มืดจัง
มันไม่ใช่ความมืดใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท หรือความมืดในห้องที่ไร้แสงเทียน มันคือความมืดอันเป็นนิรันดร์ เป็นสุญญากาศที่ไร้ขอบเขต ไร้กาลเวลา และไร้ตัวตน
ความรู้สึกสุดท้ายของ ‘น้ำหวาน’ หรือ แพทย์หญิงจุฬา ศิริวัฒนกุล คือความร้อนระอุที่แผดเผาผิวหนัง เสียงแก้วแตกละเอียดดุจเสียงอสุนีบาตฟาดผ่านกลางห้องปฏิบัติการ กลิ่นสารเคมีที่คุ้นเคยแปรเปลี่ยนเป็นไอพิษมรณะ และภาพสุดท้ายคือเปลวไฟสีส้มแดงที่ลามเลียเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลงสู่ความว่างเปล่าอันสมบูรณ์
นางควรจะตายแล้วแน่ ใช่ นางมั่นใจว่าตนเองตายแล้ว การระเบิดในห้องแล็บนิติวิทยาศาสตร์ระดับนั้นไม่เหลือโอกาสให้ใครรอดชีวิต
แต่ในความมืดมิดอันเป็นอนันต์นี้ กลับมีบางสิ่งเคลื่อนไหว
มันไม่ใช่ภาพ ไม่ใช่เสียง แต่เป็น ‘ความรู้สึก’ ที่ไหลบ่าเข้ามาในมโนสำนึกที่ไร้รูปร่างของนาง ความรู้สึกเย็นเยียบของการถูกทอดทิ้ง ความขมขื่นของหยดน้ำตาที่ไม่มีใครเห็น เสียงกระซิบเยาะเย้ยที่ก้องอยู่ในหัวราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำลึก ความอบอุ่นจางๆ ของอ้อมกอดหนึ่งที่เลือนรางจนแทบจับต้องไม่ได้ และรสขมปร่าของยาพิษที่แผดเผาตั้งแต่ปลายลิ้นจรดช่องท้อง
ข้อมูลมหาศาลที่ไม่ใช่ของนางถาโถมเข้ามาดุจคลื่นยักษ์ มันคือชีวิตทั้งชีวิตของใครคนหนึ่ง เด็กสาวที่ชื่อ ‘จ้าวลี่อิง’ ความทรงจำที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความสิ้นหวัง และความปรารถนาที่จะหลุดพ้น ทั้งหมดนี้หลอมรวมเข้ากับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของนาง กลายเป็นกระแสธารที่หมุนวนอยู่ในความมืด
ฉับพลัน ความเจ็บปวดก็บังเกิด
มันไม่ใช่ความเจ็บปวดจากเปลวไฟ แต่เป็นความเจ็บปวดที่บิดมวนและแผดเผาจากภายใน ราวกับมีถ่านไฟร้อนๆ ถูกสาดลงไปในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ความทรมานทางกายภาพที่รุนแรงนี้กระชากจิตของหมอฟ้าออกจากภวังค์อันเป็นนามธรรม บังคับให้นางกลับคืนสู่ ‘ร่างกาย’ ที่ไม่ใช่ของนาง
ความรู้สึกแรกที่กลับมาอย่างเต็มรูปแบบคือ ‘สัมผัส’ พื้นไม้เย็นเฉียบและหยาบกระด้างกดทับอยู่บนแผ่นหลังและแก้ม ความชื้นจากอากาศที่หนาวเย็นแทรกซึมผ่านเนื้อผ้าบางเบาจนรู้สึกสะท้านไปถึงกระดูก
ตามมาด้วย ‘การได้ยิน’ เสียงสายฝนที่ตกกระทบหลังคายังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง เป็นเสียงเดียวที่เชื่อมต่อโลกภายนอกกับความทรมานภายในร่างกายนี้
และ ‘การได้กลิ่น’ กลิ่นอับชื้นของไม้เก่า กลิ่นฝุ่นที่คลุ้งอยู่ในอากาศ และกลิ่นขมเหม็นเขียวจางๆ ที่ติดอยู่ริมฝีปาก... กลิ่นของยาพิษ
ในฐานะแพทย์นิติเวชผู้ชันสูตรศพมานับไม่ถ้วนและเชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา สัญชาตญาณของเธอทำงานก่อนความสับสนส่วนตัวจะก่อตัวขึ้นเสียอีก จิตใต้สำนึกเริ่มวิเคราะห์อาการของร่างกายที่สิงสู่อยู่โดยอัตโนมัติ
‘...ความรู้สึกแสบร้อนรุนแรงในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร... บ่งชี้ถึงสารพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อน...’
‘...หัวใจเต้นเร็วและไม่เป็นจังหวะ สัญญาณของสารพิษที่มีผลต่อหัวใจโดยตรง’
‘...กล้ามเนื้อสั่นกระตุก... การหายใจตื้นและถี่... เริ่มมีภาวะตัวเขียวที่ปลายเล็บ ร่างกายกำลังขาดออกซิเจนอย่างรุนแรง...’
