รุ่งอรุณหลังคืนแห่งความวุ่นวาย แสงตะวันสาดส่องเข้ามาในเรือนพักของท่านราชครูจ้าว เหม่ยหลินรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา หลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างกอดเธอแน่นด้วยความโล่งใจ การปรากฏตัวของหัวหน้าหมาและท่านราชครูจ้าวราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความมืดมิด
ท่านราชครูจ้าวนั่งลงตรงข้ามกับเหม่ยหลิน ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม "ท่านแม่เจียง" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าต้องขออภัยแทนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงด้วย ที่ทำให้ท่านต้องมาประสบเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้" เหม่ยหลินก้มศีรษะเล็กน้อย "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านราชครู ข้าเข้าใจดีว่าอำนาจมักจะทำให้คนตาบอด" "ถูกต้อง" ท่านราชครูจ้าวพยักหน้า "เรื่องของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงนั้น ข้าได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว และข้าเชื่อว่าเขาจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิดที่เขากระทำ" ท่านราชครูจ้าวหันไปมองหัวหน้าหมาที่ยืนอยู่ข้างๆ "หัวหน้าหมา เจ้าทำความดีความชอบในครั้งนี้ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ ให้ท่านได้รับความดีความชอบอย่างที่ควรจะได้รับ" หัวหน้าหมาก้มศีรษะด้วยความนอบน้อม "ขอบพระคุณท่านราชครูขอรับ" ความจริงเบื้องหลัง "ซุปแห่งชีวิตอมตะ" และการเชิญเข้าวัง "ท่านแม่เจียง" ท่านราชครูจ้าวกล่าวต่อ "ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน" ท่านราชครูจ้าวลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปนอกท้องฟ้าที่กำลังสว่างขึ้น "ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงส่งข้ามายังเมืองนี้?" ท่านราชครูจ้าวถาม เหม่ยหลินส่ายหน้า "ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะท่านราชครู" "องค์จักรพรรดิประชวรหนักมานานแล้ว" ท่านราชครูจ้าวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า "หมอหลวงทุกคนต่างก็หมดหนทางรักษา ไม่มีใครสามารถเยียวยาพระอาการของพระองค์ได้เลย" คำพูดของท่านราชครูจ้าวทำให้เหม่ยหลินถึงกับตกใจ เธอไม่เคยคิดเลยว่าองค์จักรพรรดิจะประชวรหนักถึงเพียงนี้ "แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าหรือเจ้าคะท่านราชครู?" เหม่ยหลินถามด้วยความสงสัย ท่านราชครูจ้าวหันกลับมามองเหม่ยหลิน ดวงตาของท่านเป็นประกาย "ข้าได้ยินข่าวลือเรื่องซุปแห่งชีวิตอมตะของท่านแม่เจียง และสรรพคุณอันน่าอัศจรรย์ของมัน" เหม่ยหลินถึงกับอึ้ง เธอไม่คิดว่าเรื่องซุปของเธอจะไปถึงหูองค์จักรพรรดิได้ "ข้าได้นำซุปแห่งชีวิตอมตะของท่านไปให้องค์จักรพรรดิได้ลองเสวยแล้ว" ท่านราชครูจ้าวกล่าว "และน่าอัศจรรย์นัก! หลังจากที่พระองค์เสวยซุปของท่านไปเพียงครั้งเดียว พระอาการก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด! ร่างกายของพระองค์มีพละกำลังมากขึ้น