ตั้งแต่แต่งนางเข้าไป เขาก็มีเรื่องปวดหัวไม่เว้นวัน ไหนจะสินเดิมที่นางไม่มีติดตัวมาด้วย แต่กลับชี้นิ้วสั่งจะเปลี่ยนเครื่องเรือน เสื้อผ้าเครื่องประดับก็จะเอาชุดใหม่อยู่ทุกวัน
“ท่านไม่เห็นรึ ว่าข้าเจ็บตัวอยู่ ผู้ใดกันแน่ที่โดนทำร้าย”
“หึ เปิ่นหวางได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ทำร้ายผู้อื่นแต่กลับบอกว่าตนเองได้รับบาดเจ็บ น่าขันนัก ชิงชิงลุกไหวหรือไม่” เขามองนางอย่างปวดใจ เพียงแค่พ้นสายตาครู่เดียวนางก็ถูกรังแกแล้ว
“ไหวเจ้าค่ะ” เยว่ชิงลุกขึ้นโดยมีเว่ยอ๋องประคอง
นางมิได้เจ็บอันใด แต่คงเป็นเพราะผิวของนางบอบบางจึงทำให้รอยนิ้วมือของซิงเยียนบนหน้านางดูน่ากลัว
“เปิ่นหวางจะไปส่งเจ้าที่จวน” เว่ยอ๋องประคองเยว่ชิงเดนออกจากจวนตระกูลกง
“ประเดี๋ยวก่อน คุณหนูหลิวเจ้ายังมิได้ตรวจอาการให้มารดาข้าเลย” กงหลี่เฉียงเอ่ยรั้งพวกเขาไว้
“หึ เจ้ายังคิดจะให้นางเข้าไปตรวจมารดาเจ้าอีกรึ นางรึอุตส่าห์มาตรวจให้ถึงจวน แต่คนของเจ้ากลับทำกับนางเช่นนี้” เว่ยอ๋องจ้องมองทั้งสองอย่างดุดัน เขาอยากจะเข้าไปฉีกเนื้อทั้งคู่ทิ้งเสียเดี๋ยวนี้
แต่ก็ถูกเยว่ชิงสะกิดเรียกสติเขาไว้ก่อน “หม่อมฉันอยากกลับจวนแล้วเพคะ” เยว่ชิงเอ่ยขึ้นเสียงเบา ใบหน้าที่เหนื่อยล้า ทั้งรอยนิ้วมือที่ปรากฏยิ่งทำให้นางดูบอบบางราวกับจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
“ได้”
เมื่อเว่ยอ๋องพาเยว่ชิงกลับออกไปแล้ว กงหลี่เฉียงก็หันมาโวยวายใส่ซิงเยียนแทน
“เจ้าทำอันใดลงไปรู้ตัวหรือไม่” นางบีบที่แขนของนางอย่างแรง
“ข้าทำอันใด ผู้ใดจุรู้เล่าว่านางมาด้วยเรื่องอันใด ตอนที่ท่านออกไปเชิญนางมาตรวจให้ท่านแม่ก็มิได้บอกข้าก่อน” ซิงเยียนเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอม
“เพ้ย เจ้ามิรู้ตัวเลยรึ ว่าสิ่งที่เจ้าทำมันผิดมากเพียงใด”
“ข้าไม่ผิด เป็นท่านที่ไม่ยอมบอกกล่าวข้าเสียก่อน เหอะใครจะรู้ ท่านอาจจะยังอาลัยอาวรณ์นางอยู่ก็ได้”
“เจ้า เจ้า เพ้ย” กงหลี่เฉียงสะบัดแขนเสื้อ เดินหนีไปที่เรือนของมารดา เพื่อดูอาการนาง
“เจ็บมากหรือไม่” เว่ยอ๋องจับที่แก้มนางอย่างเบามือ
“ไม่เจ้าค่ะ”
“หน้าเจ้าคงหนามาก ถึงได้ไม่รู้สึก”
“ท่าน” เยว่ชิงปัดมือของเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์
“เปิ่นหวางรู้ว่าเจ้าก็เอาคืนนางอย่างสาสม” เว่ยอ๋องพิงที่รถม้าแล้วเอ่ยออกมาอย่างรู้ทันเยว่ชิง
เมื่อตอนที่ยังเด็กเขาเคยรังแกนาง และถูกนางทำร้ายเช่นนี้ เขาต้องนอนปวดท้องอยู่บนเตียงถึงสองวัน พอเห็นท่านางผลักซิงเยียนจึงรู้ได้ทันทีว่านางคงเอาคืนไปแล้วอย่างแน่นอน
“หึ หรือท่านอยากให้ข้ายืนนิ่งๆ ให้นางทุบตีเพียงอย่างเดียว” เยว่ชิงเอียงคอมองเว่ยอ๋อง
“เป็นเช่นนี้ดีแล้ว แต่ต่อไปเจ้าต้องรอเปิ่นหวางก่อนเข้าใจหรือไม่” เขาไม่อยากทิ้งให้นางต้องเผชิญเรื่องร้ายเพียงผู้เดียว ถึงนางจะไม่เจ็บมาก แต่เขาก็ปวดใจไม่น้อย
เยว่ชิงมิได้ตอบรับ แต่นางแสร้งมองออกไปทางอื่น เว่ยอ๋องก็ไม่ได้เอ่ยว่าอันใดอีกจนรถม้ามาจอดที่หน้าจวนนาง เขาจึงได้ลงจากรถม้ากลับตำหนักของตนไป
เมื่อเข้ามาในจวน พ่อบ้านมารอรับเยว่ชิงก็ต้องตกใจที่เห็นรอยแดงบนใบหน้าของนาง
“คุณหนู หน้าท่านไปโดนอะไรมาขอรับ” พ่อบ้านหลิวร้องออกมาเสียงดัง จนบ่าวในจวนรีบวิ่งมาที่หน้าประตูจวน เพื่อดูว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
“เข้าไปคุยในจวนเถิด ท่านพ่อกลับมาแล้วหรือยัง”
“รอคุณหนูอยู่ด้านในขอรับ”
เยว่ชิงเดินเข้าไปในห้องโถงเรือนหลัก เมื่อหมอหลิวเห็นใบหน้าของบุตรสาว แววตาก็แข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“ชิงเออร์ หน้าเจ้าไปโดนอันใดมา” หมอหลิวเอ่ยถามเสียงเย็นออกมา
“ท่านพ่อใจเย็นเจ้าค่ะ ลูกจะเล่าให้ท่านฟัง” เยว่ชิงจูงมือบิดาเข้าไปนั่ง พร้อมทั้งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมอหลิวฟัง
“หึ ใจกล้ายิ่งนัก ต่อไปหากนางตู้ซื่อจะตายก็ปล่อยให้นางตายไปเสีย หากเดินทางมารักษาที่โรงหมอไม่ได้”
“ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” นางกุมมือของบิดาไว้แน่น
สองพ่อลูกกินข้าวร่วมกัน ก่อนที่นางจะเดินกลับเรือนไปพักผ่อน
เยว่ชิงเหน็ดเหนื่อยจากการตรวจคนป่วยมาทั้งวัน เมื่อล้างตัวเสร็จนางก็ล้มตัวลงนอนทันที
เว่ยอ๋องลอบเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว นางก็ยังไม่รู้ตัว
“เหตุใดต้องทำให้ตนเองเหนื่อยเช่นนี้ด้วย” เขานำยามาให้นาง แต่ไม่คิดว่านางจะหลับเสียแล้ว
เว่ยอ๋องจึงได้ช่วยทายาให้นางอย่างเบามือ “อื้ออ” นางพึมพำออกมาเสียงเบา
“ชิงชิง” เขาเอ่ยเรียกนาง เพราะคิดว่านางจะรู้สึกตัว แต่เปล่าเลย นางเพียงแค่พลิกตัวหนีเพราะรำคาญเท่านั้น
เมื่อเห็นว่านางมิได้ตื่นขึ้นมา เว่ยอ๋องก็ทำหน้าหนา ขึ้นไปนอนบนเตียงพร้อมทั้งดึงตัวนางเข้ามากอดไว้แน่น
“อื้ออ” นางรู้สึกอึดอัดจึงได้ขยับตัว เพราะนอนไม่สบายตัว
"นอนดีๆ” เว่ยอ๋องรวบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเช่นเดิม
เยว่ชิงขมวดคิ้ว เหมือนนางจะได้ยินเสียงของเว่ยอ๋อง ทั้งยังรู้สึกอึดอัด จึงได้ลืมตาขึ้นมามอง
เว่ยอ๋องเห็นว่านางรู้สึกตัวแล้ว กลัวว่านางจะกรีดร้องจนเรียกบ่าวในจวนมา จึงได้ก้มลงประกบจุมพิตนางทันที
“อื้อออ” เยว่ชิงตื่นขึ้นมาเต็มตา นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ จึงได้เผลออ้าปากออก เป็นโอกาสให้เว่ยอ๋องแทรกเรียวลิ้นเข้ามาด้านใน
ฝ่ามือของเว่ยอ๋องข้างหนึ่งรั้งคอของนางไว้ไม่ให้ถอยหนี อีกมือยึดเอวคอดกิ่วของนางไว้แน่น
“ชิงชิง อืม” เขาบดจูบนางอย่างหลงใหลทั้งยังเรียกชื่อของนางอย่างคลั่งไคล้
