เมิ่งอ้ายเยว่เก็บตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนั้นซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี นางเก็บเงินไปพลางก็ก่นด่าไป๋จิ่งหยวนไปพลาง นางไม่คิดเลยว่าเขาจะปากเสียมากถึขนาดนี้
หญิงสาวจัดการแบ่งเงินเป็นสัดส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ติดตัวยามต้องการใช้สอย ส่วนหนึ่งเก็บเอาไว้ยามจำเป็น จะให้คนในจวนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่านางไปขูดรีดเงินมาจากไป๋จิ่งหยวนท่านโหวหน้าโง่ผู้นั้น
ยามเช้าของวันต่อมา นางก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปทำความเคารพพ่อแม่บุญธรรมเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปจากทุกวัน เถียนฮูหยินให้สาวใช้มาปรนนิบัตินางแต่งกายตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อนางสอบถามก็ได้ความว่าวันนี้จะมีแขกมาที่จวน เถียนฮูหยินจึงให้นางแต่งกายให้ดีเสียหน่อย เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เพียงยืนนิ่งๆ ให้เหล่าสาวใช้ช่วยแต่งตัวให้ เมื่อเรียบรอยดีแล้ว นางจึงรีบมาที่เรือนหลัก เมื่อมาถึงเถียนฮูหยินก็ให้นางมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารด้วย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น นางถึงกับนึกสงสัยในใจว่าแขกคนนั้นจะต้องเป็นคนสำคัญมากเป็นแน่
อ้อ เพราะมีคนมาที่จวนสินะ จึงให้นางแต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีดี เถียนฮูหยินคงกลัวจะถูกคนเอาไปนินทาลับหลังว่าตนเองเสแสร้งแกล้งทำดีกับบุตรบุญธรรมมาโดยตลอด จึงลงทุนลงแรงปานนี้ แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยนางก็ยังได้กินอาหารดีดีสักมื้อ
ไม่นานแขกคนสำคัญที่ว่าก็มาถึง แขกที่ว่าคือไป๋จิ่งหยวนและมารดาของเขานั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นสองแม่ลูกยังพาแม่สื่อติดตามมาด้วย เถียนฮูหยินนั้นทำตัวเหมือนมารดาผู้แสนดีที่รักบุตรเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังทำดีกับเมิ่งอ้ายเยว่ราวกับบุตรในอุทร มารดาของไป๋จิ่งหยวนที่เห็นอย่างนั้นก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก
“เถียนฮูหยินช่างใจกว้างนัก ทั้งที่มิใช่บุตรตนแท้ๆ แต่กลับรักใคร่ เห้อ หวังว่าท่านจะไม่ถูกทำให้โมโหจนล้มป่วยเช่นคราวก่อน อย่างว่าแหละนะคนเขาไม่ได้เกิดในครอบครัวสูงศักดิ์มาก่อน จะไปจะมาที่ใดล้วนก่อแต่เรื่อง”
เถียนฮูหยินเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ออกรับว่าเป็นความผิดของตนเอง เมื่อเรื่องราวเป็นไปในทิศทางเช่นนี้ นั่นยิ่งทำให้ไป๋จิ่งหยวนมองเมิ่งลี่หรูสูงค่าคู่ควรกับเขามากกว่าเดิม แต่กลับมองนางเหมือนพวกแมลงกาฝากมากยิ่งขึ้น
แต่ช่างเถอะ ใครสนใจกันเล่า ผู้ใดอยากจะมอบสินสอดให้ใคร หรือว่าผู้ใดจะแต่งงานกันนางล้วนไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก ยามนี้นางสนใจเพียงแค่ขนมดอกกุ้ยฮวาที่วางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น
ให้ตายเถอะ แป้งขนมนุ่มๆ เอาเข้าปากแล้วละลายทันที มันช่างฟินจนเกินคำบรรยาย
