สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย สาดซัดม่านน้ำสีเทาหม่นคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าจิง หลังคาดินเผาสีเข้มของหมู่ตึกระฟ้าและจวนขุนนางชั้นสูงสะท้อนเงาของเมฆฝนที่ลอยต่ำ กลืนกินสีสันสดใสของวันวานจนหมดสิ้น เสียงหยาดฝนกระทบกระเบื้องมุงหลังคาดังเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ คล้ายเสียงถอนหายใจอันยาวนานของแผ่นดินที่กำลังเหนื่อยล้า
บนถนนหินฉิงสือที่เปียกลื่น ผู้คนเดินขวักไขว่บางตากว่าปกติ พ่อค้าหาบเร่ต่างรีบเก็บแผงลอยของตนหลบเข้าชายคา รถม้าของขุนนางผู้มั่งคั่งเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งรอยล้อเปื้อนโคลนไว้เบื้องหลัง บรรยากาศของเมืองหลวงที่เคยคึกคักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับดูซบเซาและแฝงเร้นไว้ด้วยความตึงเครียดบางอย่างที่มองไม่เห็น
ความตึงเครียดนี้ไม่ได้มาจากเมฆฝนเพียงอย่างเดียว แต่มันซึมลึกอยู่ในอากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป เป็นเงาที่ทอดทับอยู่เหนือทุกการสนทนาในโรงเตี๊ยมและร้านน้ำชา ข่าวลือเรื่องศึกสายเลือดที่กำลังก่อตัวขึ้นในวังหลวงระหว่างองค์รัชทายาทผู้เปี่ยมบารมี กับเหล่าท่านอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แพร่สะพัดไปราวน้ำป่าไหลหลาก และในบรรดาชื่อของท่านอ๋องทั้งหลาย ไม่มีชื่อใดที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกซับซ้อนได้เท่ากับชื่อของ "ฉินอ๋อง"
บ้างก็เอ่ยถึงเขาด้วยความหวาดกลัว เล่าลือถึงความเหี้ยมโหดในสนามรบเมื่อครั้งอดีต บ้างก็เอ่นถึงด้วยความสมเพชเวทนา ถึงชะตากรรมที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรต้องกลายเป็นคนพิการขาเป๋ อารมณ์แปรปรวนร้ายกาจ เก็บตัวเงียบอยู่ในจวนอ๋องอันโอ่อ่าแต่กลับวังเวงราวกับป่าช้า และบ้างก็เอ่ยถึงด้วยความดูแคลน กล่าวว่าเขาคือพยัคฆ์สิ้นลายที่รอวันตายอย่างไร้ค่า
สายฝนไม่ได้ชะล้างความตึงเครียดนี้ให้จางหายไป ตรงกันข้าม มันกลับขับเน้นให้ทุกสิ่งเด่นชัดขึ้น ราวกับหยดน้ำที่เกาะบนใยแมงมุม เผยให้เห็นโครงสร้างอันซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ และในจวนของเสนาบดีฝ่ายขวา จ้าวหยวนซาน ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนถนนสายหลักของเมืองหลวง ใยแมงมุมแห่งโชคชะตาก็กำลังถักทอเส้นใยที่เปราะบางที่สุดเส้นหนึ่งอย่างเงียบงัน
จวนเสนาบดีฝ่ายขวาใหญ่โตและงดงามสมฐานะ กำแพงสูงตระหง่านสีขาวตัดกับหลังคาสีเทาเข้ม ประตูไม้สีแดงบานใหญ่สลักลวดลายมงคลปิดสนิทแน่นหนา สวนภายในได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ต้นไม้ทุกต้นถูกตัดแต่งอย่างประณีตราวกับภาพวาด ก้อนหินทุกก้อนถูกจัดวางตามหลักฮวงจุ้ยอย่างไม่มีที่ติ ทว่าความสมบูรณ์แบบนี้กลับให้ความรู้สึกเย็นชาและไร้ชีวิตชีวา คล้ายกับความงามของบุปผาในฤดูหนาวที่น่าชื่นชมแต่ไม่อาจเข้าใกล้
