ทางฝังองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง หลังจากที่รู้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลพ้นขีดอันตรายแล้วเขาพลันวางใจลง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนั้นเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโตของนางอยู่ในมือของหมอหลวงแล้วนางก็วางใจลงได้ อันที่จริงนางวางใจตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินเจียวเจียวโรยยาห้ามเลือดลงไปบนบาดแผลแผลแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นและการอธิบายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเด็กสาวผู้นั้นทำให้จิตใจอันเคร่งเครียดของนางพลอยผ่อนคลายไปด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทติดตามมาเพื่อปกป้องคุ้มครองนางและหลานชาย ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าสำรวจห้องโถงของเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานหลวงด้วยความสนใจ เรือนแห่งนี้แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับใช้แต่ของดีและมีราคา นางหันไปจ้องมองหลานชายผู้สูงศักดิ์ของตนเองอีกครั้งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา
“องค์รัชทายาท พระองค์ทรงปลูกเรือนเอาไว้ข้างนอกเช่นนี้ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้หรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เขาก็หันไปส่งยิ้มให้แก่นางแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
“ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่ท่านยายไม่ต้องกังวลต่อให้ทรงรู้เรื่องนี้ก็แค่เพียงตำหนิข้าแค่เพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้น”
“ในเมื่อฝ่าบาททรงตามพระทัยพระองค์จนถึงขั้นนี้แล้ว ในอนาคตก็อย่าได้ทรงทำสิ่งใดที่จะทำให้ฝ่าบาททรงเสียพระทัยเลยนะเพคะ” ถ้อยคำนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อยแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
“เพียงแต่เหตุใดท่านยายจึงได้เข้าเมืองหลวงมาอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า กว่าข้าจะรู้ท่านและญาติผู้พี่ก็เข้ามาจนถึงด้านในประตูเมืองแล้ว ท่านยายข้าขอบอกท่านตามตรงยามนี้กองกำลังรักษาเมืองยังไม่ใช่คนของข้าการจัดการของพวกเขาทั้งหละหลวมและจัดการได้ไม่ดี ทำให้กลุ่มคนไม่ประสงค์ดีลงมือได้ตามใจ วันหน้าหากท่านยายและญาติผู้พี่จะไปที่ไหนจะต้องแจ้งให้ข้ารู้ก่อน ข้าจะได้ส่งคนไปคอยอารักขาท่านอย่างเต็มที่” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็ทอดถอนใจออกมา
“เป็นเพราะหม่อมฉันประมาทเองเพคะ หลายปีมานี้หลงคิดว่าการที่สกุลหยวนย้ายออกจากเมืองหลวงไม่มีอำนาจใดๆ ในราชสำนักแล้วจะปลอดภัย คิดไม่ถึงว่าแค่เพียงเข้าประตูเมืองมาไม่ได้เท่าไหร่ก็จะถูกผู้อื่นลอบโจมตีเช่นนี้” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันทอดถอนใจออกมา
“เรื่องที่สามารถทำให้ท่านยายร้อนใจเช่นนี้ได้คงจะเกี่ยวกับญาติผู้พี่กระมัง”
“เพคะ ก่อนหน้านี้อี้เอ๋ออ่อนแอมาโดยตลอด สามวันดีสี่วันไข้พอเริ่มเติบใหญ่สุขภาพก็พันดีขึ้น เมื่อแม่สื่อที่ได้รับการไหว้วานจากจวนผิงกั๋วกงติดต่อมาว่าทางนั้นสนใจจะเกี่ยวดองด้วยโดยผ่านการแต่งงานของอี้เอ๋อกับคุณหนูรองของจวน หม่อมฉันดีใจมากก็เลยรีบตอบตกลง ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันก็ยังแอบหวังว่าการได้เกี่ยวดองกับจวนผิงกั๋วกงอาจจะช่วยทำให้พระองค์ทำการใหญ่ได้ราบรื่น คิดไม่ถึงว่าหลังจากตอบตกลงไปอาการของอี้เอ๋อจะกลับไปทรุดเหมือนเก่า หม่อมฉันก็เลยไม่กล้าดำเนินเรื่องการหมั้นหมายต่อเพราะเกรงว่าอาการป่วยของอี้เอ๋อจะทำให้คุณหนูรองผู้นั้นต้องลำบาก” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยพลางทอดถอนใจออกมา
“จวบจนได้พบกับท่านหมอผู้หนึ่งเขาไม่เพียงรักษาอาการป่วยของอี้เอ๋อจนหายดีเขายังบอกอีกว่าอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของอี้เอ๋อหายดีแล้วและไม่กลับมาเจ็บป่วยเช่นเดิมอีก ด้วยความดีใจหม่อมฉันก็เลยตามหาแม่สื่อผู้นั้นอีกครั้งด้วยตั้งใจว่าจะดำเนินเรื่องการหมั้นหมายกับจวนผิงกั๋วกงต่อ คิดไม่ถึงว่าทางจวนผิงกั๋วกงจะเข้าใจว่าทางอี้เอ๋อไม่คิดจะหมั้นหมายแล้ว ยามนี้ก็เลยให้แม่สื่อคนนั้นช่วยดูคุณชายคนใหม่ให้แก่คุณหนูรอง หม่อมฉันก็เลยคิดว่าควรจะพาอี้เอ่อมาขอขมาด้วยตนเองและขอสานสัมพันธ์เรื่องการหมั้นหมายและการแต่งงานอีกครั้ง” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไม่หลงก้พลันขมวดคิ้ว
“คุณหนูรองจวนผิงกั๋วกง …เฉินเจียวเหม่ย! นี่ท่านยายคิดจะหมั้นหมายเฉินเจียวเหม่ยให้แก่ญาติผู้พี่หรือ”
“ใช่เพคะ เพียงแต่แม่นางที่แนะนำตัวว่าเฉินเจียวเหม่ยที่แท้ก็คือคุณหนูรองของจวนผิงกั๋วกงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนคิดทบทวนตอนที่เฉินเจียวเหม่ยแนะนำญาติผู้พี่ของนางว่าคือคุณหนูใหญ่มีนามว่าเฉินเจียวเจียว ส่วนตัวนางนั้นนางแนะนำแค่ชื่อแล้วก็เลี่ยงไปแนะนำว่าบิดาของนางคือน้องชายคนที่สามของผิงกั๋วกง
“ที่แท้คุณหนูรองก็คือนาง เรื่องนี้นับว่าเป็นบุพเพของคนทั้งคู่แล้วจริงๆ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็พลันส่ายหน้า
“ท่านยาย ญาติผู้พี่ไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับผู้อื่นเพียงเพราะต้องการช่วยหลาน แม้ว่าจะไม่มีจวนผิงกั๋วกงหลานก็มั่นใจว่าหลานสามารถเอาชนะจวนสกุลจ้าวได้” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พลันส่ายหน้า
“แม้ว่าจะไม่สามารถดึงจวนผิงกั๋วกงมาช่วยสนับสนุนได้ แต่พระองค์ก็ควรจะมั่นพระทัยได้ว่าในวันหน้าจวนผิงกั๋วกงจะไม่หันไปสนับสนุนผู้อื่น หม่อมฉันรู้ดีว่าหลายปีมานี้พระองค์รู้สึกอย่างไร หม่อมฉันเองในยามนี้มีเพียงพระองค์และอี้เอ๋อที่ยังคงมีสายเลือดของคนสกุลหยวน ขอเพียงวันหน้าองค์รัชทายาทสามารถอยู่รอดปลอดภัยทรงใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นมีคู่ครองที่ดีไร้ผู้อื่นคอยปองร้าย ส่วนอี้เอ๋อนั้นขอเพียงเขาแข็งแรงได้แต่งงานกับคนที่ดีใช้ชีวิตอย่างราบรื่นปลอดภัยเพียงเท่านี้หญิงชราเช่นหม่อมฉันก็สามารถนอนตายตาหลับแล้วเพคะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงได้เอ่ยถามหญิงชราตรงหน้าออกไปตามตรง
“ท่านยายคิดว่าเฉินเจียวเหม่ยเหมาะสมกับญาติผู้พี่จริงหรือ ญาติผู้พี่จะชอบนางหรือไม่แล้วนางจะดีต่อญาติผู้พี่หรือไม่” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าก็พลันยิ้มออกมา
“หลายปีมานี้แม้ว่าจะต้องเผชิญต่อความทุกข์ยากและทรงมีศัตรูรอบด้าน หม่อมฉันเคยกังวลใจว่าจิตใจขององค์รัชทายาทจะเปลี่ยนไปเป็นคนที่มีจิตใจด้านชาและเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก แต่ยามนี้หม่อมฉันรู้แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรพระองค์ก็ยังคงเป็นหลานชายตัวน้อยที่มีความเอาใจใส่ต่อผู้คนรอบข้างเช่นเดิม องค์รัชทายาททรงวางใจเถิด อี้เอ๋อเคยเห็นรูปวาดของคุณหนูรองแล้วแม้ว่าตัวจริงจะงดงามกว่าในรูปจนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นนาง แต่ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาและชอบช่วยเหลือผู้อื่นของนางจะต้องทำให้อี้เอ๋อชอบพอนางได้จากใจจริงอย่างแน่นอนเพคะ” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงก็พยักหน้าอย่างวางใจ
ในขณะที่ผู้คนในเรือนลับขององค์รัชทายาทกำลังพูดถึงเฉินเจียวเหม่ย ทางฝั่งจวนผิงกั๋วกงเฉินเจียวเหม่ยก็กำลังดุด่าญาติผู้น้องของตนเองด้วยความไม่พอใจอยู่เช่นกัน