นางจัดการหยิบขนมดอกกุ้ยฮวาเข้าปากอย่างสำราญใจโดยไม่สนใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยามนี้เถียนฮูหยินและมารดาของไป๋จิ่งหยวนกำลังพูดคุยกันเรื่องงานหมั้นหมายและฤกษ์งานแต่ง เมิ่งอ้ายเยว่ได้ยินผ่านๆ หูว่าฤกษ์งามยามดีที่จะจัดงานแต่งงานนั้น เป็นต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า นับว่านานพอดู แต่เพราะหนุ่มสาวมีความรักใคร่ลึกซึ้งต่อกัน ต่อให้เวลานานเพียงใดก็ยังจะจับมือกันไปจนถึงวันแต่งงาน
จะว่าไปนางก็แอบอิจฉาเมิ่งลี่หรูอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่อิจฉาที่นางได้แต่งกับไป๋จิ่งหยวน แต่อิจฉาที่เมิ่งลี่หรูมีบุรุษที่พร้อมจะรักนางจากใจจริง และยอมนางทุกอย่าง
เห้อ นี่สินะที่เขาเรียกวาสนาของนางเอกนิยาย
ส่วนนางที่เป็นนางร้ายก็ใช้เวรใช้กรรมไปก่อน
เมิ่งอ้ายเยว่กินขนมดอกกุ้ยจนหมดจาน เมื่อกินอิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน รู้สึกง่วงจนเผลอสัปปะหงกไปหลายรอบ อาหมี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง ทำได้เพียงสะกิดเรียกเจ้านายตนเป็นระยะ มารดาของไป๋จิ่งหยวนเหลือบมาเห็นเข้าพอดีก็มองนางด้วยสายตาดูแคลนสายหนึ่ง ทุกคนต่างมองนางเป็นส่วนเกินทั้งสิ้น นางจึงขอตัวกลับเรือนและบอกว่าตนรู้สึกไม่ค่อยสบาย
"คุณหนูใหญ่ ท่านไม่รักษากิริยาต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ ฮูหยินใหญ่จะตำหนิท่านเอาได้นะเจ้าคะ"
อาหมี่เอ่ยกับเมิ่งอ้ายเยว่ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเท่าใดนัก ระยะหลังนางเริ่มตักเตือนเจ้านายมากขึ้น ที่นางทำไปล้วนหวังดีทั้งสิ้น เมิ่งอ้ายเยว่เองก็ไม่โกธร และนางก็ไม่สนใจคนพวกนั้นด้วย ช่างสิ อยากจะด่านางก็เชิญ หรืออยากจะไล่นางออกจากจวนก็ย่อมได้ นางมันสายเลือดสาวออฟฟิศอยู่แล้ว นางออกไปหางานทำเลี้ยงตนเองได้สบายมาก
เมิ่งอ้ายเยว่นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกเบื่อหน่ายจึงอยากจะออกไปเดินเล่นนอกจวนเสียหน่อย แต่อาหมี่กลับบอกว่านางจะออกจากจวนไม่ได้หากเถียนฮูหยินไม่อนุญาต เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับส่งเสียงเหอะออกมา นางไม่ใช่นักโทษเสียหน่อย จะมากักขังนางเช่นนี้มันถูกต้องแล้วหรือ นางไม่สนใจหรอก!
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงบอกให้อาหมี่เฝ้าประตูห้องนอนเอาไว้ หากมีคนของเรือนหลักมาก็บอกว่านางไม่สบายต้องการนอนหลับ และไม่อยากให้ใครรบกวน อาหมี่คิดจะห้ามปรามแต่กลับไม่ทันการณ์เสียแล้ว
เมิ่งอ้ายเยว่เดินลัดเลาะมายังด้านหลังเรือนตนเพื่อหาทางออกจากจวน เพราะนางออกทางประตูใหญ่ไม่ได้จึงจำต้องหาทางลัด หญิงสาวมองไปโดยรอบก่อนจะพบเข้ากับช่องลอดสุนัขที่อยู่ด้านหลังจวน เมิ่งอ้ายเยว่ยกยิ้มมุมปากก่อนจะจัดการมุดออกมาจากช่องลอดสุนัขนั่นอย่างรวดเร็ว
เมิ่งอ้ายเยว่เดินไปตามถนนอย่างไม่รีบไม่ร้อน ระหว่างทางมีผู้คนมองนางด้วยแววตาที่ดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แต่นางไม่ได้สนใจเท่าใดนัก นางรู้ดีว่าที่พวกเขามองนางเช่นนี้เพราะเจ้าของร่างเดิมไปก่อเรื่องเอาไว้ ยามที่เถียนฮูหยินพามาเดินเล่นที่ตลาดหรือ หรือไปที่ร้านเครื่องประดับและร้านผ้า นางก็มักจะก่อเรื่องทำร้ายคนอยู่เสมอ นานวันเข้าเถียนฮูหยินจึงไม่ให้นางออกจากจวนอีก แต่ถึงอย่างนั้นชาวบ้านเหล่านี้ก็ยังจำความเลวร้ายที่นางก่อขึ้นได้ไม่ลืม
