“สันนิษฐานว่าอย่างนั้นครับ”ไม่ทันขาดคำของจ่าประกอบ อาคเนย์ก็พยักหน้ารับรู้ เขาพอรู้ว่าเคสนี้น่าจะระดับผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะช่วงเวลาที่โรคระบาดกำลังแรงเช่นนี้ มีไม่กี่คนนักหรอกที่จะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นเขาไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะเป็นใคร ลุกเต้าเหล่าใคร ทรงอิทธิพลมาจากไหน เบื้องลึกเบื้องหลังยิ่งใหญ่เพียงใด เขาก็แค่ทำหน้าที่ในส่วนที่ต้องทำ ทำให้เต็มที่โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร...เรือเร็วตำรวจน้ำที่อาคเนย์และพวกแล่นเข้าใกล้จุดหมายกลางทะเลเข้าไปทุกทีจนกระทั่งเรือยอร์ชลำเล็กๆ ที่เห็นไกลลิบเมื่อครู่ปรากฏแก่สายตาชัดเจน พบว่าเป็นเรือยอร์ชลำใหญ่ชนิดจัดปาร์ตี้สักยี่สิบสามสิบคนได้สบายหึ... ท่าทางจะรวยจัดอาคเนย์หมายมาดขณะที่เรือเร็วเทียบเข้าลอยลำใกล้ๆ กระทั่งหยุดนิ่ง คนเรือพาดสะพานเหล็กจากกาบเรือเร็วไปยังอีกฝั่งของเรือยอร์ชจึงเร่งรีบขึ้นไปยังที่เกิดเหตุโดยไวภาพที่เห็นตรงหน้าคือกลุ่มหนุ่มสาวชายหญิงในชุดว่ายน้ำนั่งหันหลังชนกันที่โชฟากลมตรงกลางเรือ แต่ละคนหน้าตาหวาดกลัว บ้างแสดงความไม่พอใจที่ถูกสอบปากคำทีละคน อาคเนย์มองเลยผ่านไปจนถึงชายหนุ่มผอมเพรียวสวมเสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตสีฟ้
“หวังว่าเราจะร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี”“ครับ”จ่าประกอบพยักหน้ารัวๆ แสดงความเคารพด้วยการยืนตัวตรงทื่อคล้ายรอคำสั่ง ส่วนคนตัวสูงกว่าได้แต่ลูบท้ายทอยเบาๆ สีหน้าเหมือนจะร้องไม่ร้องแหล่ อาคเนย์เห็นดังนั้นจึงตบบ่าทั้งสองแรงๆ คนละที“ไป... ทำงานกัน”“เดี๋ยวครับ”ผู้กองหนุ่มชะงักถามกลับ “มีอะไร”“เราสองคนขอโทษที่คิดว่าผู้กองเป็นนักข่าวแต่ที่แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท”อาคเนย์หลุดขำก่อนตอบ “จ่านี่มีอารมณ์ขันนะ โอเค เราอย่าเสียเวลาเลย รีบไปกันดีกว่า”“ครับ”“ว่าแต่เรือนั่นของใครนะ” สองตำรวจหนุ่มมองหน้ากัน ท่าทีอึกอักจนผู้กองหนุ่มต้องถามย้ำอีกรอบ “ผมถามว่าใครเป็นเจ้าของเรือลำเกิดเหตุ ได้ยินที่จ่าบ่นว่าเจอตอ” “เอ่อ... ครับ ตอเบ้อเริ่มเลย” ประกอบอ้ำอึ้ง “เรือลำนั้นเป็นของนายหัวทรงพลครับ” อาคเนย์ขมวดคิ้วเมื่อฟังจบ เขาแน่ใจว่าที่ศึกษาข้อมูลก่อนจะลงมาประจำการท้องที่นี้ว่า นายทรงพล พิชัยรุ่งเรือง เป็นคนใหญ่คนโตที่คนในพื้นที่ให้ความเคารพมากที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ ช.รุ่งเรือง ที่สิทธาเพื่อนสนิทของเขามีหุ้นส่วนอยู่ อะไรจะบัง
