นางแทบไม่มีเรี่ยวแรงผลักเขาออกจากตัว คำด่าทอของนางไปกระตุ้นความดิบเถื่อนในตัวของเขาให้ทวีมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม
"เกลียดอย่างนั้นเหรอ..หึ… มีสิทธิ์อะไรมาด่าข้า ! ปากดีนัก..ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า อำมหิตที่แท้จริงเป็นอย่างไร"
สิ้นคำ ซ่งเทียนก็กระชากร่างที่แทบจะไม่มีแรงเดิน ให้เดินมาที่โต๊ะกลม เขากระชากผ้าปูโต๊ะออก อาหาร สุราที่วางอยู่เต็มโต๊ะก็ร่วงหล่น
เพล้ง !!!
จอกสุรา ถ้วยจาน หล่นกระทืบพื้นแตกกระจาย แต่ซ่งเทียนไม่สน จับเจ้าสาวเหวี่ยงไปที่โต๊ะ แล้วเขาก็เข้าไปบดจูบนางอย่างเร่าร้อน ใช้ปลายลิ้นร้อนกวาดต้อนลิ้นเล็กอย่างรุนแรง
"อะ..อึก"
นางถูกจับขาเรียวข้างหนึ่งขึ้นพลาดบ่า แล้วเขาก็ส่งแรงกระแทกไม่ได้ยั้ง
"ข้าเป็นสามีที่เจ้าเลือกเอง ต้องทนอยู่กับความอำมหิตของข้าให้ได้.."
ซ่งเทียนหมุนวนแท่งมังกรร้อน ใช้นิ้วกดบดขยี้ติ่งเสียวของร่างบางไปด้วย ทำเอานางบิดส่ายสะโพกอย่างทรมานซ่านเสียว เขามองนางด้วยความเหยียดหยาม ปากบอกว่าเกลียด แต่ร่างกายตอบรับสิ่งที่เขาทำไม่หยุด
"งื้ออ อะ..อ้าา..อืออ.."
นางครางออกมาไม่หยุด ยิ่งซ่งเทียนจับตัวนางยืน แล้วยกขาข้างหนึ่งยกขึ้นวางกับขอบโต๊ะ จากนั้นก็กระหน่ำซอยแท่งมังกรร้อนเข้าออกอย่างไม่ลืมหูลืมตา หยดเหงื่อผุดพรายขึ้นตามตัวของซ่งเทียนไหลออกมาไม่หยุด เขาปวดหนึบที่แท่งร้อนอยากจะปลดปล่อยอีกครั้ง แต่เขาก็ขบกรามแน่นข่มเอาไว้เพื่อจะได้ทรมานสตรีที่เขาไม่ได้รักไปนานๆ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังไม่ขาดสายตับ ๆ
"อึก..อื้ออ อ้า~~~"
ฉู่เหลียนส่งเสียงครางออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เมื่อถูกเจ้าบ่าวใช้มือหนาบีบขยำหน้าอกเต็มไม้เต็มมือ ส่วนปากร้อนก็กดจูบดูดดึงจนตัวแดงไปหมด
ซ่งเทียนกระแทกกระทั้นแท่งมังกรร้อนไม่หยุด จนร่างนางสั่นสะท้านไปตามจังหวะการจ้วงแทง
"อะ ๆ ....อึก..อาๆ ...ข้าไม่ไหวแล้ว...งื้อ~~~ "
ฉู่เหลียนจิกปลายเล็บลงบนแผงหน้าอกกำยำเพื่อบรรเทาอาการเสียวซ่านที่เกิดขึ้น
ซ่งเทียนไม่ฟังเสียงยังคงถาโถมเข้าใส่ตัวนางไม่หยุด กดขยี้ติ่งสวย แท่งมังกรร้อนยังขยับไม่หยุด พลางจับขาของนางไว้แน่นไม่ให้ขยับหนี ไม่นานนักเขาก็กระแทกเข้าหนัก ๆ สองสามครั้งก่อนปลดปล่อยน้ำมังกรทะลักออกมา