จะว่าไปตัวนางเองก็มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง นางเป็นคนที่ไม่มีความคิดซับซ้อนในหัวเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว อีกทั้งยังไม่สนใจคำพูดที่ไม่รื่นหู นางสนใจเพียงความสุขในใจของตนเองเท่านั้น ผู้ใดดีมานางก็ดีตอบ ผู้ใดร้ายมานางก็ร้ายกลับ แต่ถ้าให้นางเลือก นางก็อยากอยู่อย่างสงบมากกว่า
เมิ่งอ้ายเยว่รู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ออกมาจากจวน นางในตอนนี้เหมือนกับนกตัวน้อยที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงทอง เมื่อได้เห็นสิ่งต่างๆ แปลกใหม่ก็สนใจยิ่ง
แต่ทว่านางเดินเล่นอยู่ไม่นานก็เริ่มรู้สึกหมดสนุก เมืองหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่แต่กลับไม่มีที่ไหนน่าดึงดูดสักเท่าไหร่ เดิมทีนางก็เพียงอยากออกมาเดินดูลู่ทาง เผื่อวันไหนตั้งตัวได้จะได้ออกมาหาที่อยู่ด้วยตนเอง
โรงพนันซือหยวน
อยู่ๆ สายตาของเมิ่งอ้ายเยว่ก็เหลือบไปเห็นโรงพนันแห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย นางเบื่อๆ อยู่พอดี ไม่สู้เข้าไปสำรวจดูที่นั่นเสียหน่อย
นางมีความสามารถในการเล่นสิ่งพวกนี้อยู่พอตัว แต่เพราะรู้ว่าเจ้าสิ่งพวกนี้มันไม่ดีเท่าไหร่จึงไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวมากนัก แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว เข้าไปดูด้านในเสียหน่อยก็ไม่เสียหาย นางเองก็อยากรู้ว่าโรงพนันในยุคโบราณนี้จะเป็นแบบไหน
เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงเดินเข้ามายังโรงพนันซือหยวนอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าประตูทางเข้ามีชายร่างใหญ่สองคนยืนเฝ้าอยู่ หน้าตาของเขาดูโหดเหมือนพวกเก็บเงินกู้เลย แต่เพราะนางจ่ายเงินให้เขาไปพอสมควร ชายสองคนจึงยอมปล่อยให้นางเข้าไปด้านใน
ภายในโรงพนันซือหยวนค่อนข้างอึกทึกไม่น้อยและยังมีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย เมื่อพวกเขาเห็นว่านางที่เป็นสตรีเดินเข้ามาด้านในก็มองหน้าตาไม่กระพริบ มีบางคนที่เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่ไว้หน้า
"นั่นใช่คุณหนูใหญ่ตระกูลเมิ่งหรือไม่ นี่นางไม่รักดีถึงขนาดหนีออกจากจวนมาเข้าโรงพนันเชียวหรือ"
"นั่นสิ ลมอะไรหอบนางมากัน ได้ยินว่านางถูกกักบริเวณไม่ให้ออกมาด้านนอกเพราะสันดานไม่ดีนี่นา คราก่อนข้าเห็นนางมาเดินตลาดกับน้องสาว นางแต่งกายจืดชืดนัก รสนิยมการแต่งกายช่างทุเรศสิ้นดี ซ้ำยังวางท่าใหญ่โตดูแคลนผู้คนไปเรื่อย อย่างว่าละนะ สายเลือดไพร่ อย่างไรก็คือไพร่อยู่วันยังค่ำ"
"คอยดูเถอะ นางแพ้แน่ หากนางเสียพนันจะต้องเอาเครื่องประดับบนตัวไปขายเพื่อแลกเงินเป็นแน่ บางคราอาจจะขายตัวด้วยซ้ำ ข้าจะรอซื้อเป็นคนแรก ฮ่าๆ ได้ภรรยาเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่คงดีไม่น้อย แม้จะเป็นเพียงบุตรบุธรรม อย่างไรคงมีสมบัติติดตัวอยู่ไม่น้อย!"
