Masukเมิ่งอ้ายเยว่อยากจะดึงทึ้งหัวตนเพื่อระบายอารมณ์ แต่เพราะรู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์นางจึงเลือกจะสงบสติอารมณ์ตนเอง ในเมื่อทะลุมิติมาแล้ว สิ่งที่จะสามารถทำได้ก็คือต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี นี่ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญร้องไห้ แต่ต้องเตรียมการตั้งรับให้ดีต่างหาก
นางพยายามคิดถึงนิยายที่ตนเองเพิ่งอ่านจบ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะนิยายนั้นเป็นเรื่องสั้นสิบบทจบ จึงไม่ได้ปูเรื่องราวพื้นฐานของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าเอาไว้มากนัก คนเขียนบอกเพียงว่านางถูกรับมาเลี้ยง ส่วนเรื่องที่ว่าเถียนฮูหยินไปเจอนางได้เช่นไรนั้นกลับไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจนเช่นที่อาหมี่เล่าให้นางฟัง
แต่ช่างเถอะ ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเมิ่งอ้ายเยว่จึงหันไปมองอาหมี่แล้วจึงพบว่าตอนนี้สาวใช้น้อยของนางกำลังนั่งก้มหน้าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว อยู่ๆ ในใจของเมิ่งอ้ายเยว่ก็บังเกิดความสงสารสายหนึ่งขึ้นมา เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่ามีนิสัยทะเยอะทะยานและชอบทำร้ายบ่าวไพร่อย่างทารุณ เมื่อถูกคนเรือนหลักรังแกมา นางก็จะเอาโทสะทั้งหมดมาลงกับบ่าวไพร่ ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคราที่ออกไปร่วมงานเลี้ยงหรือไปสถานที่ต่างๆ พร้อมกับคนในจวน นางก็จะพยายามทำตนเองให้โดดเด่นกว่าเมิ่งลี่หรู บุตรสาวสายตรงของตระกูลเมิ่งอยู่เสมอ ซึ่งเมิ่งลี่หรูก็คือนางเอกของนิยายเรื่องนี้
ยิ่งเมิ่งอ้ายเยว่อยากจะเอาชนะเมิ่งลี่หรูมากเท่าใดก็เหมือนจะยิ่งสร้างความขบขันต่อสายตาคนภายนอกมากเท่านั้น!
"อาหมี่ เจ้ามาช่วยข้าแต่งตัวเถอะ ขืนชักช้าอาจจะโดนตำหนิเอาได้"
อาหมี่เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รีบเงยหน้ามามองเจ้านายตนด้วยสายตาหวาดหวั่น พลางครุ่นคิดในใจว่า ยังไม่สั่งโบยอีกหรือ เดิมทีควรจะโบยนางจนตายแล้วนี่!
"เร็วสิ มัวชักช้าทำไมกัน ข้าไม่ลงโทษเจ้าหรอก ข้ายอมรับความจริงได้แล้ว"
"เจ้าค่ะๆ"
อาหมี่รีบมาช่วยเมิ่งอ้ายเยว่แต่งตัวทันที เมื่อสอบถามอาหมี่เรื่องทั่วๆ ไปในจวนก็ได้ความว่า ที่เรือนของนางมีอาหมี่เป็นสาวใช้เพียงคนเดียว เถียนฮูหยินทนเห็นนางลงโทษสาวใช้ตามอำเภอใจไม่ไหว จึงมอบสาวใช้มาให้นางเพียงคนเดียว ต่างจากเมิ่งลี่หรูที่มีสาวใช้ล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด
ไม่เพียงเท่านั้นเถียนฮูหยินยังตัดเบี้ยหวัดรายเดือนของนางไปกว่าครึ่งเพราะต้องการดัดสันดานของนาง ผู้คนในเมืองหลวงก็ไม่มีใครชอบนางสักคน เพราะนางมีเรื่องกับคนเขาไปทั่ว ซ้ำยังชอบดูถูกคนอื่น และทำร้ายผู้มีฐานะต่ำต้อยกว่า ในเมืองหลวงแห่งนี้นางไม่มีสหายเลยแม้แต่คนเดียว