“หืม”
บุรุษหนุ่มคำรามในลำคออย่างสุขซ่าน
รอให้เรือนหยกนางบีบรัดรีดเอาน้ำของเขาจนหมด จึงอุ้มร่างของเจ้าสาวในคืนนี้ไปต่อที่เตียง
แม้ฉู่เหลียนจะสลบไปแล้วด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่ซ่งเทียนก็ไม่ปล่อยให้นางได้หลับสบาย เขายังคงขยับสะโพกแทงแท่งมังกรร่วมรักกับนางอีกครั้งจนหนำใจ แล้วจึงยอมถอนแท่งมังกรร้อนของตนออก
ซ่งเทียนลุกขึ้นมองดูสิ่งที่ตนทำอย่างไม่รู้สึกอะไร ร่างบอบบางเต็มไปด้วยรอยแดงที่เขากระทำย่ำยี บนผ้าปูเตียงเต็มไปด้วยน้ำสีขาวขุ่นปนสีแดงของเลือด
เขามองนางอย่างสมเพช ก่อนลุกไปห้องนอนอีกห้องหนึ่งที่ทะลุถึงห้องนี้ได้
วันต่อมา
‘ลู่ซิ่ว’ สาวใช้ข้างกายที่ตามมาจากจวนแม่ทัพยกอาหารเข้ามาให้คุณหนูของตนถึงในเรือนหอ
“พระชายาทานข้าวหน่อยนะเพคะ”
สาวใช้วางถาดอาหาร แล้วประคองเจ้านายมาที่โต๊ะ
“เรียกข้าคุณหนูเหมือนเดิมเถอะ อีกอย่างตอนนี้ข้าไม่ได้อยากเป็นพระชายาขององค์ชายใจอำมหิตผู้นี้แล้ว”
ฉู่เหลียนเอ่ยเสียงแหบแห้งเพราะอ่อนเพลียจากการถูกจากบ่าวเคี่ยวกรำเกือบทั้งคืน
“โธ่.. คุณหนู ข้าไม่รู้จะช่วยท่านอย่างไรดี”
ลู่ซิ่วมองเจ้านายของตนด้วยความสงสาร เมื่อเช้าตอนที่นางเข้ามาเห็นสภาพคุณหนูแล้วแทบน้ำตาร่วง เช็ดตัวทำความสะอาดให้คุณหนูไปก็พบแต่รอยซ้ำทั่วทั้งตัว ไม่คิดว่าองค์ชายทรราชผู้นั้นจะไม่เบามือกับสตรีบอบอบบางอย่างคุณหนูของนางเลย
“เราควรแจ้งข่าวให้ท่านแม่ทราบ ว่าองค์ชายผู้นี้ทรมานคุณหนูเช่นไร”
ฉู่เหลียนรีบส่ายหน้า “ไม่ได้นะ ตอนนี้ท่านพ่อได้เคลื่อนพลออกจากเมืองหลวงไปป้องกันชายแดนใต้แล้ว หากเราส่งข่าวเรื่องนี้ให้ท่านพ่อทราบ เกรงว่าจะทำให้ท่านพ่อไม่สบายใจเปล่าๆ หากต้องมาคอยกังวลเรื่องข้า การสู้รบคงไม่ชนะแน่”
“แล้วคุณหนูจะทนอยู่อย่างนี้หรือเจ้าคะ”
“ข้าจะอดทนเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น รอให้ท่านพ่อชนะศึกกลับมา ข้าจะส่งหนังสือขอหย่ากับองค์ชายซ่งเทียนไปที่วังหลวงทันที”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนระโหยแต่ก็แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว
“เช่นนั้น ท่านควรจะถนอมตนเอง รอท่านแม่ทัพกลับมา ทานข้าวสักคำเถิด”
ฉู่เหลียนยอมฝืนกินข้าวต้มที่สาวใช้เอามาให้
น้ำต้มพร่องลงไปแค่เพียงครึ่งชาม นางก็สั่งให้สาวใช้เอาออกไป
แกร่ก!