“เจียวมี่! ข้าบอกให้เจ้าวาดรูปของข้าให้อัปลักษณ์ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะวาดเสียจนข้าดูอัปลักษณ์มากเช่นนี้ ฮือๆ ไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิดว่าทำไมจวนสกุลหยวนจึงไม่ส่งคนมาดำเนินเรื่องการหมั้นหมายต่อเช่นนี้” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยพลางกำรูปในมือแน่น เมื่อคิดว่าตอนที่แม่สื่อของจวนส่งรูปนี้ของนางออกไปให้หยวนอี้ดูนางก็ร้องโอดครวญออกมาเสียงดังอย่างไม่คิดจะหยุดพัก
“ก็พี่เจียวเหม่ยบอกกับข้าเองว่ายิ่งอัปลักษณ์เท่าไหร่ก็ยิ่งดีมิใช่หรือ พี่เจียวเจียวตอนนั้นพี่ก็อยู่ด้วย นางบอกว่านางไม่อยากแต่งงานกับคุณชายขี้โรคของสกุลหยวนเองนะเจ้าคะ” เฉินเจียวมี่เอ่ยพลางหันไปโอดครวญกับเฉินเจียวเจียวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้าอย่าได้สนใจนางเลย เรื่องนี้ล้วนเป็นนางที่ทำตนเองจนเป็นเช่นนี้” เฉินเจียวเจียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเพราะนางรู้ว่าในชาติก่อนช่วงเวลาถัดจากนี้ไปอีกไม่นานเฉินเจียวเหม่ยจะได้หมั้นหมายกับหยวนอี้คุณชายรูปงามจากสกุลหยวนสมดั่งตั้งใจ
เพียงแต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจจะวางใจมากจนเกินไป ยามนี้มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะการกระทำของนาง ซึ่งนางเองก็กำลังหวั่นใจว่าจะกระทบต่องานแต่งงานของญาติผู้น้องทั้งสองหรือไม่ ทุกการกระทำของนางล้วนค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างระมัดระวัง จุดประสงค์หลักก็เพื่อที่จะไม่ให้กระทบกับการแต่งงานอันสงบของเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ ยามนี้นางเองก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ความระมัดระวังของนางประสบผลสำเร็จเฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีจะได้แต่งงานกับคนที่พวกนางพึงพอใจอย่างเช่นในชาติที่แล้ว
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยจะออกไปพบสหายเฉินเจียวมี่ก็ขอติดตามไปด้วยอย่างกระตือรือร้น เมื่อทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยรับปากว่าจะช่วยกันดูแลน้องสาวอย่างดี หวงซื่อจึงไม่ได้เหนี่ยวรั้งบุตรสาวเอาไว้ นอกจากจะกำชับว่าให้เชื่อฟังพี่สาวและห้ามซุกซนแล้วนางก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งอันใดอีก ด้วยรู้ดีว่าทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยเป็นเด็กรู้ความย่อมดูแลน้องเล็กอย่างเฉินเจียวมี่ได้อย่างแน่นอนเมื่อไปถึงหอหลิงฟางคนขององค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูก็มารอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว สามสาวสกุลเฉินถูกพาไปที่ห้องรับรองพิเศษที่องค์หญิงเก้าจองเอาไว้ซึ่งในห้องรับรองพิเศษแห่งนั้นมีองค์หญิงเก้าและหวังฮุ่ยหลิงนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว“ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่นัดกันทั้งเจียวเจียวและเจียวเหม่ยมักจะมาถึงสถานที่นัดหมายเป็นคนสุดท้ายเสมอ” องค์หญิงเก้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับเอ่ยวาจาแก้ตัวให้สหายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“จวนของพวกนางอยู่ไกลจากที่นี่ย่อมต้องมาถึงช้ากว่าเป็นธรรมดา”“แน่นอนว่านอกจากจากจวนจะอยู่ไกลแล้ว ย่อมต้องเป็นเพราะวันนี้พวกข้าพาน้องเล็