เวรมาก! ทะลุมิติมาทั้งทีแทนที่จะได้เป็นเสือนอนกิน กลับกลายเป็นหนอนแมลงที่ผู้คนรังเกียจ จะโทษใครได้เล่า ทุกอย่างล้วนมาจากความริษยาไม่รู้จักพอของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าทั้งสิ้น
ใช้เวลาไม่นานเมิ่งอ้ายเยว่ก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เพราะช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ เสื้อผ้าที่สวมใส่จึงค่อนข้างเบาสบาย อาหมี่เลือกเสื้อคอป้ายแขนกว้างสีฟ้ามาจับคู่กับกระโปรงพลิ้วสีชมพูอ่อนเพื่อสวมให้นาง และปักปิ่นหยกลงบนผมของนางอย่างใส่ใจ เพียงเท่านี้ก็นับว่างดงามมากแล้ว เครื่องประดับที่งดงามและเสื้อผ้าสวยๆ นางก็พอมีให้สวมใส่อยู่บ้าง เมิ่งอ้ายเยว่มองตนเองในกระจกคราหนึ่ง นางดูอ่อนเยาว์กว่าตอนอยู่ในยุคปัจจุบันไม่น้อย ก็แน่นอนสิ ร่างนี้เพิ่งอายุสิบเก้าปีเท่านั้น กำลังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งงดงามชวนมอง แต่ทว่ากลับมีสิ่งหนึ่งที่น่าแปลกใจ
“อาหมี่ เหตุใดเสื้อผ้าของข้าจึงมีสีสันจืดชืดเช่นนี้เล่า เหมือนกับคนถือศีลบำเพ็ญพรตอย่างไรอย่างนั้น”
อาหมี่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“เถียนฮูหยินบอกว่า เพราะดวงชะตาของคุณหนูมีความพิเศษ จึงงดการแต่งกายสีสันฉูดฉาด ให้แต่งกายด้วยชุดเรียบง่ายตามที่ไต้ซือกำชับเอาไว้เจ้าค่ะ”
เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับนิ่วหน้า มีด้วยหรือคำทำนายเช่นนี้ นางอยากจะเห็นหน้าไต้ซือบัดซบผู้นั้นยิ่งนัก
เดิมทีนางชอบแต่งกายสีสันสดใส สตรีทุกคนผู้ใดบ้างไม่รักสวยรักงาม แต่ช่างเถอะ ตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน
เมิ่งอ้ายเยว่ไม่ใช่คนที่มีความคิดซับซ้อนมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงเออออตามไปก่อน อีกทั้งยังเอ่ยถามอาหมี่เรื่องอื่นๆ ด้วย จนได้ทราบว่า เมืองหลวงแคว้นเยี่ยค่อนข้างเปิดกว้างไม่น้อย คนที่นี่ไม่ได้มีกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อยเหมือนในนิยายที่นางเคยอ่าน อีกทั้งยังไม่ได้มองว่าสตรีที่อายุเกินสิบห้าปีแล้วยังไม่ได้แต่งงานเป็นหญิงสาวคร่ำครึเสี่ยงขึ้นคาน ผู้คนในเมืองหลวงอยากจะแต่งงานหรือไม่แต่งก็ไม่ได้ผิด นับว่าวัฒนธรรมของที่นี่ค่อนข้างสมัยใหม่อยู่ไม่น้อยเลย