เสียงประตูปิดลง
“ฮือๆ ฮึกก..ฮือๆ”
หลายวันต่อมา“องค์หญิง อาหารเช้ามาแล้วเพคะ”หมี่ชิงยกสำหรับอาหารมาเข้ามา พร้อมกับใบหน้าขะมุกขะมอมไป่อิงเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร เห็นมือของนางกำนัลข้างกายเต็มไปด้วยรอยแดงพุพองคล้ายถูกของร้อน ก็อดเอ่ยปากด้วยความสงสารจับใจมิได้ว่า“หมี่ชิง หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว วันนี้เจ้าก็พักที่เรือนเถิด ข้าจะทำงานแทนเจ้าเอง”ตั้งแต่วันที่องค์ชายรัชทายาทออกจากตำหนักไปรบที่ชายแดนใต้ บ่าวไพร่ทุกคนในจวนก็ทำราวกับว่าพวกนางไม่มีตัวตน ไม่มีข้ารับใช้เหมือนอย่างเคย ดังนั้น หมี่ชิงจึงต้องทำงานบ้านงานเรือนทุกอย่างคนเดียว“ไม่เป็นไร หม่อมฉันยังทำไหวเพคะ”หมี่ชิงรีบหดมือกลับ ก้มหน้าลงซ่อนน้ำตาไว้ ทุกอย่างเป็นอย่างที่นางคิดไว้ไม่มีผิด ทันทีที่องค์รัชทายาทไม่อยู่ที่ตำหนัก บ่าวไพร่ของแคว้นโจวต่างก็สุมหัวกันกลั่นแกล้งนางกับองค์หญิง อีกทั้ง ยังกล้าด่านางตรง ๆ ว่านางทาสเชลยศึกทุกครั้งที่นางเข้าไปที่โรงครัวเพื่อปรุงอาหารให้องค์หญิง แม่ครัวก็มักจะหยิบเอาเศษอาหารเหลือ ๆ มาโยนให้ราวกับว่าพวกตนเป็นพวกขอทาน นางอดไม่ไหวจึงลงมือตบตีกับแม่ครัวเหล่านั้น“หมี่ชิง นั่นแก้มเจ้าไปโดนอะไรมา”ไป่อิงแตะปลายนิ้วลงไปที่รอยแดงบนแก้มของน
ใกล้ล่วงเวลาเข้าสู่ยามห้าย ยามนี้ทั่วทั้งตำหนักตงกงเงียบสงัด และปกคลุมด้วยความมืด เป็นช่วงเวลาที่ทุกคนล้วนอยู่ในห้องของตน แต่ซีเฉินกลับนอนไม่หลับ เขาออกมายืนรับลมอยู่ที่ระเบียงทางเดิน หันหน้าไปยังเรือนรับรองดวงตาคมกริบของเขาจ้องไปที่ประตูห้องนั้น คล้ายกำลังเพ่งมองให้ทะลุเพื่อให้เห็นใครคนนั้นที่อยู่ภายในเขาอยากรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ หลายวันที่ไม่ได้เจอหน้ากัน นางจะรู้สึกโหยหาเขาบ้างหรือไม่ จะรู้สึกทุรนทุรายเหมือนกับที่เขาเป็นอยู่บ้างไหมหนอความจริงแล้วเพียงแค่เขาสั่งคำเดียว นางก็ย่อมต้องมาปรนนิบัติเขาถึงเตียง แต่เขาไม่อยากให้นางรู้สึกว่าเป็นนางบำเรอ ไม่อยากฝืนใจนาง จึงต้องหักห้ามใจทรมานตนเองอยู่เช่นนี้เขาจะพิสูจน์ให้นางเห็นว่า เขารักและให้เกียรตินางด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยจะแต่งตั้งให้นางเป็นพระชายาอย่างถูกต้องตามประเพณีให้ได้ และเมื่อถึงวันนั้น เขาก็หวังว่านางจะรักและมอบกายใจให้เขาอย่างเต็มใจจริง ๆพรุ่งนี้เขาจักต้องนำทัพไปปราบกบฏที่ทางใต้แล้ว กว่าจะจบสิ้นสงครามคงจะร่วมเดือนจึงจะได้พบกัน เขาอยากเอ่ยคำร่ำลากับนางเหลือเกินในจังหวะที่เขาหันกายหมายจะมุ่งหน้าไปที่เรือนรับรอง ก็พบไป่อิ