กว่าจะถึงเทศกาลหยวนเซียวยังต้องผ่านเทศกาลฉลองปีใหม่ไปเสียก่อน เฉียวซื่อจึงยังไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเฉินเจียวเจียว แม้ว่าจวนผิงกั๋วกงจะต้องฉลองเทศกาลกันอย่างเงียบเหงาอยู่บ้างเพราะปีนี้บุรุษภายในจวนล้วนยังอยู่ที่หัวเมืองชายแดนแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของความเป็นมงคลเฉินเจียวเจียว เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีช่วยกันปักผ้าเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสภายในจวน ส่วนบ่าวไพร่ก็ล้วนได้รับเงินทองและเครื่องประดับจากเจ้านายเพื่อเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่กันอย่างถ้วนหน้า สิ่งที่ทำให้ผู้คนภายในจวนมีความสุขมากที่สุดก็คือจดหมายที่มาจากชายแดนทางเหนือ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้มใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายและหลานชายของนางยังคงปลอดภัยและมีความเป็นอยู่ที่ดีเฉินเจียวเจียวมองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งจวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน คืนส่งท้ายปีพวกนางล้วนแล้วแต่แต่งกายกันอย่างดงามมากเป็นพิเศษเพื่อกินอาหารร่วมกันและนั่งพูดคุยกันเพื่อรอส่งท้ายปี เสียงประทัดและดอกไม้ไฟดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งตรอกสุ่ยอัน เฉินเจียวเจียวออกไปยืนมองท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ไฟด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
มารดาเลี้ยงคิดเช่นไรเฉินเจียวเจียวไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งที่รู้ก็คือชีวิตในช่วงนี้ของนางนับว่ามีความสุขมากทีเดียว ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างของตนเอง ได้แก้ไขความผิดพลาดที่เคยเกิดในชีวิตของชาติก่อนและที่สำคัญได้กลับมาปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารอดพ้นจากความแก่ชราและความตาย แต่สิ่งที่นางทำได้ก็คือคอยปรนนิบัติพัดวีและทำให้ผู้อาวุโสของนางมีความสุขมากที่สุดเท่าที่นางจะสามารถทำได้“เหตุใดช่วงนี้มารดาเลี้ยงของเจ้าจึงได้เข้าวังบ่อยครั้งขึ้น” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยเตือนเฉียวซื่อไปแล้วว่าแต่ละตำหนักของบรรดาพระสนมน่าจะมีคนของฝ่าบาทซุกซ่อนอยู่ มารดาเลี้ยงของนางไม่ใช่คนโง่ย่อมจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ฝ่าบาทไม่พึงพอพระทัยได้ทั้งคำพูดและการกระทำอยู่แล้วแน่นอนว่าทางด้านเฉียวซื่อที่เข้าออกวังบ่อยครั้งขึ้นย่อมจะต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเองเป็นอย่างดี ช่วงนี้นางเข้าวังบ่อยขึ้นก็แค่เพียงอยากสานสั
เมื่อสาวน้อยสกุลเฉินทั้งสามไปถึงโถงกลางก็พบว่าแขกที่มาไม่ได้มีแค่เพียงคนสกุลหยวนแต่กลับมีองค์รัชทายาทนั่งดื่มนำ้ชาด้วยท่าทีสงบนิ่งอีกฝั่งหนึ่งด้วย เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับรีบรั้งนางให้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงพร้อมกัน“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” ทั้งสามคารวะพร้อมกันอย่างงดงาม องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ก้มหน้าลงแล้วหันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาพสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามที่รู้มารยาทและงดงามสมวัยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ ส่วนหยวนอี้นั้นเขาไม่กล้ามองสตรีทั้งสามเท่าใดนักไม่ว่าอย่างไรการเข้ามาในเรือนชั้นในของผู้อื่นเช่นนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียมมากเกินพอแล้ว เพียงแต่เมื่อเด็กสาวทั้งสาวเดินไปนั่งลงข้างกายของผู้อาวุโสของตนเองแล้ว เขาก็อดจ้องมองไปทางข้างกายของฮูหยินสามของสกุลเฉินครู่หนึ่งไม่ได้สีหน้าที่ทั้งขัดเขินและพึงพอใจของหยวนอี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง สองยายหลานหันไปสบตากันครู่หนึ่