หลังจากแต่งกายเสร็จแล้ว เมิ่งอ้ายเยว่ก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลักทันที เรือนหลักหลังนี้เป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในจวน ด้านหน้าเรือนหันไปทางทิศใต้เพื่อให้รับลมและแสงแดดได้เต็มที่ ภายในจวนตระกูลเมิ่งค่อนข้างใหญ่โตไม่น้อยเลย มีทั้งเรือนหลัก เรือนข้าง และเรือนต่างๆ อีกหลายเรือน บ่าวไพร่ก็มีให้ใช้สอยไม่น้อยเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าใต้เท้าเมิ่งนั้นเป็นขุนนางที่ฝ่าบาทองค์ก่อนทรงให้ความไว้วางใจไม่น้อย เมื่อเปลี่ยนรัชสมัยก็ยังคงรั้งตำแหน่งเดิมเอาไว้ได้ด้วยความสามารถของตน
ระหว่างทางเดินไปเรือนหลัก สาวใช้น้อยที่พบเจอเมิ่งอ้ายเยว่ล้วนทำความเคารพอย่างนอบน้อม แต่เมิ่งอ้ายเยว่มองออกว่าในแววตาของพวกนางคล้ายแฝงแววเย้ยหยันและหวาดกลัวเอาไว้ในที ไม่ได้เคารพนางจากใจจริงเลยแม้แต่น้อย แต่เมิ่งอ้ายเยว่คร้านจะใส่ใจ นางไม่ได้ทะลุมิติมาเพื่อเป็นมือตบอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางเพียงอยากปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตของร่างนี้เสียใหม่ ถือเสียว่านางมาพักผ่อนในช่วงลาพักร้อนก็แล้วกัน หากหมดเวรหมดกรรมจากที่นี่ นางเชื่อว่าตนเองจะต้องได้กลับไปยังโลกที่จากมาอย่างแน่นอน
เมิ่งอ้ายเยว่เดินมาได้สักพักก็มาถึงเรือนหลัก เมื่อมาถึงก็พบว่า ใต้เท้าเมิ่งและเถียนฮูหยินกำลังเตรียมจะกินอาหารเช้าร่วมกัน และยังมีชายหญิงวัยเยาว์สองคนนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วย ไม่ต้องบอกนางก็รู้ได้ทันทีว่าสองคนนี้คือบุตรของเถียนฮูหยิน บุตรชายคนโตนามว่าเมิ่งซาน เมิ่งซานนั้นเรียกได้ว่าเป็นคุณชายหน้าหยก ปีนี้เขามีอายุสิบแปดปีแล้ว อีกทั้งยังหน้าตาหล่อเหลาและมากความสามารถ เมื่อต้นปีเขาสอบได้อันดับหนึ่งในสำนักศึกษา รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหากสอบได้อัันดับหนึ่งของเมืองหลวง ก็จะได้เป็นขุนนางตามรอยบิดาของตน ใต้เท้าเมิ่งไม่ได้มีบุตรกับอนุคนใดอีก จึงรักใคร่บุตรชายและบุตรสาวทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
ส่วนเมิ่งลี่หรู นางเอกของเรื่อง ปีนี้อายุสิบหกแล้ว นางมีหน้าตางดงาม กิริยามรรยาทอ่อนช้อยชวนมอง ผู้คนต่างขนานนามนางว่ายอดหญิงงามแห่งแคว้นเยี่ย บุรุษทุกคนต่างหมายปองอยากจะแต่งนางเข้าจวนเป็นภรรยาเอก แต่สุดท้ายแล้วท่านโหวก็ได้นางไปครอบครอง เมิ่งอ้ายเยว่จำได้ว่า ในนิยายพวกเขาจะต้องต่อสู้กับฮ่องเต้ทรราชผู้หนึ่งที่เป็นโรคหวาดระแวงและสั่งให้สังหารขุนนางภักดีทั้งหมด แต่สุดท้ายท่านโหวพระเอกผู้แสนดีก็ได้สังหารฮ่องเต้ทรราชผู้นั้นทิ้ง และขึ้นครองราชย์แทน เมิ่งลี่หรูผู้นี้ก็ได้เสพสุขกับอำนาจไปชั่วชีวิต
นี่ก็คือตอนจบของนิยายรักประโลมใจเล่มนั้น
"มาแล้วหรือ มาสายไปหนึ่งเค่อ เจ้ามัวทำอันใดอยู่ มรรยาทที่เคยร่ำเรียนมาไม่เข้าหัวเจ้าเลยหรือ ช่างน่ารังเกียจนัก ข้าไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดผู้คนจึงชังน้ำหน้าเจ้านัก!"
