“โม่เจารับราชโองการ เราในนามโอรสสวรรค์ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นภายในงานเทศกาลริมฝั่งแม่น้ำเหอแล้ว โม่เจาในฐานะผู้ดูแลคดีนี้สามารถรับผิดชอบในการไต่สวนคดีนี้ได้เป็นอย่างดี ข้าขอยกย่อมชมเชยเจ้าที่เจ้าไม่เลือกปฏิบัติ ทำการไต่สวนเพื่อมอบความเป็นธรรมให้แก่ผู้ร้องเรียนโดยไม่คำนึงถึงตำแหน่งหน้าที่ของผู้ถูกร้องเรียน อีกทั้งสามารถสืบสาวราวเรื่องได้อย่างรวดเร็วและเป็นธรรมเราขอชื่นชมเจ้าว่าเจ้าคือแบบอย่างของขุนนางที่ดีที่ขุนนางทุกคนควรยึดถือเป็นแบบอย่าง”
“จ้าวซีเฉิงรับราชโองการ จากหลักฐานต่างๆ ที่อยู่ในมือเราล้วนชี้ความผิดไปที่เจ้า เป็นบุรุษแต่กลับคิดรังแกสตรี แถมยังมีเรื่องที่เจ้าเคยใช้วิธีนี้บีบบังคับสตรีจากสกุลจี้ให้แต่งงานกับเจ้าอีก เราผิดหวังในตัวเจ้ามากในฐานะที่เจ้าเป็นหลานชายต่างสกุลของเราเจ้าจึงสมควรจะได้รับโทษมากกว่าผู้อื่น เราขอสั่งปลดเจ้าจากตำแหน่งรองเจ้ากรมอากร รับโทษโบยอีกห้าสิบไม้จากกรมอาญา ส่วนสตรีสกุลจี้หากนางอยากกลับบ้านเดิมเราก็ขอสั่งให้เจ้ายินยอมปล่อยนางกลับไปและจงคืนสินเดิมให้แก่นางทั้งหมด”
“จ้าวฉีรับราชโองการ ท่านเป็นถึงอัครเสนาบดีฝ่ายขวาของเราไม่ควรจะเข้ามาข้องเกี่ยวต่อคดี ราชโองการนี้คือราชโองการตำหนิที่ท่านไม่ควบคุมความประพฤติของบุตรและธิดาให้ดี ใช้ตำแหน่งและอำนาจในทางที่ไม่สมควรหวังว่าท่านจะสำนึกผิดในเรื่องนี้ด้วย… จบราชโองการ”
เมื่อท่านราชเลขาธิการอ่านราชโองการจบเขาก็นำม้วนราชโองการทั้งสามม้วนนำไปมอบให้แก่ผู้รับราชโองการทั้งสามคน ราชโองการสามฉบับ มีทั้งราชโองการยกย่อง ราชโองการลงโทษ และราชโองการตำหนิ จ้าวฉีจ้องมองท่านราชเลขาธิการด้วยสายตาเยือกเย็น การที่เขาได้รับราชโองการตำหนิเช่นนี้นอกจากจะเป็นการตบหน้าเขาทางอ้อมแล้ว ยังเป็นการย้ำเตือนให้เขาเห็นว่ายามนี้โอรสสวรรค์เริ่มคิดจะลงดาบต่อเขาและคนสกุลจ้าวอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ลำบากท่านราชเลขาธิการแล้ว”
“เรื่องนี้ถือเป็นหน้าที่ของข้า อันที่จริงคนที่ควรจะอัญเชิญราชโองการมาควรจะเป็นหลีกงกง แต่เมื่อข้าได้ยินว่าบุตรสาวของข้ามาก่อเรื่องที่นี่ข้าก็เลยกราบทูลขออาสาอัญเชิญราชโองการมาที่นี่ด้วยตนเองเพื่อจัดการกับลูกสาวที่ไม่รู้จักวางตัวของข้า” เมื่อท่านราชเลขาธิการเอ่ยจบก็หันไปตำหนิบุตรสาวของตนในทันที
“สามีของเจ้าต่างหากเล่าที่เป็นคนผิด หากเขาไม่ไปตามเทียบเชิญจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร คิดจะลงไม้ลงมือก็ควรจะทำกับสามีของเจ้าสิ คุณหนูสกุลจ้าวคือคนที่เจ้าสามารถลงไม้ลงมือได้หรือ” เมื่อท่านราชเลขาธิการเอ่ยถึงเรื่องนี้สีหน้าของจ้าวฉีก็พลันซีดลงในทันทีส่วนจ้าวซีอินนั้นแทบจะสิ้นสติไปแล้ว
“เรื่องในวันนี้แม้แต่ท่านที่อยู่ข้างกายฝ่าบาทก็ยังรู้ เช่นนั้นยามนี้ฝ่าบาทคงจะทรงทราบเรื่องของบุตรสาวของข้าแล้วกระมัง” จ้าวฉีเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยจะดีนัก
“ย่อมรู้! แถมยังรู้อย่างละเอียดมากเสียด้วยเพราะตอนที่นางข้าหลวงนำข่าวนี้ไปเล่าในตำหนักทั้งข้าและองค์รัชทายาทที่นั่งฟังอยู่ด้วยยังแทบจะทนฟังไม่ไหว ท่านเสนาบดีจ้าวข้าต้องขอโทษแทนบุตรสาวของข้าด้วย ..แต่ก็นะบุตรสาวของท่านเองก็ไม่สมควรจะทำเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นสามีของบรรดาคุณหนูที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยง” ราชเลขาธิการเฒ่าเอ่ยพลางส่ายศีรษะแล้วหันไปตำหนิบุตรสาวอีกครั้ง
“เจ้ามันไม่ได้เรื่อง รีบกลับจวนเพื่อไปสำนึกตนเสีย” เมื่อท่านราชเลขาธิการเอ่ยเช่นนี้บุตรสาวของเขาก็ย่อกายคารวะบิดาและโม่เจาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วหันไปส่งสายตาอาฆาตแค้นให้แก่จ้าวซีอินอีกครั้งแล้วจึงได้เดินจากไปในทันที
“ในเมื่อจบเรื่องของข้าแล้วข้าก็คงต้องขอตัวกลับก่อน ขอคารวะอำลาทุกท่าน” เมื่อเอ่ยจบท่านราชเลขาธิการก็พาบุตรสาวของตนกลับจวนในทันที
แม้ว่าบุตรสาวของท่านราชเลขาธิการจะเดินจากไปแล้วแต่สตรีคนอื่นๆ ยังคงรั้งอยู่เพื่อร้องเรียนจ้าวซีอิน โม่เจาจึงให้คนของตนไปช่วยพวกนางเขียนคำร้อง ส่วนตัวเขานั้นก็หันไปไต่สวนต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เบิกตัวอู๋มู่จือออกมา เบิกตัวจ้าวซีเจ๋อออกมาด้วย” เมื่อโม่เจาเอ่ยเช่นนี้จ้าวซีเฉิงก็พลันมีสีหน้าซีดเซียว จ้าวซีเจ๋อคือญาติผู้น้องที่เป็นลูกน้องคนสนิทของเขา ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือว่าเรื่องใหญ่จ้าซีเจ๋อผู้นี้ล้วนเป็นคนออกหน้าแทนเขาแทบจะทุกอย่าง เดิมทีเขาคิดจะผลักความรับผิดชอบทั้งหมดไปให้ลูกน้อง แต่คิดไม่ถึงว่าลูกน้องที่โม่เจาเอ่ยถึงจะหมายถึงจ้าวซีเจ๋อผู้นี้
“นายท่าน คุณชาย ข้าทนรับการโบยตีไม่ไหวแล้วจริงๆ ข้าจึงได้สารภาพออกไปหมดแล้ว พยานห้าคนที่ใต้เท้าโม่หามาคือคนที่อยู่ในบริเวณที่คุณชายและคุณหนูพูดคุยเพื่อวางแผนทำลายชื่อเสียงคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงจริงๆ พวกท่านได้โปรดช่วยยอมรับความผิดของตนเองด้วยเถิด อย่าได้โยนความผิดให้ข้าต้องทนรับผิดแต่เพียงผู้เดียวเลย” จ้าวซีเจ๋อเอ่ยพลางร้องโอดโอยออกมา
“จ้าวซีเจ๋อ!” จ้าวซีเฉิงคำรามออกมาด้วยความโมโห ส่วนจ้าวซีอินในยามนี้ร้องไห้จนบนใบหน้าอันงดงามของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตาเมื่อรวมกับสภาพเสื้อผ้าหน้าผมอันรุงรังและไม่เรียบร้อยทำให้นางดูไม่เหมือนคุณหนูสกุลใหญ่ที่ชอบวางตัวสูงส่งอย่างเช่นในกาลก่อนอีกแล้ว
“อันที่จริงข้ามีเรื่องจะต้องสอบถามคุณหนูรองแต่ด้วยสภาพเช่นนี้ของท่านคงยังไม่เหมาะนักอีกทั้งยามนี้หลักฐานทุกชิ้นก็ชี้ความผิดไปที่พวกท่านข้าจึงขอตัดสินโทษคุณชายใหญ่และลูกน้องของเขาก่อน ส่วนความผิดของคุณหนูนั้นคงค่อยไต่สวนเพื่อตัดสินโทษกันภายหลัง” คำพูดของโม่เจาทำให้เฉียวซื่อส่ายหน้า
“จะรั้งรออีกทำไมเล่าเจ้าคะท่านเจ้ากรม ฝ่าบาทเองก็ทรงมีราชโองการมาแล้วว่าทรงสั่งปลดคุณชายใหญ่สกุลจ้าลงจากตำแหน่งรองเจ้ากรมอาญา เพราะฉะนั้นคุณหนูรองที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดย่อมจะต้องถูกโบยตีไม่น้อยไปกว่ากัน” คำพูดของเฉียวซื่อทำให้จ้าวฉีหรี่ตา