สมองประมวลผลอย่างรวดเร็วราวกับคอมพิวเตอร์ รายชื่อของสารพิษพรั่งพรูขึ้นมาในหัว ‘...อาจเป็นพิษจากยางน่องหรือกลุ่มดิจิทาลิสจากต้นถุงมือจิ้งจอก หรือไม่ก็อาจเป็นพิษกลุ่มอัลคาลอยด์ที่สกัดจากพืชหลายชนิดผสมกัน... เป็นสูตรยาพิษที่ออกแบบมาอย่างแยบยลเพื่อให้ดูเหมือนอาการของโรคหัวใจกำเริบ...’
แล้วเธอก็ตระหนักถึงความจริงอันน่าหวาดหวั่น ร่างกายนี้กำลังจะตาย อาการร่อแร่เต็มที มันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของภาวะพิษเฉียบพลัน และจิตเดิมของเจ้าของร่างก็ได้ยอมจำนนต่อความตายไปแล้วโดยสมบูรณ์
แต่เธอยังไม่ยอมหรอก!
สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดและจรรยาบรรณแพทย์ที่ฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณของนางกรีดร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง นางเป็นหมอ หน้าที่ของนางคือการต่อสู้กับความตาย ไม่ใช่การยอมจำนนต่อมัน
“ไม่... ยัง... ยังไม่ตาย...” เสียงที่เปล่งออกมาแหบพร่าและเบาหวิวราวกับเสียงลมลอดผ่านซี่หน้าต่าง มันไม่ใช่เสียงของเธอ แต่เป็นเสียงของเด็กสาวที่ชื่อจ้าวลี่อิง
ต้องรีบขับพิษออกจากร่างกายให้เร็วที่สุด วิธีพื้นฐานคือการทำให้อาเจียน
เด็กสาวพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี พลิกร่างที่หนักอึ้งราวกับก้อนหินให้คว่ำลง กล้ามเนื้อทุกมัดกรีดร้องอย่างประท้วง เธอใช้ข้อศอกยันพื้นเพื่อยกช่วงบนขึ้น ความเจ็บปวดในช่องท้องทวีความรุนแรงขึ้นราวกับถูกแทงด้วยมีดที่ร้อนแดง เธอกัดฟันแน่นจนกรามสั่น พยายามใช้นิ้วมือที่ผอมซีดและสั่นเทาของร่างใหม่ล้วงเข้าไปในลำคอ
อึก!
มันเป็นความพยายามที่น่าสมเพชในครั้งแรก ร่างกายอ่อนแอเกินกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ไม่ยอมแพ้ เธอทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้พลังใจทั้งหมดบังคับร่างกายที่กำลังจะสิ้นลมให้ต่อสู้ ในที่สุด กล้ามเนื้อกระเพาะก็เกิดการบีบตัวอย่างรุนแรง
“อ้วก!”
ของเหลวสีคล้ำขมปี๋พุ่งทะลักออกมาจากปากเปรอะเปื้อนพื้นไม้เบื้องหน้า พร้อมกับเศษอาหารเล็กน้อย กลิ่นของมันยิ่งยืนยันการวินิจฉัยเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน เธออาเจียนซ้ำอีกสองสามครั้งจนไม่มีอะไรออกมานอกจากน้ำดีสีเหลือง ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เหงื่อกาฬแตกซึมทั่วทั้งตัวจนเสื้อผ้าเปียกชื้น
เธอนอนหอบหายใจอยู่บนพื้น ร่างกายเปลี้ยไปหมด แต่สมองยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง ขับพิษส่วนที่ยังไม่ดูดซึมออกไปแล้ว... แต่พิษที่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วยังคงทำลายระบบต่างๆ ในร่างกาย... ต้องการสารลดความเป็นกรด หรือตัวดูดซับพิษ เช่น ถ่านกัมมันต์
แน่นอนว่าในห้องที่ดูโบราณและรกร้างนี้ไม่มีของเหล่านั้นแน่
อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้นางต้องดื่มน้ำเข้าไปมากๆ เพื่อเจือจางพิษที่เหลืออยู่ และป้องกันภาวะขาดน้ำจากการอาเจียน
น้ำ... นางต้องการน้ำ...
กวาดสายตาที่พร่ามัวไปรอบห้อง แสงสลัวที่ลอดผ่านหน้าต่างกระดาษพอจะทำให้นางมองเห็นเค้าโครงของเฟอร์นิเจอร์ไม้ได้ บนโต๊ะเตี้ยๆ ไม่ไกลจากจุดที่นางนอนอยู่ มีถาดอาหารวางอยู่ และที่สำคัญกว่านั้น... มีกาน้ำชาและถ้วยชาวางอยู่ด้วย!
เป้าหมายอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แต่มันกลับดูไกลราวกับสุดขอบฟ้าสำหรับร่างกายที่ใกล้จะแตกสลายนี้
แต่ไส้ในเธอคือผู้หญิงที่เคยทำงานติดต่อกัน 48 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก คือคนที่เคยเผชิญหน้ากับความตายของคนไข้มานับครั้งไม่ถ้วน ความมุ่งมั่นของนางแข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้า
นางเริ่มคลาน...