วาจาแทะโลมและเหยียดหยามเช่นนี้เมื่อลอยมาเข้าหูแน่นอนว่าย่อมทำให้คนรู้สึกไม่อภิรมย์ เมิ่งอ้ายเยว่ยิ้มเยาะ บุรุษพวกนี้เลี้ยงหมาเอาไว้ในปากเหมือนกับไป๋จิ่งหยวนไม่มีผิดเลย ถึงขนาดนินทาคนในระยะเผาขนโดยไม่สนว่าสตรีน้อยจะอับอายขายหน้าหรือไม่
"แม่นาง ที่นั่งชั้นล่างล้วนเต็มหมดแล้ว แต่ที่นั่งด้านบนยังว่าง แม่นางสนใจหรือไม่?"
เถ้าแก่วัยกลางคนที่ดูเหมือนจะเป็นคนดูแลโรงพนันแห่งนี้เดินเข้ามาหานางและเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร เขาไม่สนใจว่าลูกค้าจะเป็นใคร หรือมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เพียงใด ขอเพียงมีเงินเขาล้วนต้อนรับทั้งสิ้น เมิ่งอ้ายเยว่ละสายตาจากพวกปากมากและหันมายิ้มให้เถ้าแก่ แล้วจึงเอ่ยตอบ
“ขอบคุณมาก ข้าไปเล่นชั้นบนก็ได้เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นแม่นางเชิญตามข้ามา”
เมิ่งอ้ายเยว่พยักหน้ารับแล้วจึงเดินตามเถ้าแก่ผู้นั้นขึ้นไปด้านบน บนชั้นสองแตกต่างจากชั้นล่างราวฟ้ากับเหว ดูเหมือนว่าลูกค้าบนชั้นสองจะมีแต่พวกคนมีฐานะ ที่นั่งถูกจัดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ได้วุ่นวายเท่าชั้นล่างเลย
"แม่นางเชิญนั่งตรงนี้"
เถ้าแก่ผู้นั้นผายมือเป็นการเชื้อเชิญ และให้ลูกน้องในร้านนำชาชั้นดีและขนมมาบริการนางด้วย เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยขอบคุณแล้วจึงทิ้งกายนั่งลงตรงที่ว่าง
วงพนันยามนี้มีเพียงนางที่เป็นสตรี บุรุษคนอื่นต่างมองนางราวกับมองตัวประหลาด แต่นางหาได้สนใจไม่
เวลาผ่านไปไม่นาน กองเงินทั้งหมดก็มารวมกันอยู่เบื้องหน้านางแต่เพียงผู้เดียว พวกบุรุษที่เคยมองนางด้วยสายตาดูแคลนถึงกับปากอ้าตาค้าง มีคนผู้หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นคุณชายจอมเอาแต่ใจ กำลังจ้องมองนางอย่างไม่พอใจ
"นี่เจ้า! ข้าจำได้แล้ว เจ้าก็คือเมิ่งอ้ายเยว่ บุตรสาวบุญธรรมของตระกูลเมิ่ง เจ้ามาเข้าโรงพนันเช่นนี้บิดาเจ้ารู้หรือไม่ อ้อ เจ้าหนีออกจากจวนมาสินะ?"
ไม่นานคนอื่นๆ บนโต๊ะก็รวมหัวกันมาเอ่ยวาจาเสียดสีนาง
"นั่นสิ เจ้าทำตัวไม่สมกับเป็นสตรีเลย เช่นนี้แล้วผู้ใดจะกล้าแต่งเจ้าเข้าจวนกัน สตรีดีดีที่ใดกันมาเข้าโรงพนัน"
เมิ่งอ้ายเยว่ที่กำลังนั่งนับตั๋วเงินตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์พลันเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้บุรุษเหล่านั้นคราหนึ่ง
"ข้าเป็นบุตรสาวบ้านไหน จะทำอะไร พ่อแม่จะรู้หรือไม่ จะได้แต่งงานหรือไม่ได้แต่ง แล้วมัันใช่ธุระกงการอะไรของพวกเจ้าไม่ทราบ จะสอดปากมายุ่งทำไมกัน พวกเจ้าเอาแต่ว่าข้า แล้วพวกเจ้าเล่าดีนักหรือ บิดามารดารู้หรือไม่ว่าเอาเงินมาถลุงการพนัน อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ที่พวกเจ้ามารุมว่าข้า คงเป็นเพราะพ่ายแพ้ให้ข้าจนหมดตัวแล้วสินะ อ่อนชะมัด!"
