“อย่าฝากความหวังไว้กับคนตายเลย เจ้าหาท่อนไม้มาถือเอาไว้ดีกว่า หากมีคนเข้ามาไม่ว่าใครก็ตีได้เลย แต่ไม่ต้องเผยวรยุทธ์ให้พวกเขารู้” จ้าวฉือลี่เอ่ยเสียงเบา ๆ ราวกับกระซิบ เพราะคนถือคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
เรื่องที่คนรับใช้ทั้งสามของเผยตั้นเยี่ยนมีวรยุทธ์นั้นมิมีผู้ใดรู้ นอกจากเผยตั้นเยี่ยนกับคหบดีหลิว หลิวชิงเยี่ยนท่านตาของนางเท่านั้น แต่จ้าวฉือลี่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มามีหรือนางจะไม่รู้
ทั้งสามคนล้วนเป็นคนที่หลิวชิงเยี่ยนคัดเลือกมาด้วยตนเองก่อนจะส่งมาเพื่อคอยดูแลเผยตั้นเยี่ยน หลังจากที่หลิวชิงเยี่ยนนั้นสืบทราบสาเหตุการตายที่แท้จริงของบุตรสาวตนเองได้ว่าที่จริงแล้วนางนั้นมิได้ตายเพราะร่างกายอ่อนแอ แต่ทว่าตายเพราะถูกวางยา แต่หลิวชิงเยี่ยนยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยาบุตรสาวของตนจึงส่งคนมาอารักขาหลานสาวเอาไว้ก่อน
อย่าว่าแต่หลิวชิงเยี่ยนเลยที่ไม่รู้ตัวคนร้าย แม้แต่จ้าวฉือลี่เองก็ยังไม่รู้ว่าใครคือคนวางยา เพราะนักเขียนเทนิยายไปเสียก่อน
เพียงไม่นานนักแสงไฟจากคบเพลิงก็เข้ามาใกล้จุดที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ เมื่อฉุยฉุยเห็นว่าระยะห่างจากแสงไฟนั้นเข้ามาใกล้ไม่ถึง5ก้าวแล้ว นางก็พุ่งตัวออกมาจากที่ซ่อนเพื่อตีคนที่มาเยือนตามที่คุณหนูของนางสั่ง
เมื่อทหารของเว่ยเหวินเซียนโดนฉุยฉุยที่เป็นเพียงสาวใช้โจมตีมีหรือจะหลบไม่ได้ ทหารผู้นั้นทิ้งคบเพลิงในมือแล้วรีบคว้าท่อนไม้เอาไว้ ก่อนจะจับแขนทั้งสองข้างของฉุยฉุยไขว้ไปทางข้างหลัง
“เจอตัวสาวใช้ของคุณหนูเผยแล้ว พวกเจ้าไปทูลท่านอ๋องที”
ทหารผู้นั้นรีบตะโกนบอกสหายที่อยู่ใกล้ ๆ ให้ไปแจ้งผู้เป็นนาย แต่ว่าเว่ยเหวินเซียนกลับได้ยินโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดมาแจ้ง เขากระโดดลงจากหลังม้าเข้ามาในป่าไผ่แล้วเดินไปตามเสียงของนายทหารผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินเสียงของทหารจ้าวฉือลี่ที่ซ่อนตัวอยู่หลังกอไผ่ใหญ่ก็แสร้งเดินออกมาแบบไม่มั่นใจว่าผู้ที่มาเยือนคือใคร พร้อมเอ่ยกับทหารผู้นั้นด้วยท่าทางหวั่นกลัว แต่ท่าทางที่กำลังหวาดกลัวนี้นางนั้นหาได้แสดงไม่ เพราะมันออกมาจากใจจริงของนางในยามนี้
“เจ้าคือทหารของชินอ๋องอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย
“เจอคุณหนูเผยแล้ว มาช่วยจับนางที” ทหารผู้นั้นไม่ตอบคำถามของจ้าวฉือลี่ แต่กลับตะโกนเรียกทหารคนอื่นมาช่วยจับตัวเผยตั้นเยี่ยน
แต่ยังไม่ทันที่ทหารคนอื่นจะมาถึง เว่ยเหวินเซียนก็มาถึงยังจุดที่คนทั้งสามคนยืนอยู่แล้ว เพียงแค่เห็นใบหน้าของเผยตั้นเยี่ยน เขาก็ชักกระบี่ออกมาพร้อมกับใช้ปลายกระบี่ชี้ไปยังลำคอขาวของเผยตั้นเยี่ยนทันที
ใบหน้าของจ้าวฉือลี่เวลานี้ซีดเสียยิ่งกว่าไก่ที่ถูกต้มเสียอีก เพราะปลายกระบี่นั้นห่างจากลำคอนางไม่ถึง10แผ่นกระดาษกั้นเท่านั้น หากนางเผลอกลืนน้ำลายตอนที่เขาชี้ปลายกระบี่มายังลำคอของนาง ป่านี้ลำคอของนางคงโดนปลายกระบี่นั้นทิ่มเข้าให้แล้ว
นางใช้ฝ่ามือทาบลงบนหน้าอกตนเอง พร้อมก้าวเท้าถอยหลังให้ห่างจากปลายกระบี่เล็กน้อยก่อนจะระบายลมหายใจออกมา แล้วจึงพยายามเรียกสติของตนเอง
“ท่านอ๋องเพคะ ไยจึงหันปลายกระบี่มาที่หม่อมฉันเช่นนี้เพคะ แล้วคนของท่านอ๋องจับคนของหม่อมฉันทำไมกันเพคะ
เหล่าทหารที่วิ่งมาพร้อมคบเพลิงวิ่งมาหาผู้เป็นนาย แสงจากคบเพลิงทำให้จ้าวฉือลี่เห็นใบหน้าและวรกายของบุรุษเจ้าของกระบี่ได้ชัดเจนขึ้น
ใบหน้าของเขาคมเข้มดุดัน จมูกเป็นสันรับกับใบหน้า ดวงตาของเขาเรียวยาวคล้ายกับนัยน์ตาเหยี่ยวดูมีอำนาจน่าเกรงขาม ชวนให้คนมองใจสั่นด้วยความหวาดกลัว วรกายสูงไหล่กว้าง ดูจากเส้นเลือดหลังฝ่ามือก็คาดว่าเรือนร่างของเขาคงเต็มไปด้วยมัดกล้าม จ้าวฉือลี่ลอบกลืนน้ำลายเมื่อนึกถึงเรือนร่างภายใต้อาภรณ์ของเว่ยเหวินเซียน
แต่เมื่อสายตาของนางเหลือบไปเห็นสายตาคมกริบของเว่ยเหวินเซียนก็รีบหลบตาหนีทันที ‘บ้าไปแล้วหรือจ้าวฉือลี่ จะตายอยู่แล้วยังบ้าผู้ชายอยู่ได้’
ก็ไม่แปลกที่จ้าวฉือลี่นั้นจะจิตใจล่องลอยไปกับรูปลักษณ์ของเว่ยเหวินเซียน เพราะปกตินางนั้นก็เป็นพวกบ้าดาราจีนในซีรีส์อยู่แล้ว ยามนี้ได้มาเห็นความหล่อของเว่ยเหวินเซียนที่นักเขียนนั้นได้บรรยายไว้ว่าหล่อราวเทพแห่งสงครามลงมาจุติ นางนั้นก็อดที่จะเผลอหลงใหลไปกับรูปโฉมของเขาไม่ได้
เว่ยเหวินเซียนที่ยืนอ่านสีหน้าท่าทางของเผยตั้นเยี่ยนอยู่นั้นถึงกับสับสน เพราะท่าทางของนางนั้นถึงจะดูเหมือนหวาดกลัวเขาถึงสิบส่วนก็จริง แต่ดวงตาของนางกลับมองเขาด้วยสายตาที่หลงใหล เหมือนสตรีที่เห็นบุรุษที่ตนเองรักใคร่ มิได้มีสายตาที่หวาดกลัวเหมือนคนอื่น ๆ ที่กลัวว่าเขานั้นจะมาเอาชีวิตเพราะถูกเขาจับได้ว่าทำความผิด