มันคือภาพที่น่าเวทนาอย่างที่สุด เด็กสาวในชุดผ้าเนื้อบางที่เปรอะเปื้อน ค่อยๆ ลากร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงไปข้างหน้าทีละคืบ เสี้ยนไม้บนพื้นครูดไปกับฝ่ามือและหัวเข่า แต่ความเจ็บปวดเพียงเล็กน้อยนั้นเทียบไม่ได้เลยกับความทรมานที่อยู่ภายใน ทุกครั้งที่ขยับตัว กล้ามเนื้อหัวใจจะบีบตัวอย่างเจ็บปวดจนจุกแน่นหน้าอก แต่ในใจของนางมีเพียงความคิดเดียว... ไปให้ถึงกาน้ำชา
ในที่สุด ปลายนิ้วที่สั่นเทาก็สัมผัสกับขอบโต๊ะไม้ที่เย็นชืด นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายยันตัวขึ้น คว้ากาน้ำชาดินเผาที่หนักอึ้งขึ้นมาอย่างทุลักทุเล มือของนางสั่นมากจนแทบจะทำมันหล่น แต่ก็สามารถรินชาที่เย็นชืดสนิทแล้วลงในถ้วยได้สำเร็จ
นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างไม่คิดชีวิต ของเหลวเย็นๆ ไหลผ่านลำคอที่แสบร้อนลงไป ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้เพียงเล็กน้อย แต่มันคือ ‘ชีวิต’ มันคือสิ่งที่ร่างกายนี้ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ นางดื่มจนหมดถ้วย แล้วรินดื่มอีก... อีก... จนกระทั่งชาในกาหมดเกลี้ยง
เมื่อความต้องการทางกายภาพที่เร่งด่วนที่สุดได้รับการตอบสนอง หมอฟ้าจึงทิ้งตัวลงนอนพิงขาโต๊ะอย่างหมดแรง นางหลับตาลง พยายามควบคุมจังหวะการหายใจของตนเองให้ช้าและลึกขึ้นตามหลักการแพทย์ เพื่อให้หัวใจที่เต้นระรัวราวกับกลองสงครามค่อยๆ สงบลง
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ ในที่สุดความเจ็บปวดที่ทุรนทุรายก็ค่อยๆ บรรเทาลงสู่ระดับที่พอจะทนไหว แม้จะยังรู้สึกอ่อนเพลียราวกับร่างกายจะสลายไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ แต่อย่างน้อยที่สุด... นางก็รอดแล้ว
และเมื่อนั้นเอง... ความสับสนอย่างแท้จริงก็ถาโถมเข้ามา
น้ำหวานลืมตาขึ้นอีกครั้ง คราวนี้สติของนางแจ่มชัดขึ้นมากพอที่จะสำรวจสภาพแวดล้อมได้อย่างละเอียด ห้องนี้ทำจากไม้ทั้งหมด ผนังเป็นแผ่นไม้เก่าๆ หน้าต่างกรุด้วยกระดาษที่บางจนเห็นเงาไม้ไหวนอกหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นมีรูปแบบที่นางเคยเห็นแต่ในพิพิธภัณฑ์หรือภาพยนตร์ย้อนยุคเท่านั้น
นี่มันไม่ใช่โรงพยาบาล... ไม่ใช่บ้านของนาง... และไม่ใช่สถานที่ใดๆ ในประเทศไทยศตวรรษที่ 21 ที่นางรู้จัก
นางก้มลงมองมือของตนเอง... มือคู่หนึ่งที่ขาวซีดและเรียวเล็กราวกับลำเทียน ไม่มีร่องรอยแผลเป็นหรือผิวหนังที่หยาบกร้านจากการทำงานในห้องแล็บ ไม่มีนาฬิกาข้อมือเรือนโปรด... นี่ไม่ใช่มือของนาง
หัวใจที่เพิ่งจะสงบลงกลับมาเต้นแรงอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก นางกวาดสายตาไปทั่วห้องอย่างลนลาน และหยุดลงที่วัตถุชิ้นหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งที่มุมห้อง... คันฉ่องทองเหลืองที่ขัดเงาจนสะท้อนภาพได้แม้จะมัวไปบ้าง
นางใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดพยุงตัวเองลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง มือที่สั่นเทาเอื้อมไปหยิบคันฉ่องขึ้นมาถือไว้เบื้องหน้า
ภาพที่สะท้อนกลับมาทำให้นางแทบหยุดหายใจ
ในคันฉ่องนั้นคือใบหน้าของเด็กสาวแปลกหน้าคนหนึ่ง... เด็กสาวอายุราวสิบห้าสิบหกปี แม้จะซีดเซียวซูบผอมจนแก้มตอบ ริมฝีปากแห้งแตก และรอบดวงตามีรอยคล้ำ แต่ก็ไม่อาจปิดบังเค้าโครงความงามที่ซ่อนอยู่ได้ ดวงตากลมโตคู่สวยที่บัดนี้เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ขนตางอนยาว จมูกโด่งรั้น และริมฝีปากบางเป็นกระจับ...