เหล่าคุณชายหน้าหยกเมื่อถูกเมิ่งอ้ายเยว่พูดตอกหน้ากลับไปก็ถึงกับเอ่ยวาจาใดไม่ออก เพราะความอับอายพวกเขาจึงลุกหนีจากไปทันที เมิ่งอ้ายเยว่เบ้ปากคราหนึ่ง แล้วอย่างไรผู้ใดแคร์?
"เจ้าน่าสนใจดีนี่ เป็นสตรีแต่กลับเล่นพนันชนะบุรุษได้ ซ้ำยังเล่นเก่งเสียด้วย เจ้าสนใจรับจ้างสอนเล่นพนันหรือไม่ ข้ากำลังหาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่พอดี วันนี้ข้าเสียไปหลายตำลึงแล้ว"
ด้านเมิ่งอ้ายเยว่นั้นหลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับจวนตระกูลเมิ่งในทันที เดิมทีนางไม่อยากจะกลับไปเหยียบสถานที่แห่งนั้นอีก แต่ทว่านางเพิ่งทะลุมิติมาที่นี่เป็นครั้งแรก และยังไม่มีหนทางไป อย่างไรย่อมต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบเสียก่อน แล้วค่อยหาหนทางอีกครั้งนางมุดลอดช่องสุนัขเข้ามาอย่างยากลำบาก เมื่อเข้ามาแล้วก็รีบหันมองซ้ายขวาเมื่อพบว่าไม่มีคนมาเห็นจึงโล่งใจไปเปราะหนึ่งอยู่ๆ นางก็คิดถึงเด็กหนุ่มนามว่าอาอี้ขึ้นมา และยังเสียดายเงินหนึ่งพันตำลึงที่เขาเสนอให้ไม่น้อยเลย แต่ทว่าคุณธรรมในจิตใจของนางมันแรงกล้ามากกว่าตัวเงิน นางจึงไม่อยากตกปากรับคำเขาสายเลือดคนดีของนางนี่มันช่างเข้มข้นดีจริงๆหญิงสาวส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มเล็กน้อยแล้วรีบกลับเรือนพักทันที ระหว่างทางทางนางแวะซื้อของกินหลายอย่างมาฝากอาหมี่สาวใช้ด้วย อย่างไรเสียคนที่นางพอจะพึ่งพาและไว้ใจได้เห็นทีก็จะมีแต่อาหมี่เสียแล้ว ผูกมิตรกับอาหมี่เอาไว้เสียหน่อย เพียงเท่านี้ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขแล้วเมิ่งอ้ายเยว่กลับมาถึงจวนในตอนบ่ายแก่ๆ เมื่อมาถึงก็พบว่าอาหมี่กำลังรอนางอย่างร้อนใจ เมื่อเห็นว่านางกลับมาแล้วก็รีบวิ่ง
เมิ่งอ้ายเยว่พลันหันขวับมามอง ก่อนจะต้องตกตะลึงไปทันทีเมื่อครู่นางมัวแต่ตั้งใจเล่นเพราะอยากได้เงินสักก้อนไปเป็นทุน จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีหนุ่มน้อยหน้าหยกคนหนึ่งนั่งอยู่ด้านข้างตนใบหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ผิวพรรณของเขาขาวจัด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตาก็ทรงเสน่ห์หาใดเปรียบ ทุกอย่างบนใบหน้าของเขาราวกับถูกเสริมสรรค์ปั้นแต่งเป็นอย่างดี“เจ้าคือ?”“ข้ามีนามว่าอาอี้”อาอี้หรือ?เหตุใดตอนนางอ่านนิยายจึงไม่เห็นเจอตัวละครชื่อนี้เลย เอาแล้วสิ ทุกอย่างในตอนนี้มันไม่เหมือนกับในนิยายเลยแม้แต่น้อย เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงพิจารณามองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ"เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ หน้าตายังดูอ่อนวัยเหมือนหนุ่มน้อยอยู่เลย"ชายหนุ่มตรงหน้าพลันชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยิ้มมุมปาก"ปีนี้ข้าอายุสิบแปดแล้ว"เมิ่งอ้ายเยว่ถึงกับร้องอุทานในใจ ที่แท้ก็เป็นหนุ่มน้อยเสเพลที่ผลาญเงินพ่อแม่มาเล่นการพนันนี่เอง หญิงสาวมีท่าทีครุ่นคิดเล็กน้อย นางนึกถึงประโยคที่ว่าเด็กๆ คือความหวังของชาติ จะให้อบายมุขมามอมเมาเขาไม่ได้ เงินน่ะนางอยากได้ แต่การได้เงินจากการทำลายอนาคตเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นางคงไม่อาจเชิดหน้าได้