ลึกเข้าไปในเขตจวนด้านหลังสุด ที่ซึ่งความโอ่อ่าของตัวอาคารหลักเริ่มจางหายไป มีลานเล็กๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่อย่างหลบเร้นและเงียบเชียบ ที่นี่คือ เรือนซิงอวิ๋น หรือเรือนเมฆาเดียวดาย ชื่อของมันช่างเหมาะสมกับสภาพความเป็นจริงอย่างน่าใจหาย เรือนไม้หลังเล็กดูทรุดโทรมกว่าส่วนอื่นๆ ของจวน สีที่เคยสดใสบนเสาและขื่อคานบัดนี้ซีดจางและหลุดล่อน กำแพงรอบลานมีรอยคราบตะไคร่น้ำสีเขียวเกาะจับอยู่ทั่วไป พื้นหินที่ปูทางเดินมีวัชพืชแทรกขึ้นมาตามร่อง บ่งบอกถึงการขาดการดูแลเอาใจใส่มาเป็นเวลานาน
ที่นี่คือที่พำนักของคุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดี จ้าวลี่อิง
สาวใช้สองนางกำลังเดินกางร่มกระดาษน้ำมันฝ่าสายฝนมาตามทางเดินแคบๆ ที่มุ่งหน้าสู่เรือนซิงอวิ๋น นางหนึ่งถือถาดอาหารที่ดูจืดชืด ส่วนอีกนางหนึ่งประคองถาดใส่ถ้วยยาที่ส่งกลิ่นขมเหม็นเขียวคละคลุ้งออกมา
“เร็วหน่อยเถอะน่า เสี่ยวชุ่ย ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่นานๆ หรอกนะ ยิ่งฝนตกแบบนี้ยิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก” สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวหลิงบ่นอุบ พลางขยับร่มให้กันฝนได้มากขึ้น ใบหน้าของนางบิดเบ้เล็กน้อยเมื่อเหลือบมองไปยังเรือนซิงอวิ๋นที่อยู่เบื้องหน้า
“ใจเย็นๆน่าพี่หลิง” เสี่ยวชุ่ยตอบกลับ แม้จะพูดปลอบแต่สีหน้าของนางก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน “ก็แค่เอาของมาส่ง เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว ดีซะอีกที่มาเรือนนี้ ไม่ต้องคอยระวังตัวเหมือนตอนรับใช้คุณหนูใหญ่”
“หึ ก็จริงของเจ้า” เสี่ยวหลิงแค่นเสียง “รับใช้คุณหนูสามนี่มันง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดอะไรผิดหู เพราะถึงพูดไปนางก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี”
บทสนทนาของพวกนางไม่ได้มีการลดเสียงลงแม้แต่น้อย ราวกับไม่เกรงว่าเจ้าของเรือนจะได้ยิน หรืออาจจะเป็นเพราะพวกนางไม่ใส่ใจเลยต่างหากว่าเจ้าของเรือนจะได้ยินหรือไม่
“ข้ายังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฮูหยินกับท่านเสนาบดีจะตัดสินใจเช่นนี้จริงๆ” เสี่ยวชุ่ยลดเสียงลงเล็กน้อย แต่ก็ยังดังพอที่จะได้ยินชัดเจนท่ามกลางเสียงฝน “ให้คุณหนูสามแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง... นี่มัน... นี่มันผลักนางลงไปในกองไฟชัดๆ ไม่สิ ต้องเรียกว่าโยนขยะไปรวมกับกองขยะมากกว่า”