นางคือ... จ้าวลี่อิง
‘...เป็นไปไม่ได้...’ ความคิดแรกคือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ‘...ภาพหลอน... เราต้องอยู่ในอาการโคม่าจากการระเบิดแน่ๆ สมองขาดออกซิเจนจนสร้างภาพหลอนที่ซับซ้อนขึ้นมา...’
นางหลับตาลงแน่น แล้วลืมตาขึ้นใหม่ ภาพในคันฉ่องยังคงเป็นเช่นเดิม
‘...หรือว่า...’ ความคิดที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่สุดผุดขึ้นมาในหัว ‘...การทะลุมิติ... เหมือนในนิยายที่เคยอ่านฆ่าเวลา...’
มันเป็นความคิดที่ไร้สาระและขัดต่อหลักวิทยาศาสตร์ทุกแขนงที่นางเคยร่ำเรียนมา แต่ยิ่งนางพยายามปฏิเสธมันมากเท่าไหร่ ความทรงจำและความรู้สึกของจ้าวลี่อิงที่หลั่งไหลเข้ามาในตอนแรกก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นราวกับเป็นเรื่องราวของตัวเอง
ชื่อของบิดา... จ้าวหยวนซาน... เสนาบดีฝ่ายขวาผู้เย็นชา ชื่อของแม่เลี้ยง... จ้าวฮูหยิน... สตรีผู้ซ่อนมีดไว้หลังรอยยิ้ม ชื่อของพี่สาว... จ้าวลี่เฟิ่ง... หงส์เพลิงผู้หยิ่งทระนง และชื่อของ... ฉินอ๋อง... บุรุษที่ถูกขนานนามว่าเป็นปีศาจ... คู่หมั้นของร่างนี้
ทุกอย่างปะติดปะต่อกันเป็นภาพที่สมบูรณ์และน่าขนลุก
ตัวตนของน้ำหวานได้ตายไปแล้วจริงๆ ในเปลวเพลิงที่ห้องแล็บ และด้วยเหตุผลกลใดที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ จิตวิญญาณของนางได้เดินทางข้ามผ่านกาลเวลา มาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวจีนยุคโบราณที่เพิ่งจะสิ้นใจจากการดื่มยาพิษ
คันฉ่องทองเหลืองร่วงหล่นจากมือที่ไร้เรี่ยวแรง กระทบพื้นไม้เสียงดังแกร๊ง!
นางทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพิงโต๊ะเครื่องแป้ง ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาจนแทบจะรับไม่ไหว ความเสียใจต่อการตายของตัวเอง... ความคิดถึงครอบครัวในโลกเก่า... ความสับสนต่อสถานการณ์ปัจจุบัน... ความหวาดกลัวต่ออนาคตที่ไม่รู้จัก... และความสงสารอย่างจับใจต่อเด็กสาวที่ชื่อจ้าวลี่อิง เจ้าของร่างคนเดิมที่ต้องจบชีวิตลงด้วยความสิ้นหวัง
นางนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ปล่อยให้ความคิดและความรู้สึกที่ปั่นป่วนค่อยๆ ตกตะกอนลง สมองของนักวิทยาศาสตร์ในตัวนางเริ่มทำงานอีกครั้ง พยายามจัดระเบียบข้อมูลและวิเคราะห์สถานการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล
‘ข้อเท็จจริงที่หนึ่ง: เราตายแล้วในโลกเดิม’ ‘ข้อเท็จจริงที่สอง: เรามาอยู่ในร่างของเด็กสาวคนหนึ่งในยุคที่น่าจะเป็นจีนโบราณ’ ‘ข้อเท็จจริงที่สาม: เด็กสาวคนนี้ถูกวางยาพิษอย่างช้าๆ มาเป็นเวลานาน และเพิ่งจะฆ่าตัวตายด้วยยาพิษที่แรงขึ้นเมื่อครู่นี้’ ‘ข้อเท็จจริงที่สี่: เรา... ในร่างนี้... กำลังจะถูกส่งไปแต่งงานกับบุรุษที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายและพิการ’
‘สรุป: สถานการณ์อยู่ในขั้นเลวร้ายที่สุด’
แต่ในความเลวร้ายนั้น... ก็ยังมีประกายไฟแห่งความหวังอยู่หนึ่งดวง
นางรอดชีวิตมาได้
ไม่ว่าจะด้วยปาฏิหาริย์หรือความบังเอิญก็ตาม แต่นางสามารถเอาชนะยาพิษและยื้อชีวิตของร่างนี้กลับมาได้ นั่นหมายความว่านางยังมีโอกาส... โอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
ขณะที่นางกำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามาอย่างแรงอีกครั้ง
“กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องแหลมเล็กดังขึ้นจากสาวใช้สองคนที่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่หน้าประตู พวกนางคือเสี่ยวหลิงและเสี่ยวชุ่ยที่กลับมาเพื่อจะเก็บถาดอาหารและ... ตรวจสอบผลงาน
ภาพที่พวกนางเห็นคือคุณหนูสามที่ควรจะนอนตายอย่างสงบอยู่บนเตียง บัดนี้กลับนั่งพิงโต๊ะเครื่องแป้งอยู่บนพื้น แม้จะดูอ่อนแอและซีดเซียวราวกับภูตผี แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเปิดอยู่และมองตรงมาที่พวกนาง บนพื้นมีร่องรอยของอาเจียนและถ้วยยาที่ว่างเปล่าตกอยู่
“ผะ... ผี! ผีหลอก!” เสี่ยวชุ่ยร้องเสียงหลง ใบหน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ
“หุบปาก!” เสี่ยวหลิงตวาดแฝดน้อง แม้น้ำเสียงของนางจะสั่นเครือไม่แพ้กัน “นาง... นางยังไม่ตาย!” ดวงตาของเสี่ยวหลิงเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกและไม่เชื่อสายตา นางมองไปยังถ้วยยาที่ว่างเปล่า แล้วกลับมามองที่ใบหน้าของจ้าวลี่อิงอีกครั้ง
เป็นไปได้อย่างไร? ยาถ้วยนั้น... ฮูหยินรับประกันเองว่ามันแรงพอที่จะล้มวัวได้! เหตุใดคุณหนูสามที่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วถึงยังรอดชีวิตมาได้?
