วันต่อมา
ลู่ซิ่ว ถืออ่างน้ำเข้ามาในห้องนอนเพื่อจะปรนนิบัติคุณหนูของตน
"คุณหนูเจ้าคะ เช้าวันนี้คุณหนูจะใส่ชุดสีอะไรดีเจ้าคะ"
เสียงเจื่อนแจ้วของสาวใช้เข้าไปในห้อง แต่ร่างบางบนเตียงยังไม่ขยับ
“คุณเจ้าคะ คุณหนู”
ลู่ซิ่วขยับเข้าไปใกล้ เมื่อเรียกแล้วอีกฝ่ายยังไม่ขยับ ด้วยความเป็นห่วงจึงแตะเบา ๆ ที่ตัว แล้วนางก็ต้องรีบชักมือกลับเมื่อร่างนั้นร้อนผ่าวราวกับกองไฟ
“อ๊ะ ทำไมตัวร้อนจี๋แบบนี้”
นางเห็นใบหน้าของคุณหนูซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก คิดว่าคงเป็นไข้หนักแน่แล้ว จึงรีบวิ่งไปรายงานองค์ชายเพื่อขอให้ส่งตัวหมอหลวงมาตรวจอาการ
2 ชั่วยามผ่านไป
ฉู่เหลียนเริ่มรู้ตัวขึ้นมา ดวงตาหนักอึ้งจนลืมตาไม่ขึ้น เรี่ยวแรงขยับแขนขาแทบไม่มีแม้แต่น้อยนิด
“คุณหนู อย่าเพิ่งขยับนะเจ้าคะ.. หมอหลวงให้ท่านนอนพักนิ่ง ๆ บนเตียง”
ลู่ซิ่วรีบเข้าไปหาเจ้านายของตนด้วยความดีใจที่นายของตนฟื้นสติขึ้นมาแล้ว
ฉู่เหลียนขมวดคิ้ว หมอหลวงอย่างนั้นเหรอ นางกะพริบตาเพื่อปรับสายตาให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
“ข้าเป็นอะไรไปหรือ”
“คุณหนูเป็นไข้เพราะร่างกายอ่อนเพลียมากเจ้าคะ ท่านหมอได้จัดยาให้แล้ว.. และพักผ่อนเยอะๆ..อย่าเพิ่งคิดอะไร..ตอนนี้ร่างกายของคุณหนูอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำสิ่งใด”
เมื่อรับทราบดังนั้น ฉู่เหลียนก็หลับตาลงอีกครั้งทั้งๆ ที่ตื่นแล้ว นางยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง
แต่แล้วจู่ๆ ประตูก็เปิดออกพร้อมกับฝีเท้าหนักๆ ก็เดินเข้าพร้อมมาพร้อมกับเสียงที่นางไม่อยากจะได้ยินว่า
“ตายรึยัง”
ลู่ซิ่วถอยห่างออกไป ซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้อย่างสุดความสามารถ หากว่านางไม่ถูกคุณหนูห้ามไว้ และมีวิชาการต่อสู้ที่กล้าแกร่งกว่านี้ นางคงได้ถือดาบฟันบุรุษผู้นี้ให้ตายในดาบเดียวแน่
“เป็นใบ้กันหมดหรือไง ข้าถามทำไมไม่ตอบ”
ซ่งเทียนตวาดถามเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ
“ยังไม่ตาย รู้แล้วก็ออกไปซะ”
ฉู่เหลียนเอ่ยเสียงเรียบ แฝงด้วยอารมณ์ขุ่นมัว บุรุษผู้นี้ใจอำมหิตนักกระทำย่ำยีร่างกายนางจนล้มเจ็บ แล้วยังถามเช่นนั้นออกมา
“หึ ยังไม่ตายก็ดี กินยาที่หมอสั่งให้ครบ พรุ่งนี้จะได้มีแรงลุกขึ้นมารับน้ำชาจากอนุ”
ฉู่เหลียนใจหายวาบ อุทานในใจ ‘อนุหรือ นี่เขาจะรับอนุเข้าจวนทั้ง ๆ ที่แต่งงานไม่ถึง 3 วัน’ แม้จะเสียใจแค่ไหน นางก็ต้องฝืนเสียงแข็งเอ่ยกลับไปว่า
“ท่านรับอนุ มิเกี่ยวอันใดกับข้า”
“ทำไมจะไม่เกี่ยว” ซ่งเทียนเข้าไปกระชากร่างบางให้ลุกขึ้นมาคุย “ตามประเพณีการรับอนุเข้าจวน เจ้าต้องรับการยกน้ำชาจากนาง”
“ว๊าย ! องค์ชายโปรดเบามือด้วยเพคะ พระชายากำลังป่วยหนัก”
ลู่ซิ่วอุทานเสียงหลงรีบเข้ามาประคองนายหญิงของตน
