ความรู้สึกของเหม่ยหลินพังทลายลงในพริบตาเมื่อได้ยินคำสารภาพของขันทีจาง และเห็นผงสีดำในมือของหลี่เฟยหาน โลกทั้งใบราวกับหมุนคว้าง ภาพความฝันที่เธอสร้างขึ้นเพื่อครอบครัว กำลังจะพังทลายลงเพราะการทรยศหักหลังครั้งนี้
"ไม่จริง... เจ้าโกหก!" เหม่ยหลินตะโกน ดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด "หลี่เฟยหาน! ลูกบอกแม่มา! ลูกทำอะไรลงไป!?" หลี่เฟยหานตัวสั่นงันงก ใบหน้าเล็กๆ ของเขาซีดเผือด น้ำตาไหลพราก "ท่านแม่... ลูก... ลูกถูกบังคับขอรับ! ขันทีจาง... เขา... เขายื่นเงินให้ลูก... บอกว่าจะให้ลูกกับพี่ๆ สบาย... แล้ว... แล้วถ้าลูกไม่ทำ... เขาจะฆ่าท่านแม่... ฆ่าพี่ใหญ่... ฆ่าท่านชิวลี่ฮวา..." เสียงของเขาขาดหายไป พร้อมกับร่างที่ทรุดลงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น ขันทีจางหัวเราะอย่างชั่วร้าย "ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างเป็นภาพที่น่ารันทดใจนัก! เจ้าแม่เจียงผู้ยิ่งใหญ่ กำลังจะถูกลูกชายของตัวเองฆ่า!" เขาก้าวเข้ามาใกล้ ยกผงสีดำในมือของหลี่เฟยหานขึ้นดู "ดูสิ! ผงพิษ 'ฝุ่นมรณะ' ชนิดรุนแรงที่สุด! แม้แต่เซียนก็ยากจะรอด! องค์จักรพรรดิจะได้สวรรคตอย่างสงบในวันนี้ และเจ้า... จะต้องเป็นแพะรับบาป! ฮ่าฮ่าฮ่า!" "เจ้ามันปีศาจ!" เหม่ยหลินกัดฟันแน่น ความเจ็บปวดจากคำสารภาพของลูกชาย และความโกรธแค้นต่อขันทีจาง ทำให้เลือดในกายเธอเดือดพล่าน แต่เธอก็ยังคงพยายามรวบรวมสติ เธอรู้ว่าเธอต้องคิดให้เร็วที่สุด เธอต้องช่วยองค์จักรพรรดิ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังขึ้นจากทางเข้าห้องครัว หลี่เฟยหลง และ ชิวลี่ฮวา ที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายก็รีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาของหลี่เฟยหลงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจและโกรธแค้น "ท่านแม่! หลี่เฟยหาน!" หลี่เฟยหลงตะโกน ก่อนจะพุ่งเข้าหาขันทีจางด้วยความรวดเร็ว "บังอาจ!" ขันทีจางตวาด เขามีฝีมือด้านการต่อสู้ไม่น้อย และมักจะพกมีดสั้นติดตัวเสมอ เขาชักมีดออกมาปัดป้องการโจมตีของหลี่เฟยหลงอย่างรวดเร็ว ชิวลี่ฮวารีบเข้าไปประคองหลี่เฟยหานที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด "หลี่เฟยหาน! เกิดอะไรขึ้น!?" เหม่ยหลินมองการต่อสู้ระหว่างหลี่เฟยหลงกับขันทีจาง ใบหน้าของขันทีจางเต็มไปด้วยความมั่นใจ ในขณะที่หลี่เฟยหลงนั้น แม้จะได้รับการฝึกฝนมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นจะต่อกรกับขันทีจางได้ง่ายๆ หากการต่อสู้ยืดเยื้อ หลี่เฟยหลงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน "หยุดเดี๋ยวนี้!" เหม่ยหลินตะโกนสุดเสียง ทำให้การต่อสู้หยุดชะงักลงชั่วขณะ ขันทีจางมองเหม่ยหลินด้วยสายตาเย้ยหยัน "โอ้โห! จะช่วยลูกชายของเจ้าอย่างนั้นรึ! แต่สายไปแล้ว! ซุปพิษนี่ใกล้จะเสร็จแล้ว! และองค์จักรพรรดิก็จะเสวยมันในไม่ช้า!" เหม่ยหลินมองไปที่หม้อซุปแห่งชีวิตอมตะที่กำลังเดือดปุดๆ อยู่บนเตา เธอมองผงสีดำในมือของหลี่เฟยหาน แล้วความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในสมองของเธอ "ขันทีจาง!" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและแววตาที่คมกริบ "ข้าจะยอมสารภาพความผิดทั้งหมด! และจะบอกสูตรซุปแห่งชีวิตอมตะให้เจ้า! หากเจ้าปล่อยครอบครัวของข้าไป!" ขันทีจางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ "โอ้! เจ้าจะยอมสารภาพอย่างนั้นรึ! ช่างง่ายดายนัก! แต่เจ้าคิดว่าจะรอดไปได้รึ! เมื่อความผิดทั้งหมดตกอยู่ที่เจ้า! ครอบครัวของเจ้าก็ไม่มีค่าแล้ว!" "ถ้าข้าตาย! เจ้าก็จะไม่ได้สูตรอาหารไป!" เหม่ยหลินตอบอย่างท้าทาย "สูตรอาหารของข้าถูกเก็บไว้ในใจของข้า! และข้าจะไม่ยอมให้ใครได้ไปเด็ดขาด!" ขันทีจางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ความโลภเข้าครอบงำจิตใจของเขามากกว่าความแค้น เขาต้องการสูตรซุปแห่งชีวิตอมตะเพื่อตัวเอง เพื่ออำนาจที่แท้จริงในวังหลวง "ดี! งั้นข้าจะให้โอกาสเจ้า! จงบอกสูตรซุปแห่งชีวิตอมตะมาเดี๋ยวนี้! แล้วข้าจะพิจารณาปล่อยครอบครัวของเจ้าไป!" ขันทีจางกล่าว แผนซ้อนแผน: การชิงไหวชิงพริบ เหม่ยหลินยิ้มบางๆ เธอรู้ว่าขันทีจางกำลังติดกับดักที่เธอวางไว้ "ก่อนที่ข้าจะบอกสูตรให้เจ้า" เหม่ยหลินกล่าว "เจ้าต้องให้ข้าปรุงซุปถวายองค์จักรพรรดิด้วยมือของข้าเอง! เพื่อให้แน่ใจว่าองค์จักรพรรดิจะได้รับซุปที่อร่อยที่สุดก่อนที่จะ..." เธอหยุดคำพูดไว้ และมองไปที่ผงพิษในมือของหลี่เฟยหาน "ก่อนที่อะไรจะเกิดขึ้นกับพระองค์" ขันทีจางหัวเราะเสียงดัง "ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าคิดจะเล่นตลกกับข้าอย่างนั้นรึ! เจ้าจะเอาซุปพิษไปให้องค์จักรพรรดิเสวยเองอย่างนั้นรึ!?" "ข้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า!" เหม่ยหลินตอบอย่างหนักแน่น "หากซุปที่ข้าปรุงมีพิษ...ข้าจะยอมรับโทษทัณฑ์ทุกประการ! และถ้าข้าตาย...เจ้าก็ไม่มีวันได้สูตรอาหารไป!" ขันทีจางพิจารณาข้อเสนอของเหม่ยหลิน เขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้เหม่ยหลินติดกับดักอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะไม่ว่าอย่างไร ซุปก็จะต้องมีพิษอยู่แล้ว และเหม่ยหลินก็จะถูกจับได้คาหนังคาเขา เขาจะได้สูตรอาหาร และจะกำจัดเหม่ยหลินได้อย่างง่ายดาย "ดี! ข้ายอมรับข้อเสนอของเจ้า!" ขันทีจางกล่าวอย่างลำพองใจ "แต่หากเจ้าคิดจะเล่นตุกติก...เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นหน้าลูกๆ ของเจ้าอีกเลย!" ขันทีจางสั่งให้ลูกน้องของเขาจับตัวหลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา และหลี่เฟยหยางไว้เป็นตัวประกัน เหม่ยหลินมองลูกๆ ของเธอด้วยความกังวล แต่เธอก็ส่งสายตาบอกให้พวกเขามั่นใจในตัวเธอ เหม่ยหลินเดินไปที่เตาปรุงซุป เธอหยิบวัตถุดิบบางอย่างขึ้นมา เธอมองไปที่ผงพิษในมือของหลี่เฟยหาน แล้วเธอก็หันไปมองขันทีจางที่กำลังจับจ้องเธออย่างไม่คลาดสายตา "ก่อนอื่น...ข้าต้องเพิ่มส่วนผสมสำคัญลงไปก่อนเจ้าค่ะ!" เหม่ยหลินกล่าว เธอหยิบ "เมล็ดมังกรราตรี" ซึ่งเป็นสมุนไพรหายากที่เธอเก็บไว้เป็นความลับ และเคยศึกษาจากตำราโบราณว่ามีสรรพคุณในการ ล้างพิษ บางชนิดได้ เธอบดเมล็ดมังกรราตรีอย่างรวดเร็ว และโรยลงไปในหม้อซุปอย่างแนบเนียน โดยที่ขันทีจางไม่ทันสังเกตเห็น จากนั้นเธอก็ใช้ตะหลิวคนซุปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผงเมล็ดมังกรราตรีละลายหายไปในซุปอย่างสมบูรณ์ "เอาล่ะ...ตอนนี้ก็ถึงเวลาเพิ่ม 'ผงวิเศษ' ที่ลูกชายของข้าเตรียมไว้แล้วสินะเจ้าคะ" เหม่ยหลินกล่าว พลางหันไปมองหลี่เฟยหาน หลี่เฟยหานสั่นสะท้าน เขายื่นผงพิษในมือให้เหม่ยหลินอย่างลังเล เหม่ยหลินรับผงพิษมา เธอแกล้งทำเป็นโรยผงพิษลงในหม้อซุปอย่างช้าๆ แต่ความจริงแล้ว เธอแอบซ่อนผงพิษไว้ในอุ้งมือของเธอ และแทนที่ด้วยผงสมุนไพรบำรุงชนิดอื่นที่เธอเตรียมไว้ก่อนหน้านี้อย่างแนบเนียน เธอใช้ความรวดเร็วและไหวพริบทั้งหมดที่เธอมี เพื่อให้การกระทำของเธอเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด "เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะขันทีจาง" เหม่ยหลินกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ขันทีจางหัวเราะอย่างลำพองใจ "ฮ่าฮ่าฮ่า! ดีมาก! เจ้าทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม! ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เจ้าจะต้องชดใช้ความผิดของเจ้าแล้ว!" เปิดโปงความจริงและบทสรุปของขันทีจาง ซุปแห่งชีวิตอมตะที่ถูก "ปรุงพิษ" โดยเหม่ยหลิน ถูกนำไปถวายองค์จักรพรรดิ ขันทีจางยืนอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสะใจ เขามั่นใจว่าองค์จักรพรรดิจะต้องสวรรคตในไม่ช้า และเหม่ยหลินจะต้องถูกประหารชีวิต องค์จักรพรรดิเสวยซุปแห่งชีวิตอมตะด้วยความเอร็ดอร่อย พระพักตร์ของพระองค์ดูสดชื่นและมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด "อร่อย! ซุปของท่านแม่เจียงช่างมีรสชาติล้ำลึกและหอมหวานยิ่งนัก!" องค์จักรพรรดิเอ่ยชมด้วยความจริงใจ ขันทีจางถึงกับตกใจ เขามององค์จักรพรรดิด้วยความไม่เชื่อสายตา องค์จักรพรรดิไม่ได้แสดงอาการผิดปกติใดๆ เลย! ซุปนั้นไม่มีพิษ! "เป็นไปได้อย่างไร!" ขันทีจางอุทานออกมาด้วยความตกใจ "เป็นไปได้สิเจ้าค่ะขันทีจาง" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด "เพราะซุปที่ข้าปรุงนั้น ไม่มีพิษแม้แต่น้อย!" ขันทีจางถึงกับตัวแข็งทื่อ เขาหันไปมองเหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธและความอับอาย "เจ้า...