“ชู่ววว! พูดจาให้มันน้อยๆ หน่อย” เสี่ยวหลิงปราม แต่ดวงตากลับเป็นประกายอย่างคนที่ชอบฟังเรื่องซุบซิบนินทา “ถึงจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ แต่เจ้าก็รู้ว่าฉินอ๋องผู้นั้นเป็นอย่างไร พิการขาเป๋ อารมณ์ร้ายกาจ ว่ากันว่าพระชายาคนก่อนก็ตรอมใจตายเพราะทนความโหดร้ายของเขามิไหว ส่วนคุณหนูสามของเรา... เฮ้อ...” นางถอนหายใจยาว “ร่างกายอ่อนแอ สติปัญญาทึบ นอกจากใบหน้าที่พอจะดูได้อยู่บ้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง การแต่งงานครั้งนี้ก็คงเหมือนการเอาแกะป่วยๆ ไปส่งให้หมาป่ากินนั่นล่ะ”
“ข้าได้ยินพวกพี่ๆ ในครัวคุยกันว่า ท่านเสนาบดีโมโหมากที่องค์รัชทายาทไม่ได้เลือกคุณหนูใหญ่เป็นพระชายารอง แต่กลับมีราชโองการประทานสมรสระหว่างจวนเรากับจวนฉินอ๋องมาแทน ท่านเสนาบดีคงเห็นว่าไหนๆ ก็ต้องส่งลูกสาวไปคนหนึ่งแล้ว ก็เลยส่งคนที่ไร้ค่าที่สุดไปเสีย จะได้ไม่เสียดาย”
“ก็คงเป็นเช่นนั้นแหละ” เสี่ยวหลิงสรุป “นับเป็นบุญคุณหนาหนักแล้วที่จวนเราเลี้ยงดูนางมาจนป่านนี้ อย่างน้อยก่อนจะหมดประโยชน์ ก็ยังใช้เป็นเครื่องมือเชื่อมสัมพันธ์ทางการเมืองได้อีกครั้งหนึ่ง ถือว่าไม่เสียข้าวสุกที่เลี้ยงมา”
พวกนางหัวเราะคิกคักกับความคิดของตนเอง ก่อนจะเดินมาถึงหน้าประตูเรือนซิงอวิ๋น เสี่ยวหลิงใช้เท้าถีบประตูที่ปิดไม่สนิทให้เปิดออกเบาๆ อย่างไม่ให้เกียรติ แล้ววางถาดอาหารลงบนโต๊ะเตี้ยๆ กลางห้องอย่างแรงจนถ้วยชามกระทบกันเสียงดัง เผยให้เห็นข้าวสวยที่เย็นชืดกับผัดผักสีซีๆ และแกงจืดหนึ่งถ้วยที่แทบไม่มีเนื้อสัตว์
“คุณหนูใหญ่ พวกข้านำอาหารกับยามาให้แล้ว” เสี่ยวชุ่ยตะโกนเรียกเข้าไปยังห้องนอนด้านในอย่างไร้อารยธรรม “รีบออกมาทานตอนที่มันยังอุ่นๆ เถอะเจ้าค่ะ... อ้อ ไม่สิ มันเย็นหมดแล้วนี่นา” นางพูดแล้วก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน มีเพียงเสียงไอแค่กๆ ที่ดังออกมาเบาๆ เป็นระยะ
มุมมองของบ่าวรับใช้เป็นเพียงภาพสะท้อนที่เล็กที่สุดของสถานะของจ้าวลี่อิงในจวนแห่งนี้ สำหรับคนในครอบครัวแล้ว นางเป็นยิ่งกว่าตัวตนที่ถูกลืมเลือน... นางคือความผิดพลาด คือรอยด่างพร้อย คือความอัปยศที่ต้องซุกซ่อนไว้
สำหรับ จ้าวหยวนซาน ผู้เป็นบิดาและเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ทรงอำนาจ จ้าวลี่อิงคือความผิดหวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา นางคือบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกคนแรกที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ในตอนแรกเกิดนางยังดูปกติเหมือนทารกทั่วไป แต่เมื่อเติบโตขึ้น ความเชื่องช้าและทึบตันทางสติปัญญาก็ปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ เขาเคยทุ่มเงินจ้างอาจารย์ที่ดีที่สุดมาสอนนาง แต่ทุกคนต่างส่ายหน้าและถอนตัวไปในเวลาไม่นาน พวกเขากล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าคุณหนูสามนั้นสุดจะเยียวยา