“เหอะ” ซ่งเทียนยอมปล่อยมือ “ต่อให้ป่วยหนักใกล้ตาย พรุ่งนี้เจ้าก็ต้องลุกขึ้นมารับน้ำชา”
สิ้นคำ เขาก็เดินจากไปอย่างไม่ไยดี ปล่อยให้ฉู่เหลียนน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ
วันรับอนุเข้าจวน
เจียลี่ไม่คิดว่าองค์ชายซ่งเทียนจะจัดพิธีการแต่งอนุเข้าตำหนักอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางลอบยิ้มกับตนเองอย่างพอใจ และคิดอยากครอบครองตำแหน่งนี้จริง ๆ เสียแล้ว
ซ่งเทียนเดินออกไปรับนางลงจากเกี้ยวสีแดงด้วยตนเอง จากนั้นก็พาไปยังห้องโถงของเรือนหลักเพื่อยกน้ำชาให้กับพระชายา
ฉู่เหลียนนั่งนิ่งอยู่บนตั่ง ใบหน้านิ่งขรึม ดูซีดเซียวอยู่บ้าง เพราะยังไม่หายจากอาการป่วยดี
เจียลี่ในชุดแดงยิ้มหน้าระรื่น ยิ่งเห็นภรรยาหลวงดูโทรมไม่ผ่องใส นางก็ยิ่งมั่นใจว่า สามารถเขี่ยบุตรสาวแม่ทัพคนนี้ให้กระเด็นออกจากตำหนักองค์ชายใหญ่ได้ในเร็ววัน
“ข้าน้อย... เจียลี่ น้อมคำนับพระชายา”
นางคุกเข่าลงตรงหน้าฉู่เหลียนพลางยกน้ำชาให้
ฉู่เหลียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และมองไม่ให้ เชิดใบหน้าขึ้นสูงพลางคิดในใจว่า ‘จะแต่งอนุทั้งทีหาดี ๆ กว่านี้ไม่ได้หรือ เหตุใดไปคว้าเอาสตรีมัวบุรุษในหอนางโลมมายกย่องบูชา ช่างน่าอายจริงๆ’
ซ่งเทียนเห็นอาการของพระชายาตนเนเช่นนั้นก็พอใจเป็นอย่างยิ่งที่สร้างความขุ่นมัวในใจของนางได้ และเพื่อเพิ่มความเจ็บปวดให้นางมากยิ่งขึ้น เขาจึงเอ่ยว่า
“ฉู่เหลียน เจ้าอย่าใจแคบนักสิ น้องหญิงยกน้ำชาให้เจ้าแล้วเจ้าก็รับเสีย”
“ท่านเรียกนางว่าน้องหญิงรึ”
ฉู่เหลียนถามอย่างไม่พอใจ กับนาง.. เขาเรียกชื่อเต็มๆ แต่กับผู้หญิงชั้นต่ำพรรค์นี้เขากับเรียกน้องหญิงอย่างรักใคร่หวงแหน
“สตรีใดที่ข้ารัก ย่อมเป็นน้องหญิงของข้า”
“ท่านจะรักใครก็ช่างเถิด แต่ท่านแต่งนางโลมเข้าตำหนักเป็นอนุมันควรแล้วรึ”
ซ่งเทียนหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนเอยว่า “สำหรับข้าแล้ว... นางโลมมีค่าในสายตาข้ามากกว่าเจ้าด้วยซ้ำ”
“องค์ชาย ! อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีชั้นต่ำเช่นนี้”
ฉู่เหลียนมองเขาด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมา
เจียลี่ยิ้มที่มุมปากก่อนรีบปั้นหน้าเศร้า เอ่ยออกมาพร้อมกับสะอึกสะอื้นว่า “พระชายา ข้าไม่เคยคิดจะป่ายปีนขึ้นไปเทียบท่านเลยสักนิด ข้าเพียงแค่อยากอยู่ปรนนิบัติใกล้ชิดองค์ชายด้วยความจงรักภักดีก็เท่านั้น”
เอ่ยจบแล้ว นางก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นอีกครั้งอย่างจงใจเยาะเย้ย
ซ่งเทียนเอ่ยเสียงแข็ง “นางนอบน้อมต่อเจ้าเพียงนี้ เจ้าก็อย่าได้ใจดำนักเลย รับน้ำชาไปซะ”
ฉู่เหลียนหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ข้ารับแล้ว”