เถียนฮูหยินเอ่ยต่อว่าเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา แรกเริ่มนางยังรู้สึกเอ็นดูบุตรบุญธรรมผู้นี้อยู่บ้าง แต่ทว่าเมื่อเมิ่งอ้ายเยว่เติบใหญ่กลับมีนิสัยขี้อิจฉาริษยาและทะเยอทะยาน คิดเทียบเคียงบุตรสาวของนางและยังลอบชิงดีชิงเด่นกับเมิ่งลี่หรูอยู่หลายครั้ง นางจึงเริ่มรังเกียจเมิ่งอ้ายเยว่ขึ้นมา เดิมทีนางอยากจะไล่เมิ่งอ้ายเยว่ไปให้พ้นๆ จากจวนตระกูลเมิ่งเสีย แต่เพราะเห็นแก่หน้าตาสามีและไม่อยากถูกผู้คนเอาไปนินทา เพราะนางเป็นคนพูดกับคนอื่นเองว่าที่รับเมิ่งอ้ายเยว่มาเลี้ยงเพราะเอ็นดูรักใคร่ ไม่ได้บอกว่ารับเข้าจวนเพื่อให้ตนตั้งครรภ์ ขืนนางไล่เด็กนี่ไปยามนี้ผู้คนคงได้เอานางไปนินทาลับหลังเป็นแน่ อีกทั้งเรื่องนี้อาจไม่ส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ขุนนางของสามีนางด้วย
แต่นอกเหนือจากเรื่องหน้าตาทางสังคมแล้ว ไต้ซือผู้นั้นได้บอกนางว่าดวงชะตาของเมิ่งอ้ายเยว่สามารถช่วยหนุนนำให้บุตรทั้งสองของนางเจริญรุ่งเรืองและแคล้วคลาดปลอดภัยได้ ตราบใดที่นางยังเก็บเมิ่งอ้ายเยว่เอาไว้ ก็เท่ากับเก็บยันต์คุ้มภัยไว้คอยปกป้องเมิ่งซานและเมิ่งลี่หรู และก็เป็นเช่นที่ไต้ซือว่า บุตรชายบุตรสาวของนางมีหน้ามีตาเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง ส่วนเมิ่งอ้ายเยว่กลับตกต่ำลงทุกวัน และผู้คนก็ไม่ชอบหน้าเด็กนั่น นี่คงเป็นเพราะเมิ่งอ้ายเยว่ได้รับไออัปมงคลทั้งหมดของบุตรชายบุตรสาวนางไปไว้กับตัวแล้ว บุตรทั้งสองของนางจึงก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่อาจไล่เมิ่งอ้ายเยว่ให้ออกไปจากจวนได้ ไม่เพียงเท่านั้นดวงชะตาของนางยังส่งผลต่อความก้าวหน้าของคนทั้งจวนอีกด้วย
และที่สำคัญไต้ซือยังกำชับว่า ห้ามให้นางออกจากจวนตามอำเภอใจเพราะอาจจะนำไออัปมงคลจากด้านนอกเข้ามาทำให้คนในจวนเจ็บป่วยและดวงตก หากจะออกจากจวนต้องให้เมิ่งอ้ายเยว่ใส่ลูกประคำป้องกันภัยอัปมงคลจากด้านนอกเอาไว้
อีกทั้งยังบอกด้วยว่า หากเมื่อไหร่ที่ดวงของนางเกิดเป็นปรปักษ์กับคนในจวนขึ้นมาเมื่อใด ต้องฝังนางทั้งเป็นเท่านั้น ฝังนางทั้งเป็นก็เท่ากับฝังไออัปมงคลของคนในจวนลงดินไปตลอดกาล เมื่อทำเช่นนี้แล้วคนตระกูลเมิ่งก็จะก้าวหน้ารุ่งเรือง พบแต่ความสุขสบายไปชั่วชีวิต!