เจ้าโกหก! เจ้าเล่นตลกกับข้าอย่างนั้นรึ!" ขันทีจางตะโกน "ข้าไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ" เหม่ยหลินตอบ "ข้าเพียงแค่แสดงให้เจ้าเห็นว่า ความชั่วร้ายนั้นไม่มีวันเอาชนะความดีได้!" ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้น พร้อมกับร่างของ ท่านราชครูจ้าว และ ทหารองครักษ์ ที่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง "ขันทีจาง! เจ้าสารภาพความผิดของเจ้าเดี๋ยวนี้!" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน "เจ้าบังอาจวางแผนปลงพระชนม์องค์จักรพรรดิ! เจ้าจะต้องรับโทษทัณฑ์สถานหนัก!" ขันทีจางถึงกับหน้าถอดสี เขาพยายามจะวิ่งหนี แต่ก็ถูกทหารองครักษ์จับตัวไว้ได้ในพริบตา "ไม่! ไม่จริง! ข้าไม่ได้ทำ!" ขันทีจางตะโกนอย่างบ้าคลั่ง "เจ้ายังจะปฏิเสธอีกอย่างนั้นรึ!" ท่านราชครูจ้าวกล่าว "ข้าได้ยินแผนการชั่วร้ายของเจ้าทั้งหมดแล้ว! และเจ้าหลี่เฟยหานก็เป็นพยาน! รวมถึงผงพิษในมือของเจ้าก็คือหลักฐานมัดตัวเจ้า!" ขันทีจางถึงกับเงียบไป เขาได้แต่กัดฟันแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความอับอายที่สุด องค์จักรพรรดิทรงฟังเรื่องราวทั้งหมดด้วยความตกใจและไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พระองค์ไม่คิดเลยว่าขันทีคนสนิทที่พระองค์ทรงไว้วางใจจะกล้าทรยศพระองค์ถึงเพียงนี้ "จับตัวขันทีจางไป! และสอบสวนให้ละเอียด!" องค์จักรพรรดิมีราชโองการด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและผิดหวัง "หากพบว่าเขากระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษประหารชีวิต!" ทหารองครักษ์ลากตัวขันทีจางออกไปจากท้องพระโรง เสียงของเขาที่กรีดร้องด้วยความโกรธแค้นและเจ็บปวดดังไปทั่ววังหลวง องค์จักรพรรดิทรงหันมามองเหม่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและชื่นชม พระองค์ทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์ และเดินเข้ามาหาเหม่ยหลิน "ท่านแม่เจียง" องค์จักรพรรดิกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น "ท่านไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตข้าไว้เท่านั้น แต่ท่านยังได้เปิดโปงความชั่วร้ายในราชสำนัก และได้สอนบทเรียนอันล้ำค่าให้กับข้าด้วย" เหม่ยหลินก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม "เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะฝ่าบาท" "ข้าจะแต่งตั้งท่านเป็น "เชฟหลวงแห่งแผ่นดิน"!" องค์จักรพรรดิมีราชโองการ "และจะพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ให้แก่ท่านและครอบครัว เพื่อเป็นการตอบแทนความดีความชอบของท่าน!" เสียงเฮลั่นและเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วท้องพระโรง เหม่ยหลินมองลูกๆ ของเธอที่กำลังยิ้มกว้างด้วยความสุข หลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างโผเข้ากอดเหม่ยหลินด้วยความดีใจหลายเดือนหลังจากการเอาชนะภัยแล้งและความร่วมมือกับเผ่าหินทมิฬ ความสงบสุขก็กลับมาสู่แคว้นอีกครั้ง เหม่ยหลินยังคงทำหน้าที่เชฟหลวงและครูสอนทำอาหารอย่างไม่ย่อท้อ แต่ในใจของเธอ เธอรู้ว่าความสงบสุขนี้เป็นเพียงช่วงเวลาที่ยืมมาจากโชคชะตาเท่านั้น พลังงานลึกลับ ที่คุณหมอชลธีกล่าวถึง เริ่มแสดงอาการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆพลังงานที่ปั่นป่วนและอาการผิดปกติของธรรมชาติในคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหม่ยหลินกำลังนั่งสมาธิอยู่ในสวนหลวงเพื่อฝึกจิตให้สงบตามที่คุณหมอชลธีแนะนำ ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังงานประหลาดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย คลื่นพลังงานนั้นทำให้เธอรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และได้ยินเสียงกระซิบที่เธอไม่เข้าใจ ความรู้สึกนี้คล้ายกับความรู้สึกในวันที่เธอเดินทางข้ามมิติมายังโลกนี้!เธอรีบไปยังที่พักของคุณหมอชลธีทันที และพบว่าเขากำลังยืนอยู่หน้าต่างด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด"คุณหมอชลธี! คุณรู้สึกไหมคะ!?" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก"ครับ...ผมรู้สึก" คุณหมอชลธีตอบ "มันไม่ใช่แค่ในร่างกายเราแล้วนะครับคุณเหม่ยหลิน...แต่ผมรู้สึกว่ามันกำลังปั่นป่วน มิติ นี้อยู่"อาการผิดปกติเริ่มปรากฏขึ้นทั่วแคว้น สัตว์เลี้ยง
การเผชิญหน้าระหว่างสองอารยธรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้ถูกตัดสินด้วยเงื่อนไขที่แปลกประหลาดที่สุด นั่นคือ "อาหาร" เหม่ยหลินไม่รู้สึกหวาดหวั่นเลยแม้แต่น้อย เธอมองไปยังไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ส่วนหัวหน้าหินทมิฬและพรรคพวกของเขาก็จ้องมองเธอด้วยความสงสัยระคนดูถูก"ท่านหัวหน้าหินทมิฬ" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบ "ก่อนที่ข้าจะเริ่มทำอาหาร ข้าอยากจะขอให้ท่านแสดงน้ำใจแก่พวกข้าเสียก่อน โปรดนำน้ำมาให้พวกข้าสักเล็กน้อยเพื่อใช้ในการปรุงอาหาร และถ้าท่านอนุญาต...ข้าอยากจะขอให้พวกท่านช่วยนำทางพวกเราไปหาวัตถุดิบบางอย่างในพื้นที่ของท่านเพคะ"หัวหน้าหินทมิฬหัวเราะในลำคอ "เจ้ากล้าขอของจากข้าอย่างนั้นรึ! ก็ได้! แต่ถ้าเจ้าปรุงอาหารให้ข้าไม่พอใจ...เจ้าจะต้องถูกโยนลงไปในทะเลทรายที่ร้อนระอุจนกลายเป็นอาหารของสัตว์ร้าย!"เขาสั่งลูกน้องให้นำน้ำมาให้เหม่ยหลินเพียงน้อยนิด และให้ชายหนุ่มคนหนึ่งนำทางเธอไปหาวัตถุดิบ เหม่ยหลินรับน้ำมาด้วยรอยยิ้ม แล้วเดินนำไป๋เฟิงและคุณหมอชลธีออกไปพร้อมกับผู้ช่วยจากเผ่าหินทมิฬการล่าวัตถุดิบในแดนทุรกันดารการเดินทางไปหาวัตถุดิบในดินแดนของเผ่าหินทมิ
