่สุดเลย" จุดเชื่อมต่อค่อย ๆ ขยับเข้าออกช้า ๆ ยิ่งสร้างความเสียวซ่านให้กับคนทั้งคู่ เสียงครวญครางเริ่มดังขึ้น เสียงเนี้อกระทบเนื้อเริ่มไต่ระดับขึ้นตามความปรารถนาของร่างกายที่กำลังนำพา ร่างหนาโยกกายเข้าออกซ้ำ ๆ ยิ่งคนในอ้อมกอดครวญครางมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเร่งเร้าตามให้ทันเธอ ก่อนที่จะจบลงด้วยเสียงหอบกระเส่าของคุณแม่ตั้งครรภ์ และเสียงคำรามอย่างสุขสมของเขาที่ตามมาติด ๆ ทิวากอดร่างของเธอเอาไว้แน่น ใบหน้าหล่อซบลงบนแผ่นหลังของหญิงสาวอย่างหมดแรงไม่ต่างกัน ริมฝีปากหนาพรมจูบแผ่นหลังขาวเนียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงหัวใจยังคงเต้นตึกตักแทบจับจังหวะไม่ได้ นานนับสองนาทีกว่าที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพเดิม "มันดีใช่ไหมหยี?" เสียงทุ้มถามขึ้นเบา ๆ มือหนายังลูบไล้หน้าท้องที่นูนเด่นไปมาอยู่เช่นเดิม "ดีค่ะ แต่เหนื่อยจังเลย ลูกจะเป็นไงบ้างนะ เมื้อกี้พี่ทิทำรุนแรงเกินไปไหมคะ?" ฝ่ามือเรียวลูบหลังมือของเขาไปมาเบา ๆ "ท่าเบสิกแล้วนะหยี ไม่แรงเกินไปหรอก ลูกคงรับรู้ว่าพ่อคิดถึงแม่มากแค่ไหน ก็หยีนั่นแหละทำให้พี่แทบคลั่งจ
ทิวาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานมาก และนานพอที่จะเดินออกมาแล้วเห็นยาหยีนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงแล้วในเวลานี้ ร่างสูงเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงฝั่งที่เธอกำลังนอนหลับ เขามองจ้องหน้าผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าภรรยาและแม่ของลูกด้วยความเอ็นดู เขาไม่เคยได้มองเธอใกล้ ๆ แบบนี้เลยสักครั้ง ทั้งที่มีโอกาสได้ทำมาตลอด เขาไม่เคยรู้สึกว่าหัวใจจะมีเพียงแค่เธออย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาวันนี้เขาอยากมีเธอในชีวิต อยากอยู่ใกล้เธอ อยากสร้างครอบครัวที่มีความสุขไปด้วยกันตลอดจนแก่เฒ่า เตียงนอนอีกฝั่งยุบยวบลง ทำให้คนที่เผลอหลับถึงกับงัวเงียลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงที่เปลือยเปล่าขยับเข้ามานอนลงใกล้ ๆ แทบจะเรียกได้ว่าเหมือนเขาจะสิงร่างเธอแล้วในตอนนี้ "พี่ทิ จะขยับมานอนใกล้อะไรขนาดนั้นคะ? แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าเนี่ย หยีจะบ้าตาย" เสียงบ่นต่อว่าเขาก็ดังขึ้น แต่คนที่นอนตะแคงอยู่ข้างกายกลับไม่สนใจอะไรแล้วในเวลานี้ อ้อมแขนแข็งแรงพาดทับไปบนเอวหนาของคุณแม่ตั้งครรภ์ ก่อนจะดึงเข้ามากอดแน่น ๆ "ปกติก็นอนแบบนี้ ไม่ชอบใส่เสื้อผ้านอน เธอไม่รู้หรือยังไงหยี" "จะรู้ได้ยังไงคะ ก็ไม่เคยได้นอนด้วยสักครั้ง เตียง