แม้ภายนอกผู้คนจะเรียกเมิ่งอ้ายเยว่ว่าคุณหนูใหญ่ แต่ทว่ายามอยู่ในจวนนางกลับมีสภาพไม่ต่างจากบุตรของอนุที่ถูกทอดทิ้ง
เมิ่งอ้ายเยว่ที่มองเห็นสายตาเกลียดชังของเถียนฮูหยินก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านอันใด นางเข้าใจดี ว่าอย่างไรเสียเถียนฮูหยินก็ต้องรักบุตรแท้ๆ ของตนเองมากกว่านางอยู่แล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงไม่สนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้อีก หญิงสาวทำความเคารพพ่อแม่บุญธรรมตนเองอย่างนอบน้อม ท่าทีของนางออกจะดูเก้ๆ กังๆ อยู่บ้างเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้
"ขออภัยท่านพ่อท่านแม่ ลูกรู้ผิดแล้วเจ้าค่ะ"
เอาน่า ตามน้ำไปก่อน รีบทำให้เรื่องราวตรงนี้จบลงโดยเร็ว นางจะได้ไปนอนเอาแรงสักงีบ
เถียนฮูหยินหันไปสบตากับสามีตนคราหนึ่ง วันนี้เด็กคนนี้มาแปลก ทุกคราจะต้องจีบปากจีบคอ วางท่าเป็นคุณหนูใหญ่และเถียงนางคำไม่ตกฟาก แต่วันนี้กลับสงบเสงี่ยมเสียนี่
เหอะ คนเช่นนางจะเป็นคนดีได้สักกี่น้ำกัน
"เจ้ามาสาย ที่นั่งเต็มแล้ว กลับไปกินข้าวที่เรือนของตนเองเถอะ ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าอยู่ต่อแล้ว กลับไปซะ"
เยี่ยม!
เมิ่งอ้ายเยว่กู่ร้องอย่างมีความสุขอยู่ในใจ ก่อนจะขอตัวกลับเรือนของตนเองไป ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากเรือนหลักนางก็ได้ยินเสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"เสแสร้งแกล้งทำเก่งจริงๆ วันนี้จะมาไม้ไหนอีกเล่า?"
เมิ่งอ้ายเยว่หันกลับไปมองก็พบว่าเป็นเมิ่งลี่หรูนั่นเองที่เป็นคนเอ่ยวาจากระทบกระเทียบนาง อีกทั้งยังมองนางด้วยแววตาไม่ชอบใจ ส่วนเมิ่งซานนั้นก็มองนางราวกับมองกรวดทรายต่ำต้อย
นี่น่ะหรือแม่ดอกบัวขาวนางเอกคนดีในตำนาน วันนี้นางได้มายลโฉมด้วยตนเองแล้ว แต่น่าแปลกใจอยู่บ้าง ในนิยายแม้เมิ่งลี่หรูจะไม่ชอบหน้านางปานใดแต่ก็ไม่เคยเอ่ยวาจาเหน็บแนมซึ่งหน้าเช่นนี้ นางมักทำตัวนิ่งๆ ดูสูงส่งอยู่ตลอดเวลา และใช้หางตาปรายมองนางราวกับมองมดแมลงไม่คิดจะต่อปากต่อคำให้เสียเวลา
แต่ยามนี้เมิ่งลี่หรูกลับเป็นฝ่ายเอ่ยวาจาหาเรื่องนางก่อน แม้กระทั่งเมิ่งซานที่ในนิยายเขียนเอาไว้ว่าเขาเป็นน้องชายที่แสนดี คอยปลอบใจนางอยู่เสมอ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นมองนางอย่างรังเกียจไปอีกคน เอ๋? หรือว่านางอ่านข้ามบทไหนในนิยายไป ก็ไม่นี่?
"ยืนโง่อยู่ทำไม รีบไสหัวไปสิ หรือเจ้าคิดว่าตนเองคือคุณหนูใหญ่ของจวนนี้จริงๆ? คนนิสัยโลภมากและริษยาเช่นเจ้า วันๆ คิดแต่จะชิงดีชิงเด่นกับข้า ซ้ำยังคิดยั่วยวนท่านโหวอีก เหอะ ฝันไปเถอะท่านโหวไม่ชายตาแลเจ้าหรอก!"
"ไม่เอาน่าลี่หรูลูกแม่ อย่าไปถือสาหาความกับนางเลย"
สองแม่พูดคุยกันอย่างสนิทสนม เมิ่งอ้ายเยว่คร้านจะสนใจและไม่อยากต่อปากต่อคำ นางรีบเดินกลับมาที่เรือนของตนเองทันที เมื่อมาถึงก็พบว่าสาวใช้กำลังเอาของกินมาให้ เมื่อเห็นอาหารตรงหน้านางก็ถึงกับกุมขมับ
นี่มันอาหารหมูหรือไรกัน เหตุใดจึงมีแต่ผัก แล้วเนื้อเล่า เนื้อหายไปไหน!