น้ำหวาน... หรือจ้าวลี่อิงในตอนนี้... มองปฏิกิริยาของสาวใช้ทั้งสองด้วยสายตาที่เยือกเย็นและเฉียบคมผิดกับจ้าวลี่อิงคนเดิมโดยสิ้นเชิง นางไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่มองพวกนางนิ่งๆ และวิเคราะห์
‘...ปฏิกิริยาแรกคือความตกใจและหวาดกลัว ไม่ใช่ความดีใจหรือโล่งอก... ยืนยันว่าพวกนางรู้เห็นเรื่องยาพิษ...’
‘...แววตาของคนพี่ (เสี่ยวหลิง) เปลี่ยนจากความกลัวเป็นความตื่นตระหนกที่ซับซ้อนกว่า... นางไม่ได้กลัวผี แต่นางกลัวผลที่จะตามมา... แสดงว่านางอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องมากกว่าแค่การเป็นคนส่งยา...’
‘...ส่วนคนน้อง (เสี่ยวชุ่ย) ดูหวาดกลัวอย่างแท้จริง... อาจจะเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดที่ขี้ขลาด...’
นี่คือการประเมินสถานการณ์คร่าว ๆ การสังเกตพฤติกรรมของพยานหรือผู้ต้องสงสัย
ความเงียบของนางยิ่งทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดและน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นสำหรับสาวใช้ทั้งสอง จ้าวลี่อิงคนเดิมนั้นขี้อายและไม่สู้คน แต่นี่... ดวงตาคู่นั้นนิ่งสงบและลึกล้ำเกินกว่าที่พวกนางจะเข้าใจได้ มันราวกับว่าพวกนางกำลังถูกจ้องมองโดยสัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด ไม่ใช่ลูกแกะที่ป่วยใกล้ตายอีกต่อไป
ในที่สุด น้ำหวานก็ตัดสินใจที่จะทำลายความเงียบ นางรู้ว่าการเปิดเผยตัวตนหรือแสดงความฉลาดหลักแหลมออกไปในตอนนี้คือการฆ่าตัวตายชัดๆ วิธีที่ดีที่สุดคือการเล่นไปตามน้ำ... แสร้งทำเป็นอ่อนแอและสับสนต่อไป
นางค่อยๆ เปิดริมฝีปากที่แห้งผากของตนเองออก เปล่งเสียงที่แหบพร่าและสั่นเครือออกมาคำหนึ่ง...
“...น้ำ...”
เพียงคำเดียวสั้นๆ แต่มันกลับมีพลังราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจของสาวใช้ทั้งสอง มันเป็นการยืนยันว่านางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ และยังมีความต้องการ
“ขะ... ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนูใหญ่!” เสี่ยวหลิงได้สติเป็นคนแรก นางรีบค้อมตัวลงอย่างลนลาน "บ่าว... บ่าวจะรีบไปนำน้ำมาให้เดี๋ยวนี้!"