เยว่ชิงมิใช่ว่าไม่เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่กับกงหลี่เฉียงที่เคยเป็นสามีภรรยามาก่อน ภายในอกของนางยังไม่สั่นสะท้านเช่นที่เว่ยอ๋องกระทำอยู่ตอนนี้
นางได้สติจึงทุบไปที่หน้าอกของเขาหลายที เพราะนางก็เริ่มหายใจไม่ทันแล้ว
แต่เว่ยอ๋องที่รอเวลาเช่นนี้มานานหลายปี จะยอมปล่อยนางให้เป็นอิสระได้ง่ายเช่นนั้นหรือ เขาเพียงถอนริมฝีปากออกชั่วครู่ เพื่อให้นางได้หายใจ ก่อนที่จะจุมพิตนางอีกครั้งอย่างร้อนแรง
ฝ่ามือของเขาก็เริ่มอยู่ไม่นิ่ง เยว่ชิงรู้ได้ทันที หากปล่อยให้เขากระทำเช่นนี้ คงได้เลยเถิดไปไกลแน่
“อาจ้าน ยะ หยุดได้แล้ว” นางเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก นางเผลอเรียกนามเดิมของเขาก่อนที่จะถูกแต่งตั้งเป็นเว่ยอ๋อง ฉีเจียวจ้าน
“เรียกเปิ่นหวางอีกครั้งได้หรือไม่” เสียงแหบพร่าของเขาที่กระซิบอยู่ข้างหูทำให้นางอดจะขนลุกชันไม่ได้
“อาจ้าน” นางยอมเรียกอีกครั้ง เพราะเขากำลังจะจุมพิตนางต่อ
“ชิงชิง เจ้าแต่งให้เปิ่นหวางดีหรือไม่” เขาซุกหน้าลงกับซอกคอของนางแล้วเอ่ยออกมาอย่างขอร้อง
“ท่านอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้อีกเลย ตอนนี้ข้ายังไม่พร้อมแต่งให้ผู้ใด” นางไม่ได้บอกว่านางไม่ต้องแต่งงานอีก
“เพราะกงหลี่เฉียงเช่นนั้นรึ” เว่ยอ๋องเงยหน้าขึ้นมามองหน้านางอย่างปวดใจ
“ไม่ใช่ทั้งหมด แต่ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้อีกแล้ว”
“แม้แต่ข้าเช่นนั้นรึ” เขามองนางอย่างไม่อยากเชื่อ
เสิ้นเจิ้งซี เขาน่าจะหายดีแล้ว แต่กลับบาดเจ็บจนนอนซมเช่นเขา เพียงเท่านี้เว่ยอ๋องก็รู้แล้วว่าสหายของตนคิดเช่นใดกับแม่นางน้อยที่เพิ่งเจอเพราะเรื่องของเยว่ชิงทำให้ซูหนี่นางตกกระไดพลอยโจร ติดตามเว่ยอ๋องและเสิ้นเจิ้งซีเข้าเมืองหลวง หลังจากที่นางรู้ว่าทั้งสองมาสืบเรื่องชนเผ่านอกด่านก็ไม่คิดไล่พวกเขาอีกหลังจากที่เดินทางกลับมาพร้อมพวกเขาทั้งสอง นางได้ติดตามไปหาเยว่ชิงที่อยู่เมืองเจียงซาน จนภายหลังนางได้มาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหมอหลิว ซูหนี่นางมาอยู่ที่โรงหมอฮุ่ยซิว ตรวจคนไข้แทนเยว่ชิงที่กำลังตั้งครรภ์นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเสิ่นเจิ้งซีคิดเช่นใดกับนาง เพียงแต่นางอายุเพิ่งจะสิบเจ็ดหนาวเท่านั้น สำหรับผู้อื่นถือว่าออกเรือนช้า แต่สำหรับนางคิดว่าเร็วไปด้วยซ้ำแต่เมื่อถูกเยว่ชิงนางช่วยพูดให้เสิ่นเจิ้งซีทุกคน จิตใจของนางก็เริ่มสั่นคลอน“หนี่เออร์ เจ้ารู้เรื่องที่ใต้เท้าเสิ่นต้องเดินทางไปประจำการที่เมืองเหอตงแล้วหรือไม่” เยว่ชิงเอ่ยถามซูหนี่เมื่อนางมาเล่นกับหลานชาย“ไม่เจ้าค่ะ” ซูหนี่นางตกใจไม่น้อย เพราะว่านางไม่ได้พบเสิ่นเจิ้งซีมาหลายวันแล้ว“เห็นว่าจะออกเดินทางเร็วๆ นี้” เยว่ชิงลอบสังเกตอาการของซ