บรรยากาศระหว่างคนทั้งสามตึงเครียดราวกับสายธนูที่ถูกน้าวสุดแรง ไป๋เฟิงมองเหม่ยหลินและคุณหมอชลธีสลับไปมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เหม่ยหลินรู้สึกเหมือนถูกบีบรัดด้วยความลับที่ปกปิดมานานหลายปี เธอรู้ว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในครั้งนี้ได้อีกต่อไป"ไป๋เฟิง" เหม่ยหลินเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเธอสั่นเครือแต่แฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว "ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านต้องให้สัญญากับข้าว่า ท่านจะไม่ตัดสินข้า และจะเชื่อในสิ่งที่ข้าพูด"ไป๋เฟิงพยักหน้าอย่างช้าๆ "ข้าให้สัญญาขอรับ"เหม่ยหลินจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เธอเป็นเชฟในโรงพยาบาลในโลกที่เธอจากมา เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่ทำให้เธอหลุดข้ามมิติมายังโลกนี้ การได้พบกับครอบครัวของเจียงเหวิน และการใช้ความรู้จากโลกเดิมเพื่อเอาชีวิตรอดและสร้างชีวิตใหม่ เธอไม่ได้ละเว้นแม้แต่เรื่องราวที่เธอเคยบอกไปแล้วอย่างเรื่องการทำอาหารจากวัตถุดิบประหลาด หรือเรื่องราวของโลกที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้าไปไกลกว่าโลกนี้มากไป๋เฟิงฟังอย่างเงียบสงบ สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความสงสัยเป็นความเข้าใจและตกตะลึง ในขณะที่คุณหมอชลธีก็เสริมข้อมูลบางอย่างที่เหม่ยห
หลายปีผ่านไปนับตั้งแต่เหตุการณ์โจรสลัดหมาป่าทมิฬ ทุกมุมของแคว้นได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาอย่างเต็มที่ภายใต้การนำอันชาญฉลาดของเหม่ยหลินและองค์จักรพรรดิ ตระกูลหลี่ได้กลายเป็นตระกูลที่มีเกียรติยศสูงสุดในแผ่นดิน หลี่เฟยหลงก้าวขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้แข็งแกร่งและซื่อสัตย์ ชิวลี่ฮวาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพืชพรรณและศิลปะในวัง ส่วนหลี่เฟยหานก็เติบโตเป็นข้าราชการหนุ่มผู้ซื่อตรงและเปี่ยมด้วยความสามารถ หลี่เฟยหยาง น้องสุดท้องก็เป็นหนุ่มน้อยผู้ร่าเริง มีสติปัญญา และมักจะสร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกคนในวังเสมอมิตรภาพระหว่างแคว้นของเหม่ยหลินกับแคว้นเยว่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า ไป๋เฟิงยังคงเป็นราชทูตผู้ทรงอิทธิพล และมักจะเดินทางมาเยี่ยมเยียนเหม่ยหลินและครอบครัวอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหม่ยหลินนั้นลึกซึ้งเกินกว่าคำว่ามิตร และเป็นที่รับรู้กันในหมู่คนใกล้ชิดว่าไป๋เฟิงมีใจให้กับเชฟหลวงผู้นี้อย่างสุดซึ้ง แต่ความแตกต่างของสถานะและแคว้นทำให้เรื่องนี้ยังคงเป็นเพียงความรู้สึกที่งดงามในใจเท่านั้นแม้ทุกสิ่งจะดูสมบูรณ์แบบ แต่บางครั้ง เงาจากอดีต ก็มักจะคืบคลานกลับมาทักทาย โดยเฉพาะอดีตที่เ