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พาหยวนอี้ที่ยังไม่หายดีมาเป็นแขกของจวนผิงกั๋วกง เนื่องจากบุรุษภายในจวนล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมดอีกทั้งยังรู้ถึงเจตนาของทางฝั่งสกุลหยวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรับแขกจากสกุลหยวนที่โถงกลางของเรือนชั้นใน โดยมีฮูหยินและลูกสะใภ้ทั้งสามคอยช่วยนางต้อนรับแขก“เจียวเหม่ย ควบคุมสติอารมณ์แล้วออกมาจากหลังพุ่มไม้เดี๋ยวนี้เลย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยกับญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“จะทำอย่างไรดี เขาจะต้องเข้าใจว่าข้าคือสตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ในรูปผู้นั้นเป็นแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจโดยไม่คิดจะสนใจถ้อยคำตักเตือนของเฉินเจียวเจียวเลยสักนิด“ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเห็นใบหน้าของท่านแล้วมิใช่หรือ ท่านบอกกับข้าเองว่าเขาถูกท่านลากตัวออกจากรถม้าแล้วโยนให้ผู้คุ้มกันของจวนเรา” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็หันไปขึงตาใส่เฉินเจียวมี่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่าเต็มที่“เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ข้ายังคิดเสียดายอยู่เลยว่าในยามนั้นข้าน่าจะอ่อนโยนอีกสักนิด เอ่ยวาจาดีๆ กับเขาสักประโยคสองประโยค” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ทั้ง
ทางฝังองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง หลังจากที่รู้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลพ้นขีดอันตรายแล้วเขาพลันวางใจลง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนั้นเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโตของนางอยู่ในมือของหมอหลวงแล้วนางก็วางใจลงได้ อันที่จริงนางวางใจตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินเจียวเจียวโรยยาห้ามเลือดลงไปบนบาดแผลแผลแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นและการอธิบายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเด็กสาวผู้นั้นทำให้จิตใจอันเคร่งเครียดของนางพลอยผ่อนคลายไปด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทติดตามมาเพื่อปกป้องคุ้มครองนางและหลานชาย ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีกฮูหยินผู้เฒ่าสำรวจห้องโถงของเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานหลวงด้วยความสนใจ เรือนแห่งนี้แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับใช้แต่ของดีและมีราคา นางหันไปจ้องมองหลานชายผู้สูงศักดิ์ของตนเองอีกครั้งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา“องค์รัชทายาท พระองค์ทรงปลูกเรือนเอาไว้ข้างนอกเช่นนี้ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้หรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เขาก็หันไปส่งยิ้มให้แก่นางแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่ท่านยายไม่ต้องกังวลต่อให้ทรงรู้เรื่องนี้ก็แ
เมื่อเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยนั่งรถม้าย้อนกลับมาทางเดิมก็พบว่าในยามนี้ชายชุดดำถูกจัดการจนหมดแล้ว บรรดาผู้คุ้มกันของพวกนางต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่น้อยเลย โชคดีที่ได้คนของเซียวอวิ๋นหยวนช่วยเหลือเอาไว้จึงยังไม่มีผู้ใดสูญเสียชีวิต“ขอบคุณคุณชายเซียวมากเจ้าค่ะ” ทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยต่างเอ่ยออกมาพร้อมกัน“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” เซียวอวิ๋นหยวนเอ่ยเพียงเท่านี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาอีก“...” เฉินเจียวเจียวกับเฉินเจียวเหม่ยจ้องมองเขาครู่หนึ่งเมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้พวกนางก็หาถ้อยคำที่จะเอ่ยต่อไม่ถูก