ในโลกของขุนนางที่ทุกย่างก้าวคือการแข่งขัน การมีบุตรสาวที่โง่เขลาคือภาระอันหนักอึ้ง เขาไม่สามารถพานางไปออกงานสังคมใดๆ ได้ นางไม่สามารถสร้างเครือข่ายหรือส่งเสริมบารมีให้ตระกูลได้เหมือนบุตรสาวของขุนนางคนอื่นๆ ทุกครั้งที่มองเห็นนาง เขาก็รู้สึกถึงความล้มเหลวของตนเอง ความรักฉันบิดาที่มีต่อนางเหือดแห้งไปนานแล้ว เหลือเพียงความรำคาญใจและความรู้สึกว่าเป็นภาระ ราชโองการประทานสมรสกับฉินอ๋องจึงเปรียบเสมือนโอกาสสุดท้ายที่เขาจะรีดเค้นประโยชน์จากบุตรสาวที่ไร้ค่าคนนี้ได้ มันคือการแลกเปลี่ยนทางการเมืองที่เจ็บปวดแต่จำเป็น เขามองว่าการส่งนางไปให้ฉินอ๋อง ก็ไม่ต่างจากการทิ้งหินถ่วงน้ำหนักที่ผูกติดขาเขามานานหลายปี
สำหรับ จ้าวฮูหยิน หรือฮูหยินรองที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ในจวน นางมองจ้าวลี่อิงด้วยสายตาที่เย็นชายิ่งกว่าผู้เป็นบิดาเสียอีก จ้าวลี่อิงคือหนามที่ทิ่มแทงใจนางอยู่เสมอ คือเครื่องเตือนใจที่มีชีวิตว่านางไม่ใช่ภรรยาคนแรกของจ้าวหยวนซาน ความเกลียดชังที่นางมีต่อฮูหยินเอกผู้ล่วงลับถูกส่งผ่านมายังบุตรสาวของนางอย่างครบถ้วน นางไม่เคยทุบตีหรือดุด่าจ้าวลี่อิงอย่างโจ่งแจ้ง เพราะนั่นจะทำลายภาพลักษณ์ "ฮูหยินผู้เปี่ยมเมตตา" ของนางจนหมดสิ้น แต่นางเลือกที่จะใช้ความเย็นชาและการเพิกเฉยเป็นอาวุธ สั่งให้บ่าวรับใช้ลดปริมาณอาหารและเสื้อผ้าของจ้าวลี่อิงลงทีละน้อย ย้ายนางไปอยู่ที่เรือนซิงอวิ๋นอันห่างไกลและทรุดโทรม และทำราวกับว่าจวนแห่งนี้ไม่มีคุณหนูใหญ่อยู่เลย การที่จ้าวลี่อิงต้องแต่งออกไปให้ฉินอ๋อง ยิ่งทำให้นางรู้สึกยินดีปรีดาเป็นที่สุด เพราะนอกจากจะกำจัดเสี้ยนหนามชิ้นนี้ไปให้พ้นตาแล้ว ยังเป็นการเปิดทางให้บุตรสาวในสายเลืิอดของนางได้มีโอกาสที่ดีกว่าในอนาคต
สำหรับพี่น้องร่วมบิดา ความรู้สึกก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย
จ้าวลี่เฟิ่ง คุณหนูรองผู้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล นางงดงามปราดเปรื่อง มีความสามารถทั้งด้านดนตรี หมากล้อม และบทกวี นางมองจ้าวลี่อิงราวกับมองเศษธุลีดินที่ติดอยู่บนชายกระโปรงผ้าไหมราคาแพงของนาง การมีพี่สาวเช่นนี้คือความอัปยศอดสู นางไม่เคยเรียกจ้าวลี่อิงว่า ‘ท่านพี่’ แม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาของนาง จ้าวลี่อิงไม่มีค่าพอที่จะให้เสียเวลาแม้เพียงครู่เดียวเพื่อจะนึกถึง