ความรุ่งเรืองของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพจากวิกฤตภัยธรรมชาติ เป็นดั่งแสงสว่างที่ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทาง ชื่อเสียงของ "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และความอุดมสมบูรณ์ที่กลับคืนมาอย่างรวดเร็วภายใต้การนำของ เชฟหลวงเหม่ยหลิน ไม่ได้สร้างความชื่นชมยินดีไปทั่วทุกสารทิศเสมอไป ในดินแดนที่ห่างไกลออกไป ความโลภ กำลังเริ่มคืบคลานเข้าปกคลุมจิตใจของผู้คนบางกลุ่ม เสียงกระซิบของความมั่งคั่งและแผนการร้ายจากแดนเถื่อน ทางทิศตะวันออกไกลโพ้นจากแคว้นที่กำลังฟื้นฟู มีกลุ่มโจรขนาดใหญ่ที่เรียกตัวเองว่า "หมาป่าทมิฬ" อาศัยอยู่ พวกมันเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในแถบนั้น ด้วยความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน และความสามารถในการปล้นสะดมอย่างรวดเร็วราวกับฝูงหมาป่าที่หิวโหย หัวหน้ากลุ่ม คือชายร่างยักษ์ผู้มีใบหน้าดุร้ายและรอยแผลเป็นพาดผ่านดวงตา "ไคเฟิง" เขาได้ยินข่าวลือเรื่องความมั่งคั่งของแคว้นที่ฟื้นคืนชีพ รวมถึงเรื่องอาหารวิเศษที่ทำให้ผู้คนมีพละกำลังและสุขภาพดี "พวกแกได้ยินข่าวลือเรื่องแคว้นทางตะวันตกนั่นรึไม่!" ไคเฟิงคำรามเสียงดังในค่ายโจรที่เต็มไปด้วยกองไฟและเสียงเอะอะโวยวาย "มันว่ากันว่าแคว้นนั้นมีอาหารวิเศษที่ทำให้คนไม่เจ็บไม่ป่วย!
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องไปทั่วลานประลอง เมื่อขันทีหลงและผู้นำพรรคอัคคีทมิฬถูกคุมตัวออกไป ภาพของประชาชนที่ดื่มด่ำ "ซุปแห่งแสงตะวัน" และฟื้นคืนพลังขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้สยบทุกความแคลงใจ ทุกเสียงกระซิบกระซาบของความไม่พอใจมลายหายไปสิ้น แทนที่ด้วยประกายแห่งความหวังและความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาองค์จักรพรรดิทรงเดินลงจากบัลลังก์ มาประทับยืนข้างเหม่ยหลิน พระหัตถ์ของพระองค์วางลงบนบ่าของเธอด้วยความเมตตาและภาคภูมิใจ"ประชาชนของข้า!" องค์จักรพรรดิรับสั่งด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลัง "วันนี้! พวกเจ้าได้เห็นแล้วถึงความจริงใจของวังหลวง! พวกเจ้าได้ลิ้มรสแล้วถึงความเมตตาของสวรรค์! และพวกเจ้าได้ประจักษ์แล้วถึงพลังแห่งความสามัคคี! เราจะร่วมกันฟื้นฟูแคว้นของเราให้กลับมารุ่งเรืองยิ่งกว่าเดิม!"เสียงกู่ก้อง "ทรงพระเจริญ!" ดังกึกก้องไปทั่วทั้งลานประลอง ประชาชนต่างคุกเข่าลงด้วยความเคารพและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแผนฟื้นฟูแผ่นดิน: เมล็ดพันธุ์แห่งความหวังหลังเหตุการณ์จลาจล องค์จักรพรรดิได้เรียกประชุมเหล่าขุนนางและผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา เพื่อวางแผนฟื้นฟูแคว้นครั้งใหญ่ เหม่ยหลิน ไป๋เฟิง