หลังจากพิธีฉลองการอภิเษกสมรสผ่านพ้นไปแล้ว ทุกคนก็กลับไปใช้ชีวิตเฉกเช่นปกติตามเดิม หลังจากที่ซือหม่าอี้เฉินแต่งงานกับอวี๋อ้ายเยว่ได้ไม่นาน ซือหม่าตงและอวี๋ลู่เหลียนก็เข้าพิธีแต่งงานกันทันที หลังจากผ่านงานแต่งงานมาแล้วคนทั้งสองก็เดินทางเข้าวังหลวงมาเพื่อสนทนาพูดคุยกับซือหม่าอี้เฉินและอวี๋อ้ายเยว่อวี๋อ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนนั้นนั่งสนทนากันกันอยู่อีกมุมหนึ่งของตำหนัก ส่วนซือหม่าอี้เฉินและซือหม่าตงก็นั่งสนทนากันอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรไม่ไกลจากสตรีทั้งสองมากนัก"อาตงข้าจะมอบตำแหน่งชินอ๋องให้กับเจ้า"ซือหม่าตงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับพ่นชาร้อนออกจากปากทันที เขาวางถ้วยชาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองพี่ชายตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก"เสด็จพี่ ข้าไม่อยากเป็นชินอ๋องท่านก็รู้นี่ ข้าไม่อยากทำงานในราชสำนัก ข้าไม่อยากร่วมประชุมยามเช้า ข้าอยากอยู่แต่กับเมียข้า""ค่าจ้างเป็นชินอ๋องเดือนละหนึ่งพันตำลึง ไม่ต้องประชุมยามเช้า อยากไสหัวไปทำอันใดก็ไป เพียงแค่เป็นชินอ๋องหุ่นเชิดให้ข้าก็พอ ไม่เช่นนั้นคนนอกจะหาว่าข้าตระหนี่แม้กระทั่งตำแหน่งชินอ๋องที่ควรจะเป็นของน้องชาย ข้าไม่อยากถูกคนเอาข้าไปนินทาว่าไม่รักพี่รักน้อง"ซือห
เมื่อสงครามจบสิ้นลง บ้านเมืองก็กลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง คนชั่วถูกปราบปรามจนสิ้นซากไม่เหลือรอดแม้เพียงคนเดียว เหล่าช่าวบ้านต่างกู่ร้องยินดีกันถ้วนหน้าซือหม่าอี้เฉินทิ้งทหารเอาไว้ที่ชายแดนทางทิศเหนือหลายหมื่นนายเพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน ส่วนราษฎรแคว้นฉีนั้นต่างยอมสวามิภักดิ์ต่อเขาอย่างไม่มีข้อแม้ อีกทั้งยังบอกว่าซือหม่าอี้เฉินเปรียบเสมือนเทพเซียนมาโปรด ที่ช่วยสังหารฉีอ๋องจนตกตายไปได้ เพราะที่ผ่านมาฉีอ๋องเอาเปรียบราษฎรไม่หยุดหย่อน อีกทั้งยังทำชั่วเอาไว้มาก ที่ผ่านมาก็ปกครองบ้านเมืองด้วยความอำมหิต เมื่อฉีอ๋องตกตายไป พวกเขาก็ถือว่าได้หลุดพ้นจากนรกขุมนี้เสียทีเมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกดีใจยิ่งนักที่สงครามครานี้จบลงด้วยการที่แคว้นเยี่ยเป็นฝ่ายกุมชัยชนะ เมฆหมอกดำได้ผ่านพ้นไปจนหมดสิ้นแล้ว ยามนี้ได้เวลาเริ่มต้นใหม่เสียทีเมื่อสะสางเรื่องที่ชายแดนจบสิ้น ซือหม่าอี้เฉินและเมิ่งอ้ายเยว่ก็เดินทางกลับเมืองหลวงในทันที เมื่อกลับมาถึงเขาก็ปูนบำเหน็จให้กับเหล่าขุนนางที่มีความดีความชอบอย่างสมเกียรติ ส่วนขุนนางที่ได้รับผลกระทบก็ได้รับการปลอบประโลมเช่นเดียวกัน ไป๋จิ่งหยวนและหลี่หรงได้รับการปูนบำเหน