หลังจากอาบน้ำไปนานกว่าครึ่งชั่วโมง ยาหยีเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันกายไว้ และมีผ้าผืนเล็กคลุมไหล่อีกหนึ่งผืน กลิ่นแชมพูหอมอ่อน ๆ ลอยปะปนมาในอากาศ เธอเห็นทิวายืนเลือกเสื้อยืดตัวใหญ่อยู่ เหมือนกำลังตั้งใจเลือกตัวที่ดีที่สุดให้เธอได้ใส่ก็ไม่ปาน “ได้เสื้อยังคะ?” “ได้แล้วครับ ตัวนี้นุ่มสุดเลยนะ รับรองใส่แล้วนอนหลับสบาย” ยาหยีหัวเราะขึ้นเบา ๆ กับคำพูดนั้น ก่อนจะรับเสื้อมาเปลี่ยน ทิวามองภาพนั้นเงียบ ๆ ความคุ้นเคยที่หายไปหลายเดือนมันกลับมาชัดเจนจนใจเขาเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง เขาไม่เคยได้สนใจ ไม่เคยเห็นเธอในสภาพที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จแบบนี้ เขาและเธอพลาดอะไรหลาย ๆ อย่างที่ควรจะได้ทำร่วมกันมานานมากเหลือเกิน “พี่ทิ มองอะไรคะ?” “มองเมียครับ เมียสวย กลัวจะหายไปอีกน่ะ” เขาตอบยิ้ม ๆ ไม่เคยมีความสุขแบบนี้มานานมากแล้ว ยาหยีชะงัก มือที่กำลังชโลมครีมทาผิวหยุดนิ่งลง เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาเล็กน้อย “พี่พูดเหมือนหยีจะไปไหนได้อย่างนั้นแหละ” “หยีไปตั้งหลายเดือนแหละ เพิ่งจะได้กลับมาวันนี้เองนะ” ทิวาก้าวเข้ามาใกล้ทีละก้าว ก่อนจะยื่นมือมาสัมผัสแก้มเธออย่างแผ่วเบา “ไม่ได้อยากให้หยีอยู่เพราะลูกนะ แ
"ไม่ได้อยู่นาน ห้องทำความสะอาดไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หยีแพ้ฝุ่นนะคะ ถ้าฝุ่นเยอะคงนอนไม่ได้" "มีแม่บ้านมาทำความสะอาดวันเว้นวันนั่นแหละหยี ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้นหรอก ไปอาบน้ำให้สบายตัวไหม เดี๋ยวจะไปหาเสื้อมาให้เปลี่ยน" "เดี๋ยวขอโทรไปบอกพ่อกับแม่ก่อนนะคะ กลัวที่บ้านจะเป็นห่วง ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะโอเคไหมที่หยีตัดสินใจแบบนี้" ฝ่ามือหนาของทิวายกขึ้นลูบแก้มนวลนั้นอีกครั้ง ก่อนจะก้มลงจุมพิตริมฝีปากอวบอิ่มเบา ๆ "พ่อตาแม่ยายใจดี พวกท่านจะดีใจมากถ้าเราได้กลับมาเป็นครอบครัวกันอีกครั้ง พ่อหยีอาจจะยังโกรธอยู่ แต่ฉันตั้งใจไว้แล้ว วันพรุ่งนี้จะไปหาพวกท่านที่บ้าน หยีโทรหาพ่อกับแม่เถอะ" ยาหยีหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมา เธอไม่ได้โทรไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่เลือกที่จะกดส่งข้อความไปหาแม่เพื่อบอกเล่าว่าคืนนี้จะไม่กลับ จะค้างอยู่กับทิวาที่คอนโด ไม่ต้องเป็นห่วง เธอปลอดภัยดี "เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวหยีไปอาบน้ำก่อนนะคะ ไปหาเสื้อมาให้เปลี่ยนด้วยล่ะ" ยาหยีลุกขึ้นยืนช้า ๆ ก่อนจะเดินอุ้ยอ้ายเข้าไปภายในห้องนอนของตัวเองที่เคยอยู่อาศัยเมื่อหลายเดือนก่อน ทิวาก็เดินตามหลังหญิงสาวไปติด ๆ เข้าไปภายในห้องนอนเ