สีพระพักตร์ก็สดใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!" คำพูดของท่านราชครูจ้าวทำให้เหม่ยหลินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยคิดว่าซุปของเธอจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ "ดังนั้น" ท่านราชครูจ้าวกล่าวต่อ "องค์จักรพรรดิจึงมีราชโองการให้ข้ามาเชิญท่านแม่เจียงและครอบครัวเข้าวังหลวง เพื่อให้ท่านไปเป็นพ่อครัวหลวงประจำพระองค์ และปรุงซุปแห่งชีวิตอมตะถวายองค์จักรพรรดิทุกวัน!" คำประกาศของท่านราชครูจ้าวทำให้ทุกคนในห้องถึงกับตกตะลึง การได้เข้าวังหลวงเป็นพ่อครัวหลวงเป็นเกียรติยศสูงสุดที่พ่อครัวทุกคนใฝ่ฝัน แต่มันก็หมายถึงการเข้าไปพัวพันกับการเมืองในราชสำนัก ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง "ท่านราชครู" เหม่ยหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล "ข้าเกรงว่าข้าจะรับตำแหน่งนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ" "ทำไมจะไม่ได้!" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ "นี่คือเกียรติยศสูงสุดที่พ่อครัวทุกคนใฝ่ฝัน! หากท่านตอบรับ ท่านและครอบครัวก็จะได้รับชีวิตที่สุขสบาย มีเงินทองใช้จ่ายไม่ขาดมือ!" "ข้ามีครอบครัวที่ต้องดูแลเจ้าค่ะ" เหม่ยหลินตอบ "และข้าไม่สามารถทิ้งพวกเขามาอยู่กับท่านได้" "แต่ในฐานะพ่อครัวหลวง ท่านก็สามารถนำครอบครัวของท่านเข้ามาอยู่ในวังหลวงได้ด้วย!" ท่านราชครูจ้าวกล่าว "พวกเขาจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด! และที่สำคัญที่สุดคือ...พวกเขาจะปลอดภัยจากอันตรายใดๆ ทั้งปวง!" ข้อเสนอของท่านราชครูจ้าวทำให้เหม่ยหลินถึงกับนิ่งไป เธอหันไปมองลูกๆ ของเธอที่กำลังมองเธอด้วยความหวัง การได้เข้าไปอยู่ในวังหลวงอาจเป็นทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาปลอดภัยจากภัยคุกคามที่กำลังจะมาถึง บททดสอบจากองค์จักรพรรดิและการทรยศที่คาดไม่ถึง หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน เหม่ยหลินก็ตัดสินใจตอบรับคำเชิญของท่านราชครูจ้าว เธอรู้ว่านี่คือโอกาสเดียวที่จะปกป้องครอบครัวของเธอ และอาจจะเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาไปตลอดกาล ในวันรุ่งขึ้น เหม่ยหลินและครอบครัวก็เดินทางเข้าสู่เมืองหลวงอย่างสมเกียรติ พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้คนในเมืองหลวง และได้รับการจัดเตรียมที่พักอย่างดีเยี่ยมในวังหลวง เมื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ เหม่ยหลินก็พบว่าองค์จักรพรรดิเป็นชายชราที่ดูอ่อนแอและเหนื่อยล้า แต่ดวงตาของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความหวังและปัญญา "ท่านแม่เจียง" องค์จักรพรรดิเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ข้าได้ยินเรื่องราวของท่านมามากแล้ว และข้าก็ซาบซึ้งในพระคุณของท่านที่ช่วยชีวิตข้าไว้" เหม่ยหลินก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม "เป็นเกียรติอย่างยิ่งเจ้าค่ะฝ่าบาท" "ข้าต้องการให้ท่านมาเป็นพ่อครัวหลวงประจำพระองค์" องค์จักรพรรดิกล่าวต่อ "และปรุงซุปแห่งชีวิตอมตะให้ข้าเสวยทุกวัน" "แต่ฝ่าบาท..." เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นอย่างลังเล "หม่อมฉันเป็นเพียงแม่ครัวสามัญชน...เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอันสูงส่งนี้เจ้าค่ะ" "ไม่ต้องถ่อมตัวไปหรอก" องค์จักรพรรดิยิ้มบางๆ "ข้าเชื่อในความสามารถของท่าน และข้าก็เชื่อว่าท่านจะสามารถนำพาแสงสว่างมาสู่แผ่นดินนี้ได้" องค์จักรพรรดิไม่ได้ขอให้เหม่ยหลินบอกสูตรซุปแห่งชีวิตอมตะให้พระองค์ แต่พระองค์มีข้อแม้เพียงอย่างเดียว นั่นคือ เหม่ยหลินต้องปรุงซุปแห่งชีวิตอมตะถวายพระองค์ทุกวัน และจะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ห้องครัวของเหม่ยหลินนอกจากคนในครอบครัวของเธอ และทหารองครักษ์ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ เหม่ยหลินตอบรับข้อเสนอขององค์จักรพรรดิ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวังหลวง ลูกๆ ของเธอได้รับการศึกษาอย่างดีเยี่ยม หลี่เฟยหลงและหลี่เฟยหานได้รับการฝึกฝนการต่อสู้จากทหารองครักษ์ ส่วนชิวลี่ฮวาก็ได้เรียนรู้เรื่องการจัดดอกไม้และการเย็บปักถักร้อยจากนางกำนัลในวัง ชีวิตในวังหลวงดูเหมือนจะดำเนินไปอย่างราบรื่น องค์จักรพรรดิมีพระพลานามัยที่แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซุปแห่งชีวิตอมตะของเหม่ยหลิน ชื่อเสียงของเหม่ยหลินในฐานะ "เชฟหลวงผู้รักษาจักรพรรดิ" ก็แพร่สะพัดไปทั่วทุกสารทิศ แต่ในเงามืดของวังหลวง คลื่นใต้น้ำ กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ วันหนึ่ง ขณะที่เหม่ยหลินกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมวัตถุดิบสำหรับซุปแห่งชีวิตอมตะในห้องครัวส่วนตัวของเธอ จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อเธอหันไปมอง เธอก็พบกับ หลี่เฟยหาน ลูกชายคนเล็กของเธอ! เขากำลังยืนอยู่หน้าเตาปรุงซุป ดวงตาของเขาเป็นประกายแปลกๆ และในมือของเขากำลังถือ ผงสีดำบางอย่าง! "หลี่เฟยหาน! เจ้าทำอะไรของเจ้า!" เหม่ยหลินอุทานด้วยความตกใจ หลี่เฟยหานหันมามองเหม่ยหลิน ใบหน้าของเขาซีดเผือด และในดวงตาของเขาก็ปรากฏแววของความหวาดกลัวและสำนึกผิด "ท่านแม่...ลูก...ลูกขอโทษขอรับ!" หลี่เฟยหานกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ลูก...ลูกถูกบังคับ!" "บังคับอย่างนั้นรึ! ใครบังคับเจ้า!" เหม่ยหลินถามด้วยความตกใจและสับสน ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของ ขันทีจาง ขันทีคนสนิทขององค์จักรพรรดิ! ใบหน้าของขันทีจางปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย "โอ้! ตื่นแล้วอย่างนั้นรึแม่นางเหม่ยหลิน!" ขันทีจางกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ดูท่าทางเจ้าจะสบายดีขึ้นเยอะเลยนี่" เหม่ยหลินมองขันทีจางด้วยความไม่เข้าใจ เธอไม่เคยคิดว่าขันทีคนสนิทขององค์จักรพรรดิจะมาปรากฏตัวที่นี่ และยิ่งไม่คิดว่าเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ "ขันทีจาง! ท่านมาทำอะไรที่นี่!" เหม่ยหลินถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว "ข้าก็แค่มาเก็บของสำคัญบางอย่างเท่านั้นเอง!" ขันทีจางตอบ พลางหันไปมองหลี่เฟยหานที่กำลังตัวสั่นงันงก "หลี่เฟยหาน! เจ้าทำหน้าที่ได้ดีมาก! ต่อไปนี้เจ้าก็จะเป็นคนรวยแล้ว!" "เจ้าหมายความว่าอย่างไร!" เหม่ยหลินตะโกนขึ้นอย่างโมโห "เจ้าบังคับให้ลูกของข้าทำอะไรกันแน่!" "ฮ่า ๆ ๆ!" ขันทีจางหัวเราะเสียงดัง "ก็แค่บังคับให้ลูกชายของเจ้าแอบใส่ ยาพิษ ลงในซุปแห่งชีวิตอมตะขององค์จักรพรรดิเท่านั้นแหละ!" คำพูดของขันทีจางราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของเหม่ยหลิน เธอถึงกับเข่าอ่อนด้วยความตกใจและไม่เชื่อหูตัวเอง "ไม่จริง! เจ้าโกหก!" เหม่ยหลินตะโกน "จริงสิ!" ขันทีจางตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน "องค์จักรพรรดิผู้ชราภาพจะต้องตายด้วยน้ำมือของท่านเอง! แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ! ก็ท่านแม่เจียงผู้นี้ไงเล่า! แล้วใครจะเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในวังหลวง! ก็ข้านี่แหละ! ฮ่า ๆ ๆ!" ขันทีจางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและโลภโมโทสัน เหม่ยหลินมองหลี่เฟยหานด้วยความเจ็บปวดและผิดหวัง เธอไม่เคยคิดเลยว่าลูกชายของเธอจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้ความรู้สึกของเหม่ยหลินพังทลายลงในพริบตาเมื่อได้ยินคำสารภาพของขันทีจาง และเห็นผงสีดำในมือของหลี่เฟยหาน โลกทั้งใบราวกับหมุนคว้าง ภาพความฝันที่เธอสร้างขึ้นเพื่อครอบครัว กำลังจะพังทลายลงเพราะการทรยศหักหลังครั้งนี้"ไม่จริง... เจ้าโกหก!" เหม่ยหลินตะโกน ดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด "หลี่เฟยหาน! ลูกบอกแม่มา! ลูกทำอะไรลงไป!?"หลี่เฟยหานตัวสั่นงันงก ใบหน้าเล็กๆ ของเขาซีดเผือด น้ำตาไหลพราก "ท่านแม่... ลูก... ลูกถูกบังคับขอรับ! ขันทีจาง... เขา... เขายื่นเงินให้ลูก... บอกว่าจะให้ลูกกับพี่ๆ สบาย... แล้ว... แล้วถ้าลูกไม่ทำ... เขาจะฆ่าท่านแม่... ฆ่าพี่ใหญ่... ฆ่าท่านชิวลี่ฮวา..." เสียงของเขาขาดหายไป พร้อมกับร่างที่ทรุดลงนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นขันทีจางหัวเราะอย่างชั่วร้าย "ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างเป็นภาพที่น่ารันทดใจนัก! เจ้าแม่เจียงผู้ยิ่งใหญ่ กำลังจะถูกลูกชายของตัวเองฆ่า!" เขาก้าวเข้ามาใกล้ ยกผงสีดำในมือของหลี่เฟยหานขึ้นดู "ดูสิ! ผงพิษ 'ฝุ่นมรณะ' ชนิดรุนแรงที่สุด! แม้แต่เซียนก็ยากจะรอด! องค์จักรพรรดิจะได้สวรรคตอย่างสงบในวันนี้ และเจ้า... จะต้องเป็นแพะรับบาป! ฮ่าฮ่าฮ่า!""เจ้ามันปีศาจ!" เหม่ยหลินกัดฟันแน่น ควา
รุ่งอรุณหลังคืนแห่งความวุ่นวาย แสงตะวันสาดส่องเข้ามาในเรือนพักของท่านราชครูจ้าว เหม่ยหลินรู้สึกปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา หลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ต่างกอดเธอแน่นด้วยความโล่งใจ การปรากฏตัวของหัวหน้าหมาและท่านราชครูจ้าวราวกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แห่งความมืดมิดท่านราชครูจ้าวนั่งลงตรงข้ามกับเหม่ยหลิน ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความเมตตาและแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม"ท่านแม่เจียง" ท่านราชครูจ้าวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "ข้าต้องขออภัยแทนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงด้วย ที่ทำให้ท่านต้องมาประสบเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้"เหม่ยหลินก้มศีรษะเล็กน้อย "ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านราชครู ข้าเข้าใจดีว่าอำนาจมักจะทำให้คนตาบอด""ถูกต้อง" ท่านราชครูจ้าวพยักหน้า "เรื่องของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงนั้น ข้าได้ส่งคนไปสอบสวนแล้ว และข้าเชื่อว่าเขาจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิดที่เขากระทำ"ท่านราชครูจ้าวหันไปมองหัวหน้าหมาที่ยืนอยู่ข้างๆ "หัวหน้าหมา เจ้าทำความดีความชอบในครั้งนี้ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ต่อองค์จักรพรรดิ ให้ท่านได้รับความดีความชอบอย่างที่ควรจะได้รับ"หัวหน้าหมาก้มศีรษะด้
ชัยชนะอันหอมหวานจากการประลองรสชาติสะท้านเมืองหลวง มิได้นำมาซึ่งความสงบสุขอย่างที่เหม่ยหลินและครอบครัวคาดหวัง ตรงกันข้าม มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของพายุลูกใหม่ที่โหมกระหน่ำรุนแรงกว่าเดิม แสงแห่งชื่อเสียงที่เจิดจ้าของ “เชฟเหม่ยหลิน” ส่องสว่างไปทั่วอาณาจักร ทว่าในเงามืดนั้น พลังอำนาจที่มองไม่เห็นกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆความผันผวนในจวนเจ้าเมืองหลี่กวงหมิง เจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใคร บัดนี้กลับถูกแม่ครัวสามัญชนหักหน้าอย่างยับเยินกลางที่สาธารณะ ความอัปยศครั้งนี้กัดกินจิตใจของเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขากลายเป็นคนเจ้าอารมณ์และหวาดระแวงยิ่งกว่าเดิม ทุกวันเขาจะสั่งให้คนนำอาหารของเหม่ยหลินมาให้เขากิน แต่เขาก็ไม่เคยบอกว่าอร่อยเลยแม้แต่คำเดียว และมักจะหาเรื่องตำหนิอย่างไม่เป็นเหตุผล“นี่มันอะไรกัน! ข้าวผัดนี่แข็งเกินไป! เจ้าคิดว่าข้าเป็นชาวนาที่กินแต่ข้าวแข็งๆ อย่างนั้นรึ!” หลี่กวงหมิงปาจานข้าวผัดลงพื้นเสียงดังลั่นในห้องอาหารของเขาพ่อครัวประจำจวนและบรรดาคนรับใช้ต่างพากันตัวสั่นงันงก พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองขณะเดียวกัน ในมุมมืดของจวน เจ้าเมืองได้ส่งคนไปสืบเรื่องราวของเหม่ยหลินอย
เช้าตรู่วันประลอง ท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงยังคงมืดสลัวด้วยไอหมอกจางๆ แต่ใจกลางเมืองกลับคึกคักไปด้วยผู้คนมหาศาลที่หลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อเป็นสักขีพยานในศึกประลองรสชาติครั้งประวัติศาสตร์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแข่งขันทำอาหารธรรมดา แต่มันคือการปะทะกันระหว่าง อำนาจ และ ความสามารถ ระหว่าง ศักดิ์ศรี ของเจ้าเมืองผู้ยิ่งใหญ่ กับ ความกล้าหาญ ของแม่ครัวสามัญชนเหม่ยหลินและครอบครัวเดินทางมาถึงลานประลองที่ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีเวทีขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยที่นั่งสำหรับแขกผู้มีเกียรติและประชาชนทั่วไป กลิ่นหอมของเครื่องหอมปะปนกับกลิ่นไอของตลาดสดอบอวลไปทั่วบริเวณ"ท่านแม่! คนเยอะมากเลยขอรับ!" หลี่เฟยหยางเกาะแขนเหม่ยหลินแน่น ดวงตากลมโตสอดส่ายมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้นปนหวาดหวั่น"ไม่ต้องกลัวหรอกลูก" เหม่ยหลินยิ้มให้กำลังใจลูกชาย เธอเองก็รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต่ความมุ่งมั่นในใจกลับแข็งแกร่งกว่าสิ่งใดเมื่อเดินไปถึงหลังเวที พวกเขาก็เห็นเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงยืนอยู่พร้อมกับพ่อครัวประจำจวนของเขา และชายชุดดำสองคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา ใบหน้าของหลี่กวงหมิงเรียบตึง แต่แววตาของเขากลับฉาย
แสงตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงฉานเมื่อเหม่ยหลินกลับมาถึงบ้าน ตลอดทางกลับ เธอครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากที่เธอและครอบครัวต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ คำสั่งของเจ้าเมืองหลี่กวงหมิงเป็นดั่งดาบที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย หากเธอปฏิเสธหรือทำผิดพลาดแม้แต่น้อย ชีวิตของเธอและลูกๆ อาจตกอยู่ในอันตรายเมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงบ้าน ใบหน้าของหลี่เฟยหลง ชิวลี่ฮวา หลี่เฟยหาน และหลี่เฟยหยาง ก็ปรากฏแก่สายตา แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวลและคำถาม"ท่านแม่! เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ท่านเจ้าเมืองพูดอะไรกับท่าน?" หลี่เฟยหลงเอ่ยถามทันทีด้วยน้ำเสียงร้อนรนเหม่ยหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เก่าๆ อย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนเจ้าเมืองให้ทุกคนฟัง ตั้งแต่คำชมเชยของหลี่กวงหมิง ข้อเสนอให้เป็นพ่อครัวประจำจวน และคำสั่งให้ส่งอาหารทุกวัน รวมถึงการบีบบังคับให้บอกสูตรอาหารบรรยากาศในห้องเงียบสงัดลงทันที ใบหน้าของทุกคนซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหลี่เฟยหลงที่กำมือแน่น ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ"ท่านเจ้าเมืองช่างบีบบังคับกันเกินไปแล้วขอรับ!" หลี่เฟยหลงเอ่ยขึ้นอย
ชัยชนะจากการประลองปัญญาครั้งนั้นส่งให้ชื่อเสียงของ เหม่ยหลิน และ ตระกูลหลี่ ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งตลาด และลามไปถึงหมู่บ้านใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว ผู้คนต่างพูดถึง "แม่เจียงคนใหม่" ที่ไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อยเลิศ แต่ยังเฉลียวฉลาดและกล้าหาญ กล้าเผชิญหน้ากับผู้มีอิทธิพลอย่างหัวหน้าหมาเช้าวันรุ่งขึ้น แผงขายของเหม่ยหลินไม่เพียงแค่คึกคัก แต่กลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาต่อคิวยาวเหยียด พวกเขาไม่เพียงมาซื้อ "บะหมี่เจผักรวม" และ "ซุปเห็ดหลินจือดำ" เท่านั้น แต่ยังมาเพื่อชมบารมีของเหม่ยหลินและลูก ๆ ของเธอด้วย"ท่านแม่เจียง! ข้ามาจากหมู่บ้านเจียงเป่ย! ได้ยินว่าอาหารของท่านอร่อยล้ำเลิศนัก ข้าจึงมาขอชิมด้วยตัวเอง!" ชายชราคนหนึ่งกล่าวด้วยความเลื่อมใส"ท่านแม่เจียง! ข้าซื้อบะหมี่เจของท่านไปให้ลูกเมียกินแล้ว! พวกเขาชอบมากเลย! ขอบพระคุณท่านแม่เจียงที่ทำอาหารดี ๆ แบบนี้มาให้พวกเราได้กิน!" ชาวนาอีกคนกล่าวพร้อมรอยยิ้มเหม่ยหลินยิ้มตอบรับคำชมเชยอย่างอ่อนน้อม เธอและลูก ๆ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น หลี่เฟยหลงกับหลี่เฟยหานทำหน้าที่ตักบะหมี่และซุป ส่วนชิวลี่ฮวากับหลี่เฟยหยางก็ช่วยรับเงินและห่ออาหารด้วยความสนุกสนาน"ท่า