เมิ่งอ้ายเยว่เก็บตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงนั้นซ่อนเอาไว้เป็นอย่างดี นางเก็บเงินไปพลางก็ก่นด่าไป๋จิ่งหยวนไปพลาง นางไม่คิดเลยว่าเขาจะปากเสียมากถึขนาดนี้หญิงสาวจัดการแบ่งเงินเป็นสัดส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ติดตัวยามต้องการใช้สอย ส่วนหนึ่งเก็บเอาไว้ยามจำเป็น จะให้คนในจวนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่านางไปขูดรีดเงินมาจากไป๋จิ่งหยวนท่านโหวหน้าโง่ผู้นั้นยามเช้าของวันต่อมา นางก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปทำความเคารพพ่อแม่บุญธรรมเหมือนเช่นเคย แต่ทว่าวันนี้กลับต่างออกไปจากทุกวัน เถียนฮูหยินให้สาวใช้มาปรนนิบัตินางแต่งกายตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อนางสอบถามก็ได้ความว่าวันนี้จะมีแขกมาที่จวน เถียนฮูหยินจึงให้นางแต่งกายให้ดีเสียหน่อย เมิ่งอ้ายเยว่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เพียงยืนนิ่งๆ ให้เหล่าสาวใช้ช่วยแต่งตัวให้ เมื่อเรียบรอยดีแล้ว นางจึงรีบมาที่เรือนหลัก เมื่อมาถึงเถียนฮูหยินก็ให้นางมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหารด้วย อาหารบนโต๊ะล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น นางถึงกับนึกสงสัยในใจว่าแขกคนนั้นจะต้องเป็นคนสำคัญมากเป็นแน่อ้อ เพราะมีคนมาที่จวนสินะ จึงให้นางแต่งตัวสวยๆ กินอาหารดีดี เถียนฮูหยินคงกลัวจะถูกคนเอาไปนินทาลับหลังว่า
เมิ่งอ้ายเยว่หลับตาลงเพื่อระงับโทสะ พวกเขาจะด่านางกี่ครั้งนางไม่โกธร แต่ถึงขนาดไม่ให้กินอิ่มสักมื้อมันก็ออกจะเกินไปเสียหน่อยนางทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้ พลางครุ่นคิดอย่างหนัก เหตุใดทุกอย่างในยามนี้ไม่ดำเนินไปตามนิยายเล่า ทั้งที่นางก็ทะลุมิติมาตั้งแต่ตอนที่เมิ่งอ้ายเยว่ยังไม่ตายแท้ๆ แต่เรื่องราวกลับดูพิลึกชอบกล ในนิยายทุกคนในจวนแม้จะไม่ชอบนางแต่กลับไม่ได้โหดร้ายกับนางถึงขนาดนี้ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งว้าวุ่นใจ ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตไปในทิศทางไหน เพราะทุกอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไม่เดินไปตามเส้นเรื่องที่มันควรจะเป็นเดิมทีคิดว่าจะรอให้ร่างนี้ตายเร็วๆ จะได้กลับไปที่โลกปัจจุบันแต่เหมือนทุกอย่างจะสับสนอลหม่านไปหมด“อาหมี่ มานี่”เมิ่งอ้ายเยว่กวักมือเรียกอาหมี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูให้เข้ามาหานาง อาหมี่เดินเข้ามาหาเจ้านายตนอย่างกล้าๆ กลัวๆ“มีอันใดหรือเจ้าคะคุณหนู”“เหตุใดจึงมีแต่ผัก เนื้อเล่า?”เมิ่งอ้ายเยว่เอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ อาหมี่เม้มริมฝีปากแน่นแล้วจึงตัดสินใจเอ่ยตอบเจ้านายไปตามตรง“คุณหนูลืมแล้วหรือเจ้าคะ ท่านมีดวงชะตาพิเศษ ในทุกๆ หนึ่งเดือนจะสามารถกินเนื้อได้หนึ่งครั้งเท่านั้น ที่เหลือต้องกินเ