จ้าวเหวินเทา คุณชายใหญ่ผู้ทะเยอทะยานและกำลังไต่เต้าในราชสำนัก ยิ่งกว่าเพิกเฉยเสียอีก เขาลบจ้าวลี่อิงออกไปจากสมการชีวิตโดยสิ้นเชิง ทำราวกับว่าตนเองมีน้องสาวเพียงคนเดียวคือจ้าวลี่เฟิ่ง การแต่งงานของจ้าวลี่อิงกับฉินอ๋องสำหรับเขาแล้วไม่มีความหมายใด ๆ เลย ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มันก็เป็นเพียงเรื่องของคนที่ไม่มีตัวตนในสายตาเขาเท่านั้น
และทั้งหมดนั้น คือโลกที่จ้าวลี่อิงอาศัยอยู่... โลกที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความเย็นชา
ภายในห้องนอนที่อับชื้นและมีเพียงแสงสลัวจากหน้าต่างบานเล็ก ร่างผอมบางของหญิงสาวคนหนึ่งนอนขดตัวอยู่บนเตียงแข็งๆ นางไอแค่กๆ จนตัวโยน ร่างกายสั่นสะท้านจากความหนาวเย็นของอากาศและความอ่อนแอของร่างกาย ผมยาวสีดำสนิทของนางยุ่งเหยิง ใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ริมฝีปากแห้งแตก ดวงตาคู่สวยที่ควรจะสดใสกลับดูเหม่อลอยและว่างเปล่า นี่คือจ้าวลี่อิงในวัยสิบแปดปี นางดูเปราะบางราวกับตุ๊กตากระเบื้องที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
นางได้ยินเสียงของสาวใช้ที่หน้าห้อง ได้ยินทุกถ้อยคำดูแคลนที่พวกนางเอ่ยออกมา แต่นางไม่มีแรงแม้แต่จะรู้สึกโกรธหรือเสียใจ ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำเช่นนี้มันด้านชาไปหมดแล้ว มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นเสียงประกอบฉากที่นางได้ยินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
นางไม่ใช่คนปัญญาอ่อนอย่างที่ใครตราหน้า นางเข้าใจทุกอย่าง ทั้งสายตาเย็นชาของบิดา เข้าใจรอยยิ้มเสแสร้งของแม่เลี้ยง เข้าใจความรังเกียจเดียดฉันท์ของน้องสาว และเข้าใจการเพิกเฉยของน้องชาย แต่การถูกทอดทิ้งและทำร้ายจิตใจมาตั้งแต่จำความได้ ได้กัดกร่อนความมั่นใจและความคิดของนางจนแทบไม่เหลือชิ้นดี นางเรียนรู้ที่จะเงียบ เรียนรู้ที่จะทำตัวให้เล็กที่สุดราวกับไม่มีตัวตน เพราะทุกครั้งที่นางพยายามจะพูดหรือทำอะไร มันมักจะจบลงด้วยการถูกดุด่าและเยาะเย้ยว่า "โง่เง่า" เสมอ
นางจึงเลือกที่จะขังตัวเองอยู่ในโลกใบเล็กๆ ของนาง โลกที่ไม่มีใครสนใจ และไม่มีใครทำร้ายนางได้... อย่างน้อยก็ไม่มากไปกว่าที่เป็นอยู่
แต่แล้ว ราชโองการประทานสมรสก็ทำลายกำแพงที่เปราะบางของนางลงจนหมดสิ้น
ฉินอ๋อง
นางเคยได้ยินเรื่องราวของเขาจากปากของสาวใช้ที่ลอบนินทากัน ชายผู้ถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ คนที่แม้แต่บิดาของนางซึ่งเป็นถึงเสนาบดียังต้องเกรงใจอยู่หลายส่วน ครอบครัวกำลังจะส่งนางจากขุมนรกหนึ่ง ไปยังขุมนรกที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า
นางค่อย ๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ร่างกายที่อ่อนแอปวดร้าวไปทุกส่วน นางมองไปยังถาดอาหารและถ้วยยาที่วางอยู่บนโต๊ะ อาหารที่เย็นชืดและยาที่ขมปี๋ มันคือทั้งหมดที่จวนแห่งนี้มอบให้นาง