พวกนางหันสบตากันแล้วจึงได้เอ่ยอำลาเขาด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วจึงส่งคนไปนำรถม้ามารับผู้คุ้มกันที่ได้รับบาดเจ็บเพื่อพาพวกเขาไปหาหมอ หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้วพวกนางจึงได้พากันกลับจวนโดยมีองครักษ์ขององค์รัชทายาทติดตามไปส่งจนถึงจวน“เกิดเรื่องใดขึ้น” ทั้งฮูหยินผู้เฒ่า เฉียวซื่อ หวงซื่อ โม่ซื่อและเฉินเจียวมี่ต่างมารอพวกนางที่หน้าประตูจวน เมื่อเฉียวซื่อเห็นว่าบนชุดกระโปรงของเฉินเจียวเจียวมีเลือดติดอยู่นางก็รีบเดินเข้าไปสำรวจเนื้อตัวของเฉินเจียวเจียวด้วยสีหน้าร้อนใจในทันที“ข้าไ
องค์รัชทายาทหลี่ไท่หลงจ้องมองหญิงชราด้วยสายตาอ่อนโยน เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความอ่อนโยนและพยายามปลอบประโลมอย่างเต็มที่“ท่านยายไม่ต้องกังวล อีกสักครู่รถม้าของข้าก็จะตามมาถึงแล้ว พวกเราพาเขากลับไปที่จวนของท่านยายก่อนแล้วข้าจะให้คนไปพาตัวหมอหลงไปสมทบกับพวกเราที่นั่น” เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็ลงจากที่นั่งบังคับรถม้าแล้วเปิดผ้าม่านเพื่ออำนวยความสะดวกให้องค์รัชทายาทในทันที เขารีบเข้าไปประคองหญิงชราลงจากรถม้าพลางสำรวจร่างกายของหญิงชราด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าหญิงชราปลอดภัยดีแล้วจึงได้หันไปมองด้านในรถม้าที่มีบุรุษที่ได้รับบาดเจ็บนอนคว่ำหน้าอยู่และมีเฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ข้างกายของบุรุษผู้นั้น“เขาเป็นอย่างไรบ้าง” องค์รัชทายาทกระแอมพลางถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมากกว่าปกติ“เลือดหยุดไหลแล้วเพคะ เพียงแต่บาดแผลสาหัสเอาการคงต้องให้ท่านหมอตรวจสอบดูอีกทีเพคะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบด้วยสีหน้าอึดอัด เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วหากเมื่อครู่นี้เฉินเจียวเหม่ยไม่เข้าไปช่วย สองย่าหลานคู่นี้ก็น่าจะยังคงปลอดภัยอยู่ในรถม้าจนกว่าองค์รัชทายาทจะไปถึง เพราะฟังจากที่องค์รัชทายา
ทางฝ่ายของเฉินเจียวเหม่ยนั้นเมื่อได้ประมือกับชายชุดดำเพียงไม่กี่กระบวนท่าก็พอจะรับรู้แล้วว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่โจรป่าธรรมดาอย่างที่ตนเองเข้าใจ เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้นางก็คอยมองหาช่องทางที่จะถอนตัว เพียงแต่คนที่นั่งในรถม้ายังมีผู้โดยสารนั่งอยู่ด้านใน หากนางทอดทิ้งแล้วหนีไปพวกเขาก็ย่อมจะต้องตายและนางก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเป็นแน่‘ในเมื่อคิดจะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด นางเปิดผ้าม่านของรถม้าขึ้นดึงชายหนุ่มผู้หนึ่งออกมาแล้วผลักเขาไปให้ผู้คุ้มกันที่ติดตามอารักขานางมาโดยตลอด สั่งให้ผู้ติดตามคนนั้นรีบพาชายหนุ่มผู้นั้นหนี ส่วนตนเองนั้นก็ประคองหญิงชราออกจากรถม้าด้วยท่าทางคล่องแคล่ว’“อี้เอ๋อ” หญิงชราผู้นั้นเอ่ยเรียกชายหนุ่มรูปร่างผอมบางด้วยสีหน้าเป็นห่วง แต่เมื่อเห็นว่าเขาปลอดภัยดีแล้วมีเพียงนางและสาวน้อยที่มาช่วยกับสาวใช้อีกหลายคนของตนที่ยังคงติดอยู่ท่ามกลางวงล้อมของชายชุดดำกลุ่มนี้“ท่านย่า!” บุรุษหนุ่มที่ถูกช่วยเอาไว้ส่งเสียงเรียกหญิงชราด้วยความเป็นห่วง ทำให้กลุ่มชายชุดดำหลายคนพุ่งความสนใจไปทางเขา ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะหนีพ้นและไปจนเกือบถึงรถม้าที่เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่แล้ว กลุ่มชา