กลางดึกเขาสั่งให้คนลอบไปเผาคลังเสบียงในค่ายทหารของฉีอ๋อง ทั้งค่ายพลันวุ่นวายขึ้นมาทันที ซือหม่าอี้เฉินจึงใช้โอกาศนี้ไปแย่งชิงตัวซือหม่าตงกลับมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ง่ายนัก กว่าจะแย่งตัวคนมาได้ ฉีอ๋องก็รู้ตัวเสียแล้ว และได้ส่งทหารจำนวนหนึ่งออกมาจัดการกับซือหม่าอี้เฉิน ซือหม่าอี้เฉินรีบสั่งให้คนพาซือหม่าตงกลับเข้าชายแดนแคว้นเยี่ยโดยเร็วส่วนเขาและหลี่หรงก็รับมือกับทหารของฉีอ๋องเพื่อถ่วงเวลาให้น้องชายกลับเข้าเมืองไปได้อย่างปลอดภัยเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนที่รออยู่ก่อนแล้วเมื่อเห็นว่าซือหม่าตงถูกช่วยกลับมาได้แล้วจึงสั่งให้คนตามท่านหมอมารักษาเขาทันที ด้านซือหม่าตงและหลี่หรงก็อาศัยโอกาสนี้โจมตีฉีอ๋องไม่หยุด ยามนี้ทหารของฉีอ๋องถูกสังหารไปไม่น้อย อีกทั้งคลังเสบียงก็มาถูกไฟเผา ฉีอ๋องจึงโกธรแค้นมาก และประกาศก้องว่าจะออกรบสังหารซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงด้วยตนเอง!ซือหม่าตงถูกพาตัวมารักษาโดยมีอวี๋ลู่เหลียนคอยจับมือเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซือหม่าตงแม้จะเจ็บหนักแต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาหันมามองอวี๋ลู่เหลียนและยิ้มให้นางอย่างอ่อนล้า"ลู่เหลียน""ข้าอยู่นี่แล้ว ฮึก เจ้าอย่าเพิ่งพูดอันใดให้มากความเลย
เมื่อมีเรื่องดี ย่อมต้องมีเรื่องร้ายตามมายามนี้ชายแดนทางเหนือกำลังเกิดสงครามประทุขึ้นอย่างหนัก ส่วนชายแดนทางใต้ก็มีคนของอู่อ๋องที่รอดชีวิตจากสงครามหลายปีก่อนกำลังก่อความไม่สงบหมายจะช่วงชิงชายแดนคืน ซือหม่าอี้เฉินที่แต่ไหนแต่ไรมักทำตัวตามสบายมาโดยตลอด กลับมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียกให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าร่วมประชุมอย่างเร่งด่วนมาหลายวันติดแล้ว แม่ทัพใหญ่หลี่และไป๋จิ่งหยวนแทบจะกินนอนอยู่ในวังหลวง หลังจากปรึกษาหารือกันอย่างดุเดือดในที่สุดก็ได้ข้อสรุปเสียทีซือหม่าอี้เฉินเห็นชอบให้ไป๋จิ่งหยวนนำกำลังทหารหลายแสนนายไปทำสงครามที่ชายแดนทางทิศใต้ และปราบปรามสุนัขรับใช้ที่เหลืออยู่ของอู่อ๋องให้สิ้นซาก ไป๋จิ่งหยวนรับคำและเร่งระดมพลออกค้นหาทันทีว่ามีคนของอู่อ๋องหลงเหลืออยู่อีกหรือไม่ หากมีก็ให้สังหารทิ้งให้สิ้นซาก จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังชายแดนทางใต้อย่างรวดเร็วส่วนซือหม่าอี้เฉินและหลี่หรงเดินทางไปยังชายแดนทิเหนือเพื่อต่อสู่กับกองทัพของฉีอ๋อง วันที่พวกเขาออกเดินทางมีชาวบ้านมายืนส่งตลอดทางและอวยพรให้พวกเขากลับมาพร้อมชัยชนะส่วนเมิ่งอ้ายเยว่และอวี๋ลู่เหลียนก็ติดตามซือหม่าอี้เฉินไปด