“นี่ผิงกั๋วกงฮูหยินต้องการชีวิตของบุตรสาวข้าหรือ โบยตีห้าสิบทีสำหรับบุรุษก็นับว่าเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงแล้ว แต่สำหรับบุตรสาวของข้าห้าสิบครั้งก็คือการเอาชีวิตของนางแล้ว”
“แล้วตอนที่นางหมายปองชีวิตของบุตรสาวของข้าเล่า วางแผนผลักให้นางตกน้ำ วางแผนจับคู่ให้นางโดยเลือกคนไม่ได้เรื่องอย่างคุณชายอู๋ผู้นี้ ท่านคิดว่านางไม่สมควรตายหรือ” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้ทุกคนที่มามุงดูก็ต่างพิพากษ์วิจารณ์จ้าวซีอินกันยกใหญ่ โม่เจาที่ยืนฟังอยู่จึงได้ยกมือขึ้นแล้วส่งเสียมห้ามปรามทุกคน
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบด้วย ในเมื่อฝ่าบาททรงมีราชโองการลงอาญาแก่คุณชายใหญ่สกุลจ้าวแล้วข้าเองก็พร้อมจะสนองต่อราชโองการด้วยการโบยตีคุณชายใหญ่ห้าสิบไม้ เพื่อไม่ให้ผู้อื่นคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนคุณหนูจ้าวนั้นข้าจำเป็นต้องลงโทษนางเพื่อวันหน้าจะได้มีผู้ใดคิดเอาเป็นเยี่ยงอย่างเช่นกัน แต่จะให้โบยตีห้าสิบไม้นับว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงจนเกินไป ข้าจึงตัดสินโทษให้นางถูกโบยตีสามสิบไม้”
“ส่วนเรื่องที่นางหลับนอนกับสามีของผู้อื่นนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของพฤติกรรมส่วนตัว ข้ารับเรื่องร้องเรียนเอาไว้แล้วและจะส่งใบร้องเรียนเหล่านี้ให้ท่านเสนาบดีจ้าวนำไปตัดสินโทษกันเอาเอง ในฐานะที่นางเป็นบุตรสาวแต่กลับทำตัวไม่เหมาะสมย่อมเป็นเรื่องที่ผู้อาวุโสในสกุลของนางควรเป็นผู้กำหนดโทษ” เมื่อโม่เจาเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ต่างพยักหน้า
“คุณชายอู๋คิดจะเอาเปรียบสตรีอื่น แม้ว่าจะทำไม่สำเร็จแต่ให้รับโทษโบยตีสามสิบไม้ จ้าวซีเจ๋อแม้ว่าจะถูกบงการอีกทีแต่เขาก็ยังกล้าลงมือทำทั้งที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ผิดให้ลงโทษโบยตีอีกสามสิบไม้” โม่เจาเอ่ยพลางจ้องมองอู๋มู่จือและจ้าวซีเจ๋อด้วยสายตาเย็นชา
“นี่ข้ายังต้องถูกโบยตีอีกหรือ” พวกเขาทั้งสองคนต่างโวยวายออกมาพร้อมกันแต่เมื่อเห็นสายตาของโม่เจาแล้วก็ต่างก้มหน้าลงเพื่อยินยอมรับโทษแต่โดยดีแม้ว่าเมื่อคืนนี้พวกเขาทั้งสองจะถูกโบยตีและทรมานจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้วก็ตามที
“ข้าตัดสินลงโทษเช่นนี้ผิงกั๋วกงฮูหยินพอใจหรือไม่” โม่เจาเอ่ยพลางหันไปถามเฉียวซื่อด้วยสีหน้าราบเรียบนางหันไปจ้องมองจ้าวฉีอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา
“แม้อยากจะให้ท่านลงโทษให้มากกว่านี้ แต่ก็ช่างเถิดเรื่องนี้คงต้องอยู่ที่ท่านเสนาบดีจ้าวแล้วว่าจะจัดการกับบุตรสาวที่ประพฤติตนเสื่อมทรามเช่นนี้อย่างไร” เมื่อเฉียวซื่อเอ่ยเช่นนี้จ้าวฉีก็พลันจับจ้องนางด้วยสายตาไม่พอใจแต่นางกลับไม่คิดจะสนใจและไม่คิดจะเกรงกลัวเขาเลยสักนิด
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