นางรับเอาถ้วยน้ำชามาแล้ว ก็วางลงที่โต๊ะอย่างแรง จากนั้น ก็เดินกลับห้องไป
ซ่งเทียนมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงของนางไปอย่างอารมณ์ดี ไม่รู้ทำไมเวลาที่รู้ว่านางหึงหวงเขา เขากลับรู้สึกดีแทนที่จะโกรธนาง
“ข้าก็จะมาชำระแค้น ที่เจ้าทำให้ข้าต้องสูญเสียคู่หมั้นไป !”แม่ทัพฉงหรงเอ่ยอย่างเดือดดาลพอกัน หากไม่ใช่เพราะแผนการชั่วช้าของจ้าวเหยา เขากับกู่ชิงก็คงได้แต่งงานกัน“วันนี้ถ้าหัวเจ้าไม่กระเด็นออกจากบ่า ข้าจะไม่ถอยทัพ ทหารบุก !”องค์ชายเซวียนอี้ตะโกนสั่ง“หัวใครจะกระเด็นออกจากบ่าจะได้รู้กัน โจมตี !”องค์ชายจ้าวเหยาตะโกนสั่งทหารให้บุกเข้าไปฆ่าฟันศัตรูเช่นกันฆ่ามันนนน....ย้ากกกกก.....เคร้ง ! ฉึบ ! ฉับ ! ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็เปิดศึกสู้รบกันข้ามวันข้ามคืน จนกระทั่ง องค์ชายเซวียนอี้ตัดศีรษะองค์ชายจ้าวเหยาได้สำเร็จ จากนั้น ก็สั่งทหารบุกเข้าวังหลวงยึดแคว้นฮั่นให้เป็นเมืองขึ้นของแคว้นฉู่ และแคว้นฉี6 เดือนต่อมาเนื่องด้วยองค์ชายเซวียนอี้รบชนะแคว้นฮั่น สร้างความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่ จนเป็นที่เรื่องลือไปทั่วทั้งห้าแคว้น ดังนั้น ฮ่องเต้แคว้นฉู่จึงสละราชสมบัติให้เขาได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่เมื่อขึ้นครองบัลลังก์มังกรแล้ว เซวียนอี้ก็ตั้งใจศึกษางานราชการ และบริหารบ้านเมืองล่วงเข้ายามห้ายแล้ว แต่เขาก็ยังตรวจฎีกาในห้องทรงงานฮองเฮากู่ชิงเห็นฮองเต้ไม่ทรงเสด็จมาที่ตำหนักนางเสียที นางจ
ณ แคว้นฮั่นในขณะที่องค์ชายจ้าวเหยากำลังเริงสำราญอยู่กับสนมนางกำนัล เสียงฝีเท้าวิ่งอึกกระทึกก็ดังขึ้น พร้อมกับเสียงโลหะกระทบกัน“เฮ้ย ! ใครช่างบังอาจมาก่อความวุ่นวายในตำหนักของข้า !”องค์ชายจ้าวเหยาตวาดขึ้นด้วยความเดือดดาลในจังหวะนั้นเอง หัวหน้าองครักษ์ก็วิ่งหน้าตั้งเข้ามารายงานด้วยความตื่นตระหนกว่า“องค์ชาย แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แคว้นฉี กับแคว้นฉู่บุกมาถึงวังหลวงของแคว้นเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ว่าไงนะ !”องค์ชายจ้าวเหยาลุกขึ้นพรวดพราด“แคว้นฉี กับแคว้นฉู่นำไพร่พลทหารห้าแสนนายประชิดวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้มีรับสั่งให้พระองค์รีบนำทหารออกไปรับศึก”เพล้ง !องค์ชายจ้าวเหยาขว้างจอกสุราลงพื้นด้วยแรงอารมณ์“ช่างบังอาจนัก ! ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าแคว้นฮั่นยิ่งใหญ่เพียงใด”กล่าวจบ เขาก็ก้าวอาจ ๆ มุ่งหน้าไปยังประตู พร้อมกับสั่งให้ทหารทุกกองตามไปทันทีณ กำแพงแคว้นฮั่นองค์ชายเซวียนอี้ในชุดทหารเกราะเหล็กสีดำยืดกายองอาจอยู่บนหลังม้าสีดำทมิฬ ข้าง ๆ เขาคือ แม่ทัพฉงหรงในชุดเกราะเหล็กสีเงิน แม้รูปร่างของเขาจะเล็กกว่าแต่ก็สง่างามไม่แพ้กันเบื้องหลังของพวกเขาทั้งสองเป็นกรงขังขนาดใหญ่ ในนั้นขังองค์หญิงกู่เยี่