“ตราพยัคฆ์ของข้าอยู่ที่ไหน หากเจ้ากล้าหลอกข้าคงรู้ใช่หรือไม่ว่าจะมีจุดจบเช่นใด” เว่ยเหวินเซียนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยใบหน้านิ่งจนคนรอบกายไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเขานั้นกำลังคิดเช่นใดอยู่
จ้าวฉือลี่มิได้ตอบทันท่วงที นางเพียงขมวดคิ้วทำทีว่าสงสัย เพราะจากประสบการณ์ดูซีรีส์อ่านนิยายมานั้น หากตอบทันควันอาจจะแสดงพิรุธให้อีกฝ่ายรู้
“เจ้าเงียบเช่นนี้ หมายความว่าเช่นไร” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยด้วยท่าทีและน้ำเสียงเช่นเคย
จ้าวฉือลี่จึงรีบแสดงละครใส่เว่ยเหวินเซียนทันที “ตราพยัคฆ์ของท่านอ๋องหายไปอย่างนั้นหรือเพคะ แล้วไยท่านอ๋องจึงมาถามหากับหม่อมฉันเพคะ หรือท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันขโมยไปอย่างนั้นหรือ” จ้าวฉือลี่พยายามตีหน้าใสซื่อปนน้อยใจที่ถูกใส่ร้าย
ใบหน้าของเว่ยเหวินเซียนแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา เพราะยามนี้เขาไม่รู้เลยว่านางนั้นพูดจริงหรือเสแสร้งกันแน่ เนื่องจากที่เขาเคยสอบสวนคนร้ายมานั้น มิมีใครที่จะโกหกต่อหน้าเขาได้โดยที่สายตาไม่มีความหวั่นกลัวเผยให้เขาเห็นเช่นนางเลย แต่จะให้เขาเชื่อว่านางพูดความจริง เขาก็ไม่อาจตัดสินใจเชื่อได้โดยไร้ข้อกังขาไปเสียทีเดียว
เพราะด้วยท่าทีของเผยตั้นเยี่ยนที่ราวกับเสียใจและน้อยใจที่เขาเข้าใจนางผิดไปนั้นทำให้เขาสับสน เนื่องจากปกติเผยตั้นเยี่ยนเป็นคนที่ค่อนข้างหยิ่งทะนงไม่ค่อยจะเผยความอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ถึงนางจะเป็นสตรีย่อมมีด้านนี้อยู่แล้ว แต่ทว่าที่ผ่านมาเขานั้นก็ยังมิเคยเห็นด้านเช่นนี้ของนาง จึงทำให้เขารู้สึกว่านางแปลกไปจากปกติ
“ในเมื่อเจ้าไม่ได้เอาไป คงไม่ถือสาถ้าหากข้าจะค้นตัวเจ้า” เว่ยเหวินเซียนเอ่ยพร้อมกับจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา ก่อนจะก้าวเท้ายาวมาใกล้เผยตั้นเยี่ยน แล้วใช้มือจับที่เชือกผ้าคาดเอวของนางเอาไว้