ณ ท้องพระโรงฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการเรียกขุนนางให้เข้าประชุมด่วน เนื่องจาก ตอนเช้าตรู่มีม้าเร็วส่งสารมาจากทางใต้ ระบุว่า - แคว้นอู่ก่อกบฏ -เมื่อขุนนางฝ่ายต่าง ๆ มากันจวนจะครบแล้ว แต่ผู้ที่สำคัญที่สุดในการประชุมครั้งนี้กลับยังไม่ปรากฏตัว ฮ่องเต้จึงตรัสถามขึ้นว่า“แม่ทัพใหญ่ห่าวเฉินเหตุใดยังไม่มา”ทั่วทั้งท้องพระโรงเงียบกริบ เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพใหญ่เข้าประชุมสาย เพราะทุกครั้งที่มีการเข้าประชุม เขามักจะมาก่อนใครเสมอและในช่วงเวลานั้นเอง รองแม่ทัพจิ้งฉางก็ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง น้อมประสานมือรายงานขึ้นว่า“ทูลฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่ห่าวเฉินล้มป่วยกะทันหัน ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้พ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมา พร้อมกับยกมือขึ้นนวดคลึงที่ขมับ กองทัพของแคว้นโจวเพิ่งจะไปปราบปรามแคว้นซีทูได้สำเร็จ ทางใต้ก็มีข่าวว่าแคว้นอู่เริ่มกระด้างกระเดื่อง แล้วไยแม่ทัพใหญ่อย่างห่าวเฉินต้องมาป่วยเอาเวลานี้“ข้าได้รับสารจากทางใต้รายงานมาว่า แคว้นอู่ยกทัพบุกเข้ารุกล้ำในเขตของเราแล้ว แต่ตอนนี้ห่าวเฉินไม่สบาย ไม่สามารถยกทัพไปปราบกบฏได้ พวกท่านเห็นควรจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร”พระองค์ทรงโยนปัญหาไปที่
ณ จวนแม่ทัพใหญ่ห่าวเฉินกระดกเหล้าเข้าปาก จอกแล้วจอกเล่าราวกับว่าสิ่งนั้นเป็นน้ำเปล่า จิ้งฉางเห็นดังนั้นก็อดเป็นห่วงมิได้จึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า“ท่านแม่ทัพ ท่านดื่มไปแบบนี้ ร่างกายของท่านจะย่ำแย่เอาได้”“แย่แล้วอย่างไร มีใครเห็นหัวข้าบ้าง !”ตวาดเสร็จเขาก็วางจอกสุราลง แล้วหันไปคว้าเอากาสุราขึ้นกรอกปาก“ท่านแม่ทัพ สุรามิได้ทำให้ปัญหาในใจของท่านหมดไป ท่านทุกข์ใจเรื่องใดโปรดบอกข้าเถิด เผื่อข้าจะช่วยแบ่งเบาความทุกข์ท่านได้บ้าง”“ความทุกข์ใจเหรอ... ปัญหาเหรอ.... ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสวรรค์จึงลำเอียงเช่นนี้ เป็นข้าที่เป็นโอรสองค์โตใช่หรือไม่”ห่าวเฉินกระชากคอเสื้อรองแม่ทัพข้างกายเข้ามาถามด้วยเสียงอ้อแอ้“ใช่ขอรับ”จิ้งฉางตอบ ข้อนี้คนทั่วทั้งแคว้นมีใครไม่รู้บ้าง“โอรสองค์โตแล้วอย่างไร แต่ตำแหน่งรัชทายาทกลับไม่ใช่ของข้า !”ห่าวเฉินตวาดออกมาอย่างสุดเสียง แล้วปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่าย เพื่อฉวยเอากาสุราขึ้นกรอกปากอีกหน“........”รองแม่ทัพได้แต่เฝ้ามองอย่างอับจนปัญญา ปัญหานี้เรื้อรังมาเนิ่นนาน ไม่ว่าเขากับท่านแม่ทัพจะพยายามลิดรอนอำนาจทางการเมืองของซีเฉินมากแค่ไหน แต่ตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทก็ยังไม่เ