"มีทั้งพยาน และหลักฐานเช่นนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมรับอีกเหรอ ได้ในเมื่อเจ้าไม่สารภาพออกมา ข้าก็จะเป็นคนเปิดเผยแผนการชั่วของเจ้าทั้งหมดเอง "จากนั้นเขาก็หันไปทูลฮองเต้ว่า"ทูลฝ่าบาท เมื่อตอนเช้าของวันนี้กระหม่อมได้รับสารลับจากแคว้นฉู่ส่งข่าวมาว่า เซวียนซ่ง พระปิตุลาเป็นไส้ศึกร่วมมือกับแคว้นฮั่น และองค์หญิงกู่เยี่ยทำการปลอมแปลงสารตอบรับการอภิเษกสัมพันธไมตรีส่งมาที่แคว้นฉู่ จนทำให้เกิดเข้าใจผิดคิดว่าแคว้นฉีหักหลังโดยการยกธิดาให้กับแคว้นฮั่น แล้วกระหม่อมก็ถูกความโง่เขลาของตนครอบงำ ตกเป็นเครื่องมือในแผนร้ายครั้งนี้”องค์ชายเซวียนอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องผิดพลาดที่ตนได้กระทำต่อองค์หญิงกู่ชิงอย่างไม่น่าให้อภัย“เพราะความโกรธเพียงชั่ววูบ กระหม่อมถึงกับลงมือชิงตัวเจ้าสาว โดยที่ไม่รู้ว่าองค์หญิงกู่เยี่ยได้วางแผนหลอกล่อให้น้องสาวของตนเองถูกจับไปแทน แล้วองค์หญิงกู่ชิงก็กลายเป็นหมากในกระดานนี้เช่นกัน”เมื่อองค์ชายเซวียนอี้กล่าวถึงตรงนี้ ฮองเฮา และองค์หญิงกู่ชิงต่างก็มองไปที่องค์หญิงกู่เยี่ยด้วยสายตาตื่นตะลึง เกิดเสียงอุทานขึ้นรอบด้าน"จากนั้น พวกเขาก็วางแผนสังหารองค์หญิงกู่ชิงในแคว้น
ในขณะนั้นเอง ขันทีประจำราชสำนักก็ประกาศขึ้นว่า“ฮ่องเต้เสด็จ !”บรรดาข้ารับใช้ในตำหนักต่างหมอบลงถวายความเคารพฮ่องเต้ และฮองเฮาสาวเท้าเข้ามาในเรือนรับลมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด"นี่มันเกิดอะไรขึ้น !"ฮ่องเต้กู่โจตรัสถามด้วยความตื่นตระหนก เมื่อสักครู่ระหว่างที่เขากำลังอ่านฎีกาจู่ ๆ ทหารองครักษ์ก็เข้ามาแจ้งว่าเกิดเหตุร้ายที่ตำหนักองค์หญิงกู่ชิง และเมื่อเขากับฮองเฮามาถึง ก็พบราชบุตรเขยนอนจมกองเลือด โดยมีธิดาองค์เล็กร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ข้าง ๆ "นางวางยาพิษพระสวามีเพคะ"องค์หญิงกู่เยี่ยชิงทูลรายงานก่อนน้องสาวของตน"ไม่เพคะ ลูกไม่ได้ทำ""หม่อมฉันไม่เชื่อว่ากู่ชิงเป็นคนวางยา ต้องมีเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ๆ เพคะฝ่าบาท"ฮองเฮากู่เหนียงรีบออกปากปกป้องลูกสาวของตนเอง เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของกู่ชิง"เสด็จแม่... ท่านอย่าได้ปกป้องน้องหญิงอีกเลย ในเมื่อทั้งตำหนักนี้เป็นของน้องหญิง นางเป็นคนสั่งให้บ่าวไพร่ต้มข้าวให้สามีกินด้วยตนเอง หากไม่ใช่นางวางยาสามีแล้วจะเป็นใครได้"องค์หญิงกู่เยี่ยรีบทูลขัดคนที่ถูกกล่าวหาว่ายาสามีถึงกับหันขวับมองพี่สาวต่างมารดาอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนเอ่ยขึ้นว่
"องค์ชายเพคะ พระชายาเห็นว่าพระองค์บาดเจ็บ ทานอาหารหนักไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงจึงสั่งให้ห้องเครื่องต้มข้าวต้มให้องค์ชายโดยเฉพาะ"องค์ชายเซวียนอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ชำเลืองมองถ้วยข้าวต้ม แม้ท้องจะร้องแต่เขาก็เชิดหน้าขึ้นคล้ายกับไม่สนใจองค์หญิงกู่ชิงเห็นท่าทีของพระสวามีเช่นนั้นก็รู้สึกหมั่นไส้ในความหยิ่งทะนงไม่เข้าเรื่องจึงเอ่ยขึ้นว่า"ดูแล้ว... องค์ชายคงจะไม่หิว เสี่ยวไป๋เอาข้าวต้มออกไปเถอะ"เสี่ยวไป๋ได้ยินพระชายาสั่งดังนั้นก็จำใจเอื้อมมือไปหมายจะยกข้าวต้มไปเก็บ แต่ถูกองค์ชายตะโกนด้วยเสียงอันดังเพื่อห้ามนางไว้ก่อนว่า"ยกมาแล้ว ห้ามเอากลับไปคืน ! แค่ข้าวต้มถ้วยเดียว เจ้าก็จะใจร้ายไม่ให้ข้ากินเชียวหรือ""จะกินก็รีบกิน เดี๋ยวหม่อมฉันจะไปหายามาทาแผลให้"องค์หญิงกู่ชิงสะบัดเสียงอย่างแง่งอน นางกำลังจะลุกขึ้นเดินออกไปแต่ลู่เฉารีบเสนอขึ้นว่า"พระชายาประทับอยู่เป็นเพื่อนองค์ชายเถอะพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมกับเสี่ยวไป๋จักไปนำกล่องยามาให้"เมื่อกล่าวจบ ลู่เฉาก็รีบดึงมือเสี่ยวไป๋ให้ออกมาจากเรือนรับลม เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้านายทั้งสองได้ปรับความเข้าใจกันองค์หญิงกู่ชิงมองสามีตักข้าวต้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
ณ ตำหนักองค์หญิงกู่ชิงเมื่อมาถึงที่ตำหนักก็พบองค์หญิงกู่เยี่ยที่หน้าประตู“น้องหญิง พี่มาหาเจ้า แต่กลับไม่พบเจ้าที่ตำหนัก ข้ารออยู่นานไม่เห็นเจ้ากลับมาเสียที พี่เป็นห่วงนัก”นางรีบเดินเข้าไปหาน้องสาวต่างมารดา แล้วจับมือขึ้นมากอบกุมแสดงทีท่าว่าเป็นห่วง“พี่หญิง ข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ที่ตำหนักมาเพคะ”องค์หญิงกู่ชิงตอบ รู้สึกซาบซึ้งใจ“คงจะเพราะเรื่องเมื่อวานใช่หรือไม่ ทำให้เจ้าไม่สบายใจจนต้องไปปรึกษากับเสด็จแม่”“เพคะ”องค์หญิงกู่ชิงรับคำเสียงเบา“น้องหญิง พี่ผ่านการแต่งงานมาก่อนเจ้า รู้ว่าชีวิตหลังการแต่งงานนั้นไม่ง่ายนัก การทะเลาะกันเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง”“เพคะ”องค์หญิงกู่เยี่ยเห็นสีหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่าย ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก แล้วเอ่ยว่า“เมื่อครู่ ระหว่างที่รอเจ้าในตำหนัก ข้าเห็นใบหน้าของสามีเจ้าบวมช้ำคล้ายกับไปมีเรื่องกับใครมา”“.........”องค์หญิงกู่ชิงได้ยินเช่นนั้น ก็ใจหายวาบ หมายจะก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก แต่กลับถูกพี่สาวต่างมารดาดึงมือไว้“เดี๋ยวสิ น้องหญิง พี่ยังพูดไม่จบเลย”“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทแล้ว”“ไม่เป็นไร พี่แค่จะบอกเจ้าว่า ให้เจ้าใจเย็น ๆ ก่อนค่อยไปพูด