“แล้วฝ่าบาทต้องการให้เหวินเซียนทำอันใดอีกเล่าเพคะ หรือท่านอยากเล่นเป็นบทคนดีแล้วให้เขาเป็นคนเลวอย่างนั้นหรือ ฝ่าบาทบอกว่าเขาติดอิสตรีจนไม่เอาการเอางาน เช่นนั้นใยฝ่าบาทไม่ย้อนคิดหน่อยหรือเพคะ ว่าตอนที่ฝ่าบาทหลงใหลสนมอวี๋มีสภาพเช่นไร” สตรีเจ้าของวังหลังที่เพิ่งเดินเข้ามาตรัสด้วยน้ำเสียงกระแทกแดกดันเจือโทสะเสิ่นฮองเฮาวางถ้วยโอสถลงบนโต๊ะเล็กที่วางอยู่บนตั่ง ถ้วยยากระทบกับโต๊ะจนเกิดเสียงดัง แรงกระแทกทำให้ยากระฉอกออกมาจากถ้วย เหล่านางกำนัลขันทีก้มหน้าก้มตาเป็นพัลวัน ก่อนจะรีบออกไปจากห้องทรงอักษรเมื่อเห็นไป๋กงกงสะบัดมือไล่ท่าทางและน้ำเสียงของเสิ่นฮองเฮาทำให้บุตรชายถึงกับตกตะลึง เพราะปกติมารดาของเขาจะไม่ยุ่งเรื่องของวังหน้าอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ และมิว่าจะโกรธเพียงใดก็จะเก็บอารมณ์เอาไว้เสมอ แต่ครานี้กลับต่างจากที่เขาเคยเห็นอย่างลิบลับ ทำให้เจ้าของตำหนักบูรพานึกขยาดกลัว จึงได้แต่นิ่งเงียบไม่เอ่ยอันใด ไม่เพียงเท่านั้นเว่ยหลิงเฮ่อยังก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเจ้าของบัลลังก์ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะส่งสายตามาขอความช่วยเหลือไม่เพียงแต่บุตรชายที่แปลกใจ แม้แต่เจ้าของบัลลั
หลังจากเว่ยเหวินเซียนกับเผยตั้นเยี่ยนทานอาหารเสร็จแล้ว ก็ให้ฉุยฉุยไปตามคุณหนูอีกสองคนมาพบ พร้อมกับให้เรียกองครักษ์สาวใช้ทั้งสองคนมาด้วย เพื่อบอกองครักษ์หญิงทั้งสองให้รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องคุ้มกันคุณหนูสามเผิงกับคุณหนูรองเผยกลับเมืองหลวง และหากใครถามถึงเผยตั้นเยี่ยนก็ให้บอกไปว่านางยังไม่หายป่วยครั้นบอกรายละเอียดทุกอย่างแล้วเว่ยชินอ๋องก็ไล่ให้พวกนางออกจากห้องไป แต่ทว่าก่อนที่สตรีทั้งห้าจะออกไป เว่ยเหวินเซียนก็ไม่ลืมเอ่ยคาดโทษพวกนางทั้งห้าที่ลงไปแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อน ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงขึงขัง“เรื่องที่พวกเจ้าลงไปในบ่อน้ำพุของข้า ข้าจะยังมิลงโทษ แต่มิใช่ว่าข้าให้อภัยพวกเจ้าหรอกนะ เพียงแต่เมื่อวานนี้ข้าลงทัณฑ์คนมามากแล้ว เหนื่อยแล้ว เอาไว้ข้าจะลงโทษพวกเจ้าทีหลังแล้วกัน” เขามิได้จะลงโทษพวกนางจริง ๆ เพียงแค่อยากให้พวกนางทั้งห้าติดค้างเขาเอาไว้เท่านั้น“ขอบพระทัยเพคะ” สตรีทั้งห้ารีบตอบพร้อมกัน ก่อนจะรีบยอบกายแล้วถอยหลังออกจากห้องไปเช้าวันต่อมาเผยตั้นเยี่ยนได้เดินมาส่งสตรีทั้งสี่ที่หน้าจวนด้วยใบหน้าเบิกบาน ต่างจากเว่ยเหวินเซียนที่ใบหน้าหม