พูดจบนางก็รีบคว้าแขนของเสี่ยวชุ่ยที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่แล้วลากออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับหนีไฟไหม้ ทิ้งให้จ้าวลี่อิงอยู่ตามลำพังกับความเงียบอีกครั้ง
นางรู้ดีว่าพวกนางไม่ได้จะไปเอาน้ำมาให้จริงๆ แต่จะรีบไปรายงานเรื่องนี้ให้ ‘ผู้บงการ’ ที่อยู่เบื้องหลังได้ทราบ... รายงานว่า ‘ปัญหา’ ที่ควรจะถูกกำจัดไปแล้ว กลับยังคงมีชีวิตอยู่
หมอฟ้าค่อยๆ พยุงตัวเองกลับไปที่เตียงอย่างยากลำบาก นางทิ้งตัวลงบนที่นอนที่แข็งกระด้างและเย็นชืด ร่างกายอ่อนล้าเกินกว่าจะขยับได้อีก แต่ในใจของนางกลับไม่ได้รู้สึกสิ้นหวังเหมือนเจ้าของร่างคนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ตรงกันข้าม... มันกลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
นางมองไปรอบๆ ห้องที่ซอมซ่อ... มองไปยังชุดเสื้อผ้าเก่าๆ ที่วางพับอยู่... มองไปยังคันฉ่องที่ตกอยู่บนพื้น... นี่คือโลกใหม่ของนาง คือชีวิตใหม่ ชีวิตที่แย่งชิงกลับมาจากเงื้อมมือของความตาย
สายฝนด้านนอกเริ่มซาลงแล้ว แสงแดดอ่อนๆ เริ่มสาดส่องผ่านรอยขาดของกระดาษหน้าต่างเข้ามาเป็นลำแสงเล็กๆ ตกกระทบลงบนฝุ่นที่ลอยอยู่ในอากาศ
มันเป็นเพียงแสงสว่างเพียงน้อยนิด... แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะผ่านความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์มา... มันก็สว่างจ้าเพียงพอแล้ว
‘จ้าวลี่อิง...’ นางเอ่ยชื่อนั้นในใจอย่างเงียบงัน ‘...ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเธอ... แต่ในเมื่อฉันได้รับชีวิตของเธอมาแล้ว ฉันขอให้คำสัตย์...’
นางหลับตาลง ภาพใบหน้าอันเจ็บปวดและสิ้นหวังของเจ้าของร่างคนเดิมปรากฏขึ้นมาในความคิด
‘ฉันจะใช้ชีวิตนี้ต่อไป... ชีวิตที่เธอถูกพรากไป... และในฐานะหมอ... ในฐานะพยานเพียงคนเดียวที่รู้ความจริง... ฉันขอสาบานด้วยจิตวิญญาณของฉัน... ฉันจะสืบหาความจริงเบื้องหลังการตายของเธอให้ได้...’
ดวงตาที่เคยเหม่อลอยและว่างเปล่า บัดนี้ทอประกายแห่งความเด็ดเดี่ยวและเฉียบคมขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
‘คดีนี้... ฉันจะเป็นคนปิดมันเอง’
ในจวนเสนาบดีที่ยิ่งใหญ่... ในเรือนซิงอวิ๋นที่ถูกลืมเลือน... เถ้าธุลีที่เคยดับสูญได้ถูกจุดขึ้นเป็นประกายไฟดวงใหม่อีกครั้ง มันเป็นเพียงประกายไฟเล็กๆ ที่ริบหรี่... แต่ก็พร้อมที่จะแผดเผาทุกความอยุติธรรมที่ขวางหน้าให้มอดไหม้เป็นจุล
ราตรีนั้นในเรือนหนังสือของฉินอ๋องเจิ้งหยาง ยาวนานและเงียบงันกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เขามิได้อ่านตำราพิชัยสงครามต่อ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่บนรถเข็น ปล่อยให้เปลวเทียนสะท้อนประกายวูบไหวอยู่ในนัยเนตรอันลึกล้ำดุจห้วงเหวไร้ที่สิ้นสุด บรรยากาศรอบกายเขาเยียบเย็นลงจนน่าอึดอัด ประหนึ่งพญามังกรที่กำลังขดตัวนิ่งสงบ ทว่าแท้จริงแล้วภายในกำลังครุ่นคิดถึงพายุที่จะก่อตัวขึ้นคำถามนั้น... ‘เหตุใดคนที่ตกบ่อน้ำจึงไม่มีน้ำอยู่ในปอดเล่าเจ้าคะ’... ยังคงดังก้องอยู่ในมโนสำนึกของเขามันไม่ใช่คำถามธรรมดา มันคือความรู้ คือกุญแจ คือคำใบ้ที่ถูกส่งมาอย่างจงใจในรูปแบบที่วิปลาสที่สุด มันคือเสียงกระซิบจากปัญญาอันคมกริบที่ซ่อนกายอยู่ภายใต้หน้ากากของความโง่เขลาอันสมบูรณ์แบบจ้าวลี่อิง... พระชายาที่เขาได้รับมาดุจสินค้ามีตำหนิ สตรีที่ถูกส่งมาเพื่อเป็นเพียงหมากทางการเมืองและเป็นที่ดูแคลนของคนทั้งใต้หล้า บัดนี้นางได้เผยตัวตนอีกด้านหนึ่งออกมาอย่างแยบยล...ด้านที่น่าพรั่นพรึงและน่าสนใจในเวลาเดียวกันเขาไม่เชื่อในเรื่องบังเอิญ และไม่เคยเชื่อว่าความตายในจวนของเขาจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ จวนฉินอ๋องคืออาณาจักรของเขา ทุกความเคลื่อนไหวอยู่ในสา