เมิ่งอ้ายเยว่อยากจะดึงทึ้งหัวตนเพื่อระบายอารมณ์ แต่เพราะรู้ว่าทำไปก็ไร้ประโยชน์นางจึงเลือกจะสงบสติอารมณ์ตนเอง ในเมื่อทะลุมิติมาแล้ว สิ่งที่จะสามารถทำได้ก็คือต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี นี่ไม่ใช่เวลามาคร่ำครวญร้องไห้ แต่ต้องเตรียมการตั้งรับให้ดีต่างหากนางพยายามคิดถึงนิยายที่ตนเองเพิ่งอ่านจบ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เพราะนิยายนั้นเป็นเรื่องสั้นสิบบทจบ จึงไม่ได้ปูเรื่องราวพื้นฐานของเมิ่งอ้ายเยว่คนเก่าเอาไว้มากนัก คนเขียนบอกเพียงว่านางถูกรับมาเลี้ยง ส่วนเรื่องที่ว่าเถียนฮูหยินไปเจอนางได้เช่นไรนั้นกลับไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจนเช่นที่อาหมี่เล่าให้นางฟังแต่ช่างเถอะ ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่าเมื่อคิดได้เช่นนั้นเมิ่งอ้ายเยว่จึงหันไปมองอาหมี่แล้วจึงพบว่าตอนนี้สาวใช้น้อยของนางกำลังนั่งก้มหน้าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว อยู่ๆ ในใจของเมิ่งอ้ายเยว่ก็บังเกิดความสงสารสายหนึ่งขึ้นมา เมิ่งอ้ายเยว่คนเก่ามีนิสัยทะเยอะทะยานและชอบทำร้ายบ่าวไพร่อย่างทารุณ เมื่อถูกคนเรือนหลักรังแกมา นางก็จะเอาโทสะทั้งหมดมาลงกับบ่าวไพร่ ไม่เพียงเท่นั้น ทุกคราที่ออกไปร่วมงานเลี้ยงหรือไปสถานที่ต่างๆ พร้อมกับคนในจวน นางก็จะพยายามทำต
"ให้ตายเถอะ นางร้ายเรื่องนี้จะมีชะตาชีวิตที่น่าอดสูเกินไปแล้ว ถูกเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะเพื่อเป็นลูกชังยังไม่พอ ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยการดูสีหน้าของคนในจวนอยู่ตลอดเวลา ที่แย่ไปกว่านั้นนางยังมีจิตใจทะเยอะทะยานอยากจะเทียบเคียงกับบุตรสาวแท้ๆ ของตระกูลเมิ่งอีกด้วย ช่างไม่เจียมตัวเลยจริงๆฉันอ่านจนจบเล่มแล้ว รู้สึกสงสารตัวละครนี้ได้ไม่สุดจริงๆ มันทั้งสงสารและหมั่นไส้ในคราวเดียวกัน ช่างเป็นนางร้ายที่ไม่ได้เรื่องได้ราวเลยสักอย่าง สุดท้ายแล้วนางก็ตายเพราะความทะเยอะทะยานของตนเอง ส่วนพระเอกที่เป็นท่านโหวก็ปากจัดด่านางร้ายสาดเสียเทเสีย นางเอกที่ชื่อเมิ่งลี่หรูผู้นั้นก็ทำตัวเหมือนแม่ดอกบัวขาวอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้วพระเอกก็เลือกแต่งงานกับนางเอกได้ครองคู่กันไปชั่วชีวิต ตัวร้ายต่างพ่ายแพ้หมด ช่างเป็นนิยายเรื่องสั้นเพ้อฝันที่บอกเล่าเรื่องราวความรักลึกซึ้งของท่านโหวผู้เก่งกาจกับแม่ดอกบัวขาวคนงามโดยเฉพาะ ส่วนตัวละครอื่นๆ ก็กลายเป็นตัวประกอบเสริมบทให้พระนางรักกันหวานซึ้ง ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อยเห้อ หากฉันทะลุมิติไปอยู่ในร่างนางร้ายได้นะ ฉันจะทำให้หล่อนเป็นผู้เป็นคนมากกว่านี้ ไม่ต้องมาปักใจรัก