เว่ยชินอ๋องพยายามลุกออกจากเตียงด้วยความระมัดระวัง เพราะไม่อยากให้สตรีที่หลับอยู่ตื่นขึ้นมา แต่ดูท่าจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย ครั้นบุรุษสายเลือดมังกรเห็นภรรยาตัวน้อยตื่นก็รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที“ปล่อยนางเข้ามา” น้ำเสียงกระโชกโฮกฮากจนหญิงสาวที่เพิ่งตื่นนอนสะดุ้งกลัวกระแสเสียงของอ๋องหนุ่มทำเอาหญิงสาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มตา หญิงสาวรีบลุกขึ้นนั่งพร้อมจัดแจงอาภรณ์ของตน เพียงครู่เดียวสตรีที่ทำให้เจ้าของเรือนอารมณ์เสียก็เดินเข้ามา เผยตั้นเยี่ยนเบิกตาโตเมื่อรู้ว่าคนของตนเองทำให้บุรุษตรงหน้ามีโทสะ“หม่อมฉันขออภัยเพคะที่เข้ามารบกวน เพียงแต่ใกล้ถึงเวลาที่คุณหนูต้องดื่มยาแล้ว หม่อมฉันจึงได้ทำอาหารมาให้คุณหนูรับประทานก่อนดื่มยาเพคะ อาการของคุณหนูเกี่ยวกับภายในของสตรีมีผลถึงการสืบสายเลือดของท่านอ๋อง หม่อมฉันจึงมิอาจปล่อยผ่านไปได้เพคะ หวังว่าท่านอ๋องจะให้อภัยหม่อมฉันนะเพคะ” ฉุยฉุยพยายามควบคุมความกลัวของตนเองเอาไว้ เพราะรู้ว่าตนเองเป็นสาเหตุให้เว่ยชินอ๋องหงุดหงิดความโกรธก่อนหน้าหายไปในช่ว
ตั้งแต่ก้าวเท้าเดินเข้ามาในเรือนเขาก็รู้แล้วว่าสตรีทั้งหกอยู่ที่บ่อน้ำพุ ถึงยามแรกจะไม่คิดว่าสตรีทั้งหมดจะลงไปแช่ตัว แต่เมื่อเห็นองครักษ์ตะโกนเสียงดัง อีกทั้งเผยตั้นเยี่ยนเดินมาหาเขาเพียงลำพัง จึงทำให้มั่นใจว่าสตรีที่เหลือลงแช่บ่อน้ำพุร้อน ไม่เช่นนั้นคนใช้ทั้งสามจะปล่อยให้เผยตั้นเยี่ยนไปไหนมาไหนโดยไม่เดินตามได้เช่นไรเผยตั้นเยี่ยนรู้ดีว่าไม่อาจขัดขืนบุรุษตัวสูงได้จึงไม่เอ่ยอันใด เพราะนี่คงเป็นวิธีการทรมานนางอย่างหนึ่งที่เขาใช้ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าที่จะขัดขืนเพราะกลัวว่าจะเป็นเหมือนครั้งก่อนที่ถูกเขากระทำอย่างรุนแรง“ถอยออกไป หากข้าไม่ได้เรียกอย่าคิดเข้ามาใกล้ และอย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้ากับพระชายาเข้าใจหรือไม่” เว่ยชินอ๋องหันมาเอ่ยกับองครักษ์ที่เดินตามมาก่อนจะเดินต่อไปยังห้องนอนของตนเองเมื่อมาถึงห้องบุรุษหนุ่มวัยกำหนัดก็มิรอช้าวางหญิงสาวในอ้อมแขนลงบนเตียงอย่างนิ่มนวล ทว่าภาพอุ่นเตียงคราก่อนยังฝังลึกอยู่ในหัวของสตรีร่างบาง ร่างกายจึงสั่นระริกขึ้นมาอย่างไม่อาจหักห้ามได้“กลัวข้าสินะ ต่อไปข้าจะไม่รุนแรงกับเจ้าเช่นนั้นอีก ดีหรือไม่”