ราตรีนั้นในเรือนจื่อเวยยาวนานกว่าทุกคืนที่ผ่านมา จ้าวลี่อิงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักลายอันวิจิตร ดวงตาของนางเปิดกว้างอยู่ในความมืดมิด ภาพของสาวใช้ผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกดึงขึ้นมาจากบ่อน้ำยังคงฉายชัดอยู่ในมโนสำนึกของนางราวกับถูกตีตราไว้ด้วยเหล็กร้อน...รอยช้ำที่ข้อมือ, รอยแดงที่ลำคอ, และมือที่กำแน่น...ความเงียบของจวนฉินอ๋องที่เคยทำให้นางรู้สึกถึงการถูกคุกคาม บัดนี้กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มันคือความเงียบแห่งการสมรู้ร่วมคิด คือความสงบอันน่าสะพรึงกลัวที่ใช้กลบฝังเสียงกรีดร้องของผู้บริสุทธิ์ในฐานะแพทย์ผู้เคยให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องชีวิต จิตวิญญาณของนางร่ำร้องโหยหวนต่อความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ในฐานะจ้าวลี่อิงผู้ต้องเอาชีวิตรอดในรังอสรพิษแห่งนี้ สัญชาตญาณกลับกรีดร้องให้นางนิ่งเงียบเข้าไว้ การยื่นมือเข้าไปสอดส่องเรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าสู่ปากเหวด้วยตนเอง นางเป็นเพียงพระชายาที่ถูกทอดทิ้ง ถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไร้ซึ่งอำนาจและเส้นสายใดๆ ในจวนแห่งนี้ การเปิดโปงฆาตกรคือการท้าทายอำนาจมืดที่หยั่งรากลึกอยู่ ณ ที่แห่งนี้โดยตรง และผลลัพธ์ก็อาจหมายถึงความตายสถานเดียวนางหลับตา
เมื่อบานประตูไม้หนักอึ้งปิดลง เสียงของมันสะท้อนก้องอยู่ในความเงียบงันราวกับเสียงปิดฝาโลงศพ ตัดขาดโลกของห้องหออันโอ่อ่าออกจากทุกสิ่งภายนอกโดยสมบูรณ์ บัดนี้ เหลือเพียงจ้าวลี่อิงและเสี่ยวชุ่ยผู้กำลังตัวสั่นเทาอยู่กลางห้องที่เต็มไปด้วยสีแดงมงคลอันเยียบเย็น"คุณหนู... ฮือ... ที่นี่... ที่นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน" เสี่ยวชุ่ยสะอื้นไห้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดผวา "บ่าวได้ยินพวกเขาพูดกันว่า... พระชายาองค์ก่อนก็สิ้นใจในเรือนหลังนี้ ท่านอ๋องก็ไม่เคยเสด็จมาที่นี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว"จ้าวลี่อิงหันไปมองสาวใช้ผู้ภักดีของนาง นางมิได้เอ่ยวาจาปลอบโยน แต่ยื่นมือไปบีบแขนของเสี่ยวชุ่ยเบาๆ เป็นการส่งผ่านความมั่นคงที่ไร้คำพูด จากนั้นนางจึงหันกลับมาสำรวจสภาพแวดล้อมแห่งใหม่ของนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นี่ไม่ใช่ห้องหอสำหรับนาง แต่คือที่เกิดเหตุ คือห้องขัง และอาจเป็น...สุสานของนางในอนาคต หากนางประมาทแม้เพียงนิดเดียวนางค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนขอบเตียง ยกมือขึ้นถอดมงกุฎหงส์อันหนักอึ้งออกจากศีรษะอย่างช้าๆ แล้ววางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง ความเงียบในห้องหอแห่งนี้ดังกว่าเสียงโห่ร้องใดๆ ที่นางเคยได้ยินมาทั้งชีวิต