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ในระยะเอื้อมถึงศีรษะของเขาแล้ว ก็หยิบขันตักน้ำสะอาดจากอีกถัง มือหนึ่งช้อนประคองเข้าใต้ศีรษะ อีกมือกำลังจะเทน้ำ แต่กลับถูกฝ่ามือแกร่งจับไว้หมับ !ซีเฉินรู้สึกถึงมือเรียวนุ่มของสตรีสอดเข้ามาที่ท้ายทอย ก็รู้สึกตกใจ เพราะห้องบรรทมของเขาไม่เคยอนุญาตให้สตรีอย่างกรายเข้ามา จึงรีบลืมตาขึ้น จับมือข้างนั้นเอาไว้ แล้วพลิกหันหลังกลับไปอย่างว่องไว“โอ๊ย ! เจ็บเพคะ”ไป่อิงอุทานออกมา ทั้งตกใจ ทั้งเจ็บที่ถูกบิดข้อมือเมื่อเห็นว่าเป็นสตรีที่เขารัก เขาจึงรีบคลายมือออก“ข้าขอโทษ ข้าไม่คิดว่าเป็นเจ้า เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”“คือ... หม่อมฉันนำน้ำแกงกระดูกแพะมาถวายเพคะ” นางพยายามใช้คำราชาศัพท์กับเขา ตามที่หัวหน้านางกำนัลบอก “แต่ได้ยินพระองค์รับสั่งให้มาสระพระเกศาให้ก็เลย...”“ไป่อิง... หากอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เจ้าไม่ต้องใช้คำประดิดประดอยเหล่านั้นกับข้าหรอก พูดเหมือนอย่างที่เจ้าเคยพูดเถิด”ซีเฉินยิ้มให้นางอย่างเอ็นดู เขาได้สั่งให้หลิวเซียงคอยสอนกฎระเบียบของวังหลวงแคว้นโจวให้นาง รวมถึงกิริยามารยาทต่าง ๆ เพื่อเตรียมตัวเป็นพระชายาของเขาในอนาคตข้างหน้า“เพคะ...”ไป่อิงตอบรับเสียงเบา ที่แคว
หลายวันต่อมาหลังจากที่ท่านหญิงจิ้งหว่านบุกเข้ามาทำร้ายองค์ไป่อิงถึงในตำหนักตงกงเมื่อวาน ทำให้ซีเฉินตระหนักว่า บ่าวรับใช้ในตำหนักล้วนเกรงกลัวอำนาจของท่านหญิงจิ้งหว่าน ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปช่วยไป่อิงสักคนเดียวอีกทั้ง ในแต่ละวันเขายังต้องไปที่ห้องทรงงาน เพื่อช่วยฮ่องเต้ตรวจฎีกา และถวายความคิดเห็น จึงไม่อาจอยู่ดูแลไป่อิงได้ตลอดเวลาดังนั้น เขาจึงสั่งให้จิ่วลู่ลูกน้องคนสนิท ซึ่งเป็นหัวหน้าทหารอารักขาประจำตัวเขา ช่วยไปหาเชลยศึกจากแคว้นซีทูที่เคยเป็นข้ารับใช้ในวังหลวงมาก่อน เพื่อมาเป็นสาวใช้ประจำตัวขององค์หญิงไป่อิง“หมี่ชิง !”ไป่อิงสาวเท้าเข้ามาหาสตรีที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าของหมี่ชิงเต็มไปด้วยคราบฝุ่น เสื้อผ้าเก่า และขาดหลุดลุ่ย ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแส้เฆี่ยนตี“องค์หญิง”หมี่ชิงปล่อยโหออกมาจนสุดจะกลั้น ไป่อิงรีบเข้าไปสวมกอดนางอย่างไม่รังเกียจเรือนร่างที่เต็มไปด้วยคราบสกปรกนั้นหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ นางกำนัลผู้หนึ่งก็นำทางไป่อิงมาที่ห้องโถง คาดไม่ถึงว่าจะได้พบหมี่ชิง ซึ่งเคยเป็นนางกำนัลประจำตัวของนางซีเฉิน สบตากับจิ่วลู่แล้วพยักหน้าให้ ฝ่ายนั้นประสานมือ แล้วโค้งศีรษ