หลังจากทรมานบุรุษตระกูลหยางเสร็จอ๋องหนุ่มก็ไม่รอช้าควบม้ากลับไปยังจวนข้างค่ายทหารของตนทันที แล้วปล่อยให้ลูกน้องที่ตนเองไว้ใจสองคนตรวจสอบจวนขุนนางร่วมกับแม่ทัพใหญ่เหยียน เพราะอย่างไรขุนนางจวนต่อไปก็เขียนหนังสือสำนึกผิดแล้วในเมื่อแค่ต้องเข้าไปในจวนเพื่อตรวจสอบขุนนางว่าเขียนสารภาพผิดตามความจริงหรือไม่ ไยจะต้องให้อ๋องหนุ่มเช่นเขาลงมือทำด้วย เพราะอย่างไรเรื่องลงทัณฑ์เสด็จพี่ของเขาก็เป็นผู้ตัดสินอยู่แล้ว เว่ยชินอ๋องจึงไม่อยากเสียเวลาที่จะได้อยู่กับสตรีที่ตนรักไปกับเหล่าขุนนางพวกนี้จวนนอกเมืองของชินอ๋องขณะที่เมืองหลวงกำลังวุ่นวาย คุณหนูทั้งสามคนที่อยู่ในจวนข้างค่ายทหารของเว่ยชินอ๋องกลับกำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ เพราะจวนของอ๋องหนุ่มแห่งนี้มีบ่อน้ำพุร้อนจากธรรมชาติอยู่ในจวน ถึงการตกแต่งจวนจะไม่หรูหราแต่มองแล้วสบายตายิ่งนักจวนแห่งนี้มีรั้วกั้นสูงมองไม่เห็นภายใน คราแรกที่คุณหนูทั้งสามเห็นก็รู้สึกหวั่นวิตกอยู่มาก แต่เพียงเดินเข้ามายังด้านในกลับเสมือนมีคนนำเรือนหลังหนึ่งมาวางเอาไว้ท่ามกลางน้ำตก ที่โดยรอบมีดอกไม้และต้นไม้สูงต่ำสลับกันไป
เช้าวันต่อมา ณ ท้องพระโรงเหวินหลิงฮ่องเต้สาดสายตามองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขาขึ้นครองราชย์ที่ได้เห็นสีหน้าท่าทางของเหล่าขุนนางที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมากถึงเพียงนี้เก้าในสิบส่วนของขุนนางในท้องพระโรงมีสีหน้าหม่นหมองดุจเมฆฝน ใบหน้าเคร่งเครียดส่อความรู้สึกราวกับกำลังแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ หัวคิ้วของแต่ละคนย่นชนกันอย่างไม่รู้ตัว ทำเอาเจ้าของบัลลังก์รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากที่เห็นขุนนางของตนเป็นเช่นนี้“ข้าคิดว่าเมื่อคืนพวกท่านจะนอนหลับอย่างสบายใจเสียอีก ที่มีทหารรักษาเมืองหลวงคอยคุ้มกันจวนไม่ให้มือสังหารเข้าไปในจวนของพวกเจ้า ทว่าดูจากขอบตาของพวกเจ้าแล้วข้าคงคาดเดาผิดไปสินะ หากเรื่องของชาวบ้านพวกเจ้าวิตกกังวลกันจนเป็นสภาพเช่นนี้ ต้าเว่ยของข้าคงจะดีมากขึ้นไม่น้อย” ถึงสุรเสียงของฮ่องเต้แห่งต้าเว่ยจะเรียบเฉย ทว่ากลับกดดันให้สีหน้าของเหล่าขุนนางหม่นหมองลงไปอีก“ฝ่าบาททรงเข้าใจพวกกระหม่อมผิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมืองหลวงวุ่นวายไปทั่วเช่นนี้ จะให้พวกกระหม่อมข่มตาหลับลงได้เช่นใดกันพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เสนาบ