หยดน้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาจากหางตาที่เหม่อลอย มันไม่ใช่หยดน้ำตาแห่งความเสียใจ แต่เป็นหยดน้ำตาแห่งความเหนื่อยล้า เหนื่อยเกินกว่าจะหายใจต่อไป เหนื่อยเกินกว่าจะแบกรับความเจ็บปวดใดๆ ได้อีกแล้ว
นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไปหยิบถ้วยยาขึ้นมา กลิ่นฉุนของมันลอยเข้าจมูกทำให้นางรู้สึกคลื่นเหียน ของเหลวสีดำสนิทในถ้วยดูคล้ายกับหมึกพิษที่พร้อมจะดับแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตของนาง
นางรู้ดีว่าในยานี้ไม่ได้มีเพียงสมุนไพรบำรุงร่างกาย มันถูกผสมด้วยยาพิษอ่อนๆ ทีละน้อยมานานหลายเดือนแล้วโดยคำสั่งลับๆ ของจ้าวฮูหยิน มันคือยาที่กัดกร่อนร่างกายและจิตใจของนางอย่างช้าๆ ทำให้นางอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนดูเหมือนคนป่วยใกล้ตาย เป็นวิธีที่แยบยลในการกำจัดนางให้พ้นทางโดยไม่มีใครสงสัย
แต่วันนี้... นางไม่คิดจะหลีกเลี่ยงมันอีกต่อไปแล้ว
การแต่งงานกับฉินอ๋อง... กับการดื่มยาพิษถ้วยนี้ให้หมดสิ้น... บางทีอย่างหลังอาจจะเป็นความเมตตาที่แท้จริงก็ได้
นางยกถ้วยยาขึ้นจรดริมฝีปากที่แห้งผาก ดวงตาที่ว่างเปล่าทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงม่านฝนสีเทาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก โลกทั้งใบดูเหมือนจะร้องไห้ไปกับชะตากรรมของนาง
ในเสี้ยววินาทีสุดท้ายก่อนที่ของเหลวสีดำจะไหลผ่านลำคอลงไป ภาพความทรงจำอันเลือนรางแวบเข้ามาในหัว... ภาพของสตรีงดงามผู้หนึ่งที่น่าจะเป็นมารดาผู้ล่วงลับ กำลังโอบกอดนางไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นที่สุดในโลก
“อิงเอ๋อร์ เจ้าคือสมบัติล้ำค่าที่สุดของแม่นะ”
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบสองแก้มที่ซูบตอบ นางหลับตาลง
...และดื่มยาพิษในถ้วยจนหมดสิ้น
ความขมปร่าบาดลึกลงไปในลำคอ ตามมาด้วยความเจ็บปวดที่บิดมวนในช่องท้องอย่างรุนแรง สติของนางเริ่มเลือนหายไป ความมืดมิดค่อยๆ คืบคลานเข้ามาจากทุกทิศทาง ร่างของนางล้มฟุบลงบนพื้นไม้ที่เย็นเฉียบ
เสียงฝนด้านนอกยังคงดังต่อไป... แต่เสียงไอและเสียงลมหายใจที่รวยรินภายในเรือนซิงอวิ๋น... ได้เงียบหายไปตลอดกาล
ในจวนเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่... เถ้าธุลีชิ้นหนึ่งได้สลายไปในสายฝนอย่างเงียบงัน โดยไม่มีผู้ใดรับรู้หรือใส่ใจ
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ในเถ้าธุลีที่ดับสูญนั้น ประกายไฟดวงใหม่จากอีกโลกหนึ่ง กำลังจะถูกจุดขึ้นมาแทนที่