“วอศูนย์รับแจ้งเหตุสองสี่หนึ่งจากเรือประมง พบร่างผู้เสียชีวิตและผู้ต้องสงสัยบนเรือยอร์ชระหว่างเกาะพีพีถึงเกาะราชา พิกัดเจ็ดองศายี่สิบเจ็ดลิปดาเหนือ จุดตัดเก้าสิบแปดองศา สามสิบเจ็ดลิปดาตะวันออก หัวเรือมุ่งหน้าขึ้นทิศเหนือ ขอกำลังตำรวจน้ำเสริมด่วน”“รับทราบปฏิบัติครับ”จ่านายสิบร่างอวบผมเรียบแปล้รีบกดโทรแจ้งหน่วยงานเกี่ยวข้องเสร็จก็วางหูโทรศัพท์เสียงดัง ปิดแฟ้มสำนวนเก็บเข้าที่ เลื่อนเก้าอี้ออกห่าง บิดขี้เกียจแล้วบ่นข้ามโต๊ะไปหานายตำรวจอีกคน“เหนื่อยชิบหายเลยว่ะ”“เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอจ่า”“นอน ผมหมายถึงคดีใหม่มาอีกแล้ว แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ผู้กองคนใหม่จะมาซะทีตะหาก”จ่าสิบพุงพลุ้ยบ่นไม่หยุดทำให้นายตำรวจร่างสูงชะลูดอีกคนที่ยังไม่ละสายตาจากเอกสารกองพะเนินตรงหน้าต้องเออออห่อหมกไปด้วย“น้องใหม่ สน.เราไม่รักษาเวลาเลย”“นั่นดิ ไหนว่าจะมาวันนี้ นี่ก็สายแล้วต้องมาแล้วแต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงา”“ไม่รู้ไปขัดแข้งขาใครเข้าถึงโดนเด้งมาอยู่นี่ได้” เจ้าของร่างสูงชะลูดตอบแต่โดนจ่าพุงพลุ้ยบุ้ยใบ้ให้มองชายหนุ่มที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ไกลแล้วกระซิบปราม “เบาๆ หน่อยหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”“เออ ลืมๆ”สองคน
สนามหญ้าหน้าบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สีขาวเต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่ถูกลำเลียงใส่กล่องกระดาษขนาดใหญ่หลายกล่องนำมาวางเรียงรายที่หน้ารั้วไม้สีเทาหม่นอินทัชจ้องตุ๊กตาหมีเก่าคร่ามอมแมมในนั้นด้วยความรู้สึกโหยหา มันเป็นของขวัญวันเกิดครบปีที่ห้าของเขาจากใครคนหนึ่งซึ่งผูกพันอาคเนย์...พี่เน...อินทัชหยิบตุ๊กตาหมีออกมากอดแน่นแล้วนึกถึงคนให้มันอุ่น...อุ่นเหมือนหัวใจพี่เน...อินทัชตัดสินใจวิ่งไปที่รั้วบ้านข้างๆ แล้วตะโกนลั่น “พี่เนออกมาหาหน่อย!” “พี่เน... อินจะไปแล้วนะ!” “พี่เน!”อินทัชตะโกนเสียงดังผ่านรั้วไม้สีน้ำตาลอ่อนผุๆ ที่กั้นระหว่างบ้านของเขากับอาคเนย์ด้วยความผิดหวัง เขาหวังว่าจะได้คุยกับอาคเนย์อีกครั้งก่อนที่ต้องแยกจาก แต่กลับไม่มีแม้เสียงตอบรับใดๆ กลับมา“อิน... จะไปแล้วนะ”“ไปจริงๆ แล้วนะ”“พี่เน...”คำพูดสุดท้ายของอินทัชที่เรียกชื่ออาคเนย์นั้นแผ่วเบา ก่อนจะเลือนหายไปกับสายลม...หมดหวังแล้ว...หมดหวังที่อาคเนย์จะฟังกัน...อินทัชตัดใจหันหลังจะเดินกลับไปยังรถที่ติดเครื่องรออยู่หน้าประตูรั้ว แต่ปลายหางตาเหลือบไปเห็นม่านประตูระเบียงบ้านข้างๆ ไหวพะเยิบพะยา