กาลเวลาในจวนเสนาบดีดูจะบิดเบี้ยวและเชื่องช้าลงนับตั้งแต่วันที่จ้าวลี่อิงได้สนทนากับบิดาในเรือนหนังสือของเขา แต่ในที่สุด วันแห่งพิธีสมรสพระราชทานก็คืบคลานมาถึงราวกับพญามัจจุราชในอาภรณ์สีมงคลจ้าวลี่อิงถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำหมึก เหล่านางกำนัลและบ่าวรับใช้ที่ฮูหยินรองส่งมาต่างกรูกันเข้ามาในห้องของนาง ประหนึ่งฝูงผึ้งที่กำลังรุมล้อมดอกไม้ที่ใกล้จะร่วงโรย พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วยเครื่องประทินผิวชั้นเลิศ อบร่ำร่างกายด้วยเครื่องหอมกำยานราคาแพง แล้วบรรจงสวมทับอาภรณ์สีแดงสดอันเป็นมงคลให้ทีละชั้นๆชุดวิวาห์นั้นงดงามและหนักอึ้งอย่างเหลือเชื่อ ผ้าไหมปักดิ้นทองเป็นลายหงส์คู่มังกรสยายปีก แขนเสื้อยาวลากพื้น ชายกระโปรงซ้อนทับกันถึงเก้าชั้น ทุกฝีเข็มเต็มไปด้วยความประณีต ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว มันไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนอันงดงามที่กำลังพันธนาการนางให้แน่นหนายิ่งขึ้น ศีรษะของนางถูกประดับด้วยมงกุฎหงส์ทำจากทองคำและไข่มุกจนหนักอึ้ง ใบหน้าถูกแต่งแต้มจนขาวผ่อง ริมฝีปากถูกแต้มด้วยชาดสีแดงสดดุจโลหิตเมื่อการแต่งกายเสร็จสิ้น นางถูกพยุงให้นั่งนิ่งๆ อยู่กลางห้อง รอคอยฤกษ์ยามมงคลเพื่อ
อรุณรุ่งของวันใหม่ทอแสงแรกจับขอบฟ้า ปลุกสรรพชีวิตในจวนเสนาบดีให้ตื่นจากนิทราอันยาวนาน ทว่าสำหรับจ้าวลี่อิงแล้ว นางไม่ได้หลับใหลเลยทั้งราตรี จิตวิญญาณของนางตื่นโพลงอยู่ในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหว ทบทวนทุกร่องรอยแห่งความจริงที่เพิ่งค้นพบ โลกที่นางเห็นในยามนี้มิได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ทุกรอยยิ้มที่เคยดูอบอุ่นอาจซ่อนใบมีดไว้เบื้องหลัง ทุกถ้อยคำที่แสดงความห่วงใยอาจเคลือบไว้ด้วยยาพิษเมื่อเสี่ยวชุ่ยประคองชามยาถ้วยใหม่เข้ามาในยามเช้า สีหน้าของนางยังคงเปี่ยมด้วยความห่วงใยอันบริสุทธิ์ ช่างแตกต่างจากบรรยากาศอันหลอกลวงที่อบอวลอยู่ทั่วจวนแห่งนี้ จ้าวลี่อิงมองของเหลวสีนิลในชามนั้นด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป มันไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความตายอีกต่อไป แต่บัดนี้มันคือเครื่องมือ คือบททดสอบ และคือเวทีที่นางต้องร่ายรำไปตามบทบาทที่ตนเป็นผู้กำกับนางตระหนักดีว่าการแสร้งทำยาหกหรือปฏิเสธอย่างเด็กๆ นั้นไม่อาจใช้ได้ตลอดไป มันจะสร้างความสงสัยโดยไม่จำเป็น กลยุทธ์ใหม่จึงถูกร่างขึ้นในมโนสำนึกอันเงียบงันของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็นกลยุทธ์ที่เสี่ยงอันตราย ทว่าจำเป็นอย่างยิ่งยวด นั่นคือการควบคุมปริมาณพิษที่เข้าสู่ร
เงาแห่งราตรีทอดตัวยาวเหยียด กลืนกินทุกสรรพสิ่งไว้ในอ้อมกอดอันเยียบเย็น รัตติกาลคืบคลานเข้าสู่จวนเสนาบดีอย่างเงียบงัน ลบเลือนเส้นสายลายสลักและสีสันอันโอ่อ่าให้เหลือเพียงโครงร่างสีดำทะมึนภายใต้แสงจันทร์นวลจาง ในห้องพักของคุณหนูสาม บรรยากาศหนักอึ้งและสงบเยือกเย็น มีเพียงแสงเทียนที่วูบไหวบนเชิงเทียนทองเหลืองเท่านั้นที่ยังเคลื่อนไหว ประหนึ่งลมหายใจของห้องที่กำลังจะดับสูญจ้าวลี่อิงยังคงนั่งสงบอยู่บนเตียง ท่วงท่าของนางสงบนิ่งดุจผิวน้ำไร้ริ้วคลื่น แต่ภายใต้ความเรียบสนิทนั้นคือกระแสความคิดที่เชี่ยวกราก ประสาทสัมผัสทุกส่วนของนางตื่นตัวและแผ่ขยายออกไปในความมืด สดับฟังทุกความเคลื่อนไหวที่อยู่นอกบานประตูกระทั่งเสียงจิ้งหรีดที่เคยกรีดร้องระงมเริ่มแผ่วเบาลง สรรพสำเนียงแห่งชีวิตในยามค่ำคืนได้จมลึกลงสู่การหลับใหลอย่างแท้จริง นางจึงขยับกายอย่างนุ่มนวล ทุกย่างก้าวที่เท้าเปล่าสัมผัสพื้นไม้เย็นเฉียบนั้นไร้สุ้มเสียง แฝงไว้ด้วยความหมายและความมุ่งมั่นที่แตกต่างจากคุณหนูสามผู้ป่วยไข้โดยสิ้นเชิง นางไปถึงบานประตู ใช้วัตถุเล็กๆ ขัดมันไว้กับวงกบ เป็นกลไกเตือนภัยอันเรียบง่ายทว่าเปี่ยมประสิทธิภาพเมื่อแน่ใจในปราก