มืดจังมันไม่ใช่ความมืดใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท หรือความมืดในห้องที่ไร้แสงเทียน มันคือความมืดอันเป็นนิรันดร์ เป็นสุญญากาศที่ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา และไร้ตัวตนความรู้สึกสุดท้ายของ ‘น้ำหวาน’ หรือ แพทย์หญิงจุฬา ศิริวัฒนกุล คือความร้อนระอุที่แผดเผาผิวหนัง เสียงแก้วแตกละเอียดดุจเสียงอสุนีบาตฟาดผ่านกลางห้องปฏิบัติการ กลิ่นสารเคมีที่คุ้นเคยแปรเปลี่ยนเป็นไอพิษมรณะ และภาพสุดท้ายคือเปลวไฟสีส้มแดงที่ลามเลียเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงสู่ความว่างเปล่าอันสมบูรณ์นางควรจะตายแล้วแน่ ใช่ นางมั่นใจว่าตนเองตายแล้ว การระเบิดในห้องแล็บนิติวิทยาศาสตร์ระดับนั้นไม่เหลือโอกาสให้ใครรอดชีวิตแต่ในความมืดมิดอันเป็นอนันต์นี้ กลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหวมันไม่ใช่ภาพ ไม่ใช่เสียง แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ที่ไหลบ่าเข้ามาในมโนสำนึกที่ไร้รูปร่างของนาง ความรู้สึกเย็นเยียบของการถูกทอดทิ้ง ความขมขื่นของหยดน้ำตาที่ไม่มีใครเห็น เสียงกระซิบเยาะเย้ยที่ก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำลึก ความอบอุ่นจางๆ ของอ้อมกอดหนึ่งที่เลือนรางจนแทบจับต้องไม่ได้ และรสขมปร่าของยาพิษที่แผดเผาตั้งแต่ปลายลิ้นจรดช่องท้องข้อมูลมหาศาลที่ไม
สายฝนพรำลงมาไม่ขาดสาย สาดซัดม่านน้ำสีเทาหม่นคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวงต้าจิง หลังคาดินเผาสีเข้มของหมู่ตึกระฟ้าและจวนขุนนางชั้นสูงสะท้อนเงาของเมฆฝนที่ลอยต่ำ กลืนกินสีสันสดใสของวันวานจนหมดสิ้น เสียงหยาดฝนกระทบกระเบื้องมุงหลังคาดังเป็นจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ คล้ายเสียงถอนหายใจอันยาวนานของแผ่นดินที่กำลังเหนื่อยล้าบนถนนหินฉิงสือที่เปียกลื่น ผู้คนเดินขวักไขว่บางตากว่าปกติ พ่อค้าหาบเร่ต่างรีบเก็บแผงลอยของตนหลบเข้าชายคา รถม้าของขุนนางผู้มั่งคั่งเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งรอยล้อเปื้อนโคลนไว้เบื้องหลัง บรรยากาศของเมืองหลวงที่เคยคึกคักและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา บัดนี้กลับดูซบเซาและแฝงเร้นไว้ด้วยความตึงเครียดบางอย่างที่มองไม่เห็นความตึงเครียดนี้ไม่ได้มาจากเมฆฝนเพียงอย่างเดียว แต่มันซึมลึกอยู่ในอากาศที่ผู้คนหายใจเข้าไป เป็นเงาที่ทอดทับอยู่เหนือทุกการสนทนาในโรงเตี๊ยมและร้านน้ำชา ข่าวลือเรื่องศึกสายเลือดที่กำลังก่อตัวขึ้นในวังหลวงระหว่างองค์รัชทายาทผู้เปี่ยมบารมี กับเหล่าท่านอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แพร่สะพัดไปราวน้ำป่าไหลหลาก และในบรรดาชื่อของท่านอ๋องทั้งหลาย ไม่มีชื่อใดที่จะทำให้ผู้ค