ชิษณากระตุ้น ทะเลพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามา พร้อมกับอรรถที่ถอยห่างไปหาภรรยา พากันปิดประตูล็อกห้องให้สองคนปรับความเข้าใจกันทันทีที่เสียงประตูปิดลง ทะเลก็โผเข้ากอดวายุซบหน้ากับอกชายหนุ่ม ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่เขาได้ยินหมดแล้ว...ได้ยินทุกคำพูดที่วายุคุยกับอรรถ แม้ไม่ได้ยินจากปากของวายุโดยตรง แต่ก็พอจะเข้าใจ วายุตอนนั้นเป็นเด็กมัธยมปลายยังไม่บรรลุนิติภาวะ เขามีสัมพันธ์กับวายุ แม้จะแค่คืนเดียวแต่ก็เหมือนนานชั่วนาน และมันเป็นความสัมพันธ์ที่ผิดพลาด หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมและมนุษยธรรม “ผมขอโทษ ผมขอโทษนะ เพราะผมเองที่ทำให้พี่เดือดร้อน” วายุละล่ำละลักกอดปลอบร่างในอ้อมแขนที่ตัวสั่นงันงกทะเลเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ด้วยความอาลัยอาวรณ์ไม่ต่างกัน สองคนตกอยู่ในภวังค์ ก่อนที่ทะเลจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ“พวกนั้นทำอะไรนายเหรอ” วายุดันร่างนุ่มออกห่างประจันหน้ากัน แล้วส่งสายตามีคำถามอีกครั้ง “พวกไหน”“ฉันได้ยินแล้วว่าพวกนั้นแบล็กเมล์นาย เพราะฉันใช่ไหม นายปกป้องฉัน มันทำอะไรนายบ้างตอนนั้นที่นายหายไป”“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่โดนหิ้วปีกไปและได้แผลนิดหน่อย”ไม่พูดเปล่า วายุเปิดขมับใ
“พี่ไม่อยากเจอหน้าเขา”“แต่พี่เลจะหลบแบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ ไหนจะงานอีก พี่เลรักงานบรรณารักษ์จะตายไป ชิษรู้ ไม่งั้นคงไม่สมัครเป็นครูที่นี่แทนการกลับไปรับราชการที่บ้านเกิดไม่ใช่เหรอคะ” ชิษณาถามย้ำทะเลถึงกับสะอึก ไม่ใช่เพราะเขาสอบไม่ผ่านครูที่บ้านเกิด แต่เป็นเพราะเขาผูกพันกับงานที่นี่และอีกอย่างคือเขาอยากรอวายุกลับมาจึงได้พักอยู่ที่นี่ ที่ที่วายุจะหาเขาเจอ แม้ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือไม่ก็ตาม“พี่ไม่รู้จะทำยังไง เขาระรานพี่ที่โรงเรียน แล้วยังตามมาถึงคอนโดมิเนียมอีก พี่ตัดสินใจลาออกเพราะไม่รู้ว่าอยู่ไปจะทำงานได้ยังไงครับคุณชิษ พี่ทำใจไม่ได้ที่เห็นหน้าเขา”ทะเลพูดจบก็ร้องไห้โฮกอดชิษณา สองสามีภรรยาลอบสบตากัน อรรถที่ยืนห่างๆ อย่างห่วงๆ จึงออกจากห้องไปเงียบๆชิษณาโอบกอดพลางลูบหลังทะเลไปพลาง แล้วเอ่ยปลอบ “พี่ไม่อยากรู้เหรอคะ ว่าทำไมน้องวาถึงเพิ่งมา”“อยากครับ” “อยากรู้ก็ต้องถามสิคะ”“แต่พี่ไม่อยากได้ยินคำโกหก”“บางครั้งโกหกสีขาวก็หมายถึงความหวังดีไม่ใช่เหรอคะ”“มันก็ใช่ครับ... แต่...”ทะเลอึ้งไป...โกหกสีขาวหมายความว่ายังไง...วายุมีอะไรที่ต้องปกปิดเขาไว้งั้นเหรอ...ยามนี้ทะเลยิ่งงงหนัก แต่ชิษ