"ฝ่าบาท บุญคุณครานี้กระหม่อมจะไม่มีวันลืมเลย"ซือหม่าอี้เฉินเข้ามาประคองราชครูอวี๋ให้ลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ย“สำนึกบุญคุณก็ดี ตาแก่อวี๋ หากอยากตอบแทนบุญคุณข้า ก็ยกบุตรสาวเจ้าให้แต่งกับข้า เป็นอย่างไร ได้ข้าเป็นลูกเขย เจ้านี่ทำบุญมาดีจริงๆ”ราชครูอวี๋ลอบเบ้ปากคราหนึ่ง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย"ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมขอพาตัวบุตรสาวกลับจวนได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมอยากพานางไปทำความคุ้นเคยกับบ้านของนาง และกลับไปดูเรือนของแม่นาง แล้วกระหม่อมจะพานางกลับมาส่งให้ฝ่าบาท""ได้ ไปเถอะ คิดซะว่าชดเชยช่วงเวลาที่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมานาน""ขอบพระทัยฝ่าบาท"เมื่อซือหม่าอี้เฉินอนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่จึงติดตามราชครูอวี๋กลับจวน ซือหม่าอี้เฉินเพียงยิ้มเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากตามนางไปด้วย แต่คิดอีกทีเขาไม่ไปดีกว่า อย่างไรควรจะให้สองพ่อลูกได้ใช้เวลาร่วมกันจะดีกว่าราชครูอวี๋พาเมิ่งอ้ายเยว่มาที่จวนของตนทันที เมื่อเข้าจวนมาแล้วเมิ่งอ้ายเยว่ก็พบว่าการตกแต่งของจวนราชครูอวี๋ช่างงดงามมากนัก แต่เพราะนางอยู่ในวังจนเคยชิน เห็นความงดงามมามากนัก จึงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นจนเกินงาม"เรือนนี้เป็นเรือนของแม่เจ้า พ่อปิดตายเอาไว้ไม่ให้คน
ท้ายที่สุดคนตระกูลเมิ่งก็ถูกประหารตกตายไปตามกัน ของมีค่าทั้งหมดถูกยึดเข้าท้องพระคลังหลวง ข้ารับใช้ถูกขายไปที่โรงขายทาส ความชั่วที่พวกเขาเคยกระทำถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน สร้างความเกลียดชังให้แก่เหล่าชาวบ้านไม่น้อยเลยวันที่พวกเขาถูกประหารเมิ่งอ้ายเยว่ไม่ได้ไปร่วมดูด้วย นางเพียงนอนหลับพักผ่อนอยู่ในตำหนักมังกรสวรรค์ โดยมีซือหม่าอี้เฉินนั่งเฝ้าอยู่ข้างๆหลังจากจบสิ้นเรื่องของตระกูลเมิ่ง ก็มีเรื่องใหม่อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ผู้คนไปทั่วทั้งเมืองหลวงก่อนเดินทางไปชายแดนองค์รักษ์ลับที่ซือหม่าอี้เฉินส่งไปสืบเรื่องราวภูมิหลังของเมิ่งอ้ายเยว่เมื่อหลายเดือนก่อนก็กลับมารายงานงานผลลัพธ์ที่ได้แท้จริงแล้วเมิ่งอ้ายเยว่คือบุตรสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาเอกของราชครูอวี๋ที่ถูกโจรป่าลักพาตัวไป คนของซือหม่าอี้เฉินสืบลึกลงไปอีกจนหาตัวสาวใช้ของอดีตฮูหยินนามว่าอาหลวนพบ ยามนี้นางเริ่มอายุมากแล้ว และยังแต่งงานกับชาวนาผู้หนึ่งและใช้ชีวิตอยู่ในชนบท นางบอกว่าตนเองและฮูหยินหนีตายไปด้วยกัน และยังเล่าความจริงทั้งหมดว่าย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีก่อน ภรรยาเอกของราชครูอวี๋ถูกโจรป่าลักพาตัวไป ยามนั้นฮูหยินกำล