“ดูท่าแล้วสหายของเจ้าคงจะตายในไม่ช้า” นางเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากอกของเขาไม่น้อย ทั้งยังลูกธนูที่ฝังอยู่ในอกของเขาด้วย“แม่นาง เจ้าไปตามหมอมาให้ข้าได้หรือไม่” น้ำเสียงที่เขาเอ่ยกับนางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด“ข้าเป็นหมอ ยังจะต้องไปตามผู้ใดอีก หากไม่อยากให้สหายของเจ้าตายก็เอาดาบออกไปจากคอข้าเสีย” นางไม่รู้ว่าพวกเขาใช่คนร้ายหรือไม่ แต่ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะตัวนางมิอาจสู้พวกเขาได้“อย่าได้คิดเล่นเล่ห์กับข้า” เขาเอ่ยเตือนนางอีกครั้ง“เช่นนั้นเจ้าจะอยู่ท่านี้กับข้าทั้งคืนก็ได้ ข้าไม่ได้เดือดร้อน” นางเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นหากเขาจะฆ่านางคงไม่ต่อปากต่อคำกับนางนานเพียงนี้บุรุษด้านหลังของซูหนี่วางดาบลง แล้วเข้าไปดูสหายของเขาทันทีซูหนี่ยืนกอดอกมองอย่างใจเย็น เขาหันมาทางนาง พร้อมทั้งขอร้องให้ช่วย“เจ้าก็พาเขาเข้าไปในเรือนของข้าสิ หรือต้องให้ข้าเข้าไปช่วยอุ้มด้วยอีกคน” นางเลิกคิ้วถามอย่างยียวน เมื่อครู่เอาดาบจ่อคอนางได้ ก็คงจะมีแรงเหลือแบกเพื่อเข้าไปด้านในเมื่อเห็นว่านางคงไม่ช่วย บุรุษผู้นั้นก็แบกร่างของสหายเข้าไปด้านในเรือน ซูหนี่นางจึงเดินตามเขาไป เพื่อช่วยดูอาการของเขา“ถอดเสื้อของเขาออก แล้วเจ้
ซูหนี่นำออกมาอีกครั้ง แต่นางไม่ยื่นไปต่อหน้าเขา เปิดออกให้ดูบนมือของนางแทน โสมหัวใหญ่ถูกเปิดออกให้ดูเพียงชั่วครู่เดียวก็ทำให้หลงจู๊ตกตะลึงได้แล้ว“เชิญพวกเจ้าเข้าไปรอในห้องรับรองก่อน ข้าจะไปตามท่านหมอมาประเมินราคาให้” หลงจู๊เรียกเสี่ยวเอ้อให้พาทั้งสามเข้าไปนั่งรอให้ห้องรับรอง“ท่านป้า พี่หลาง อีกครู่พวกท่านเพียงนั่งนิ่งๆ ก็พอเจ้าค่ะ ข้าจะต่อรองเรื่องราคาเอง อย่าได้แสดงสีหน้าอันใดออกมาเด็ดขาด หากพวกท่านไม่อยากได้ราคาที่น้อยลง” ทั้งสองรีบพยักหน้ารับอบย่างเชื่อฟังป้าชงอดมองเด็กสาวตรงหน้าของเขาไม่ได้ นางใจกล้าถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนที่ต่อรองกับหลงจู๊นางไม่มีท่าทางที่ตื่นกลัวเลยสักนิดทั้งสามนั่งรอเพียงไม่นาน หลงจู๊ก็เดินนำท่านหมอเข้ามาด้านใน“ไหนเจ้าเอามาให้ข้าดูเสียหน่อย” เขาร้องถามอย่างตื่นเต้น หากหลงจู๊ไม่ได้มองผิดไปโสมหัวใหญ่เพียงนั้นย่อมมีราคาไม่น้อยกว่าห้าร้อยปีเป็นแน่ครั้งนี้ซูหนี่นางไม่ได้เล่นตัวแต่อย่างใด นางนำโสมขึ้นมาวางตรงหน้าของท่านหมอ เมื่อเขาได้เห็นก็อุทานออกมาทันที“สวรรค์ โสมพันปี เจ้า เจ้าไปเจอได้อย่างไร”“ท่านจะรับซื้อหรือไม่เจ้าคะ” นางไม่เอ่ยตอบเพราะไม่อยากเ
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น บิดาของซูหนี่ได้เข้าขวางกลุ่มชนเผ่านอกด่านไว้ เพื่อให้ทุกคนได้หลบหนี แต่มารดาของนางไม่ยอมทิ้งบิดาแล้วหนีไปเพียงลำพังจึงได้จบชีวิตลงไปด้วยอีกคน“ท่านป้าข้ามีอะไรจะให้ท่านเจ้าค่ะ” ซูหนี่ส่งห่อผ้าที่นางนำมาด้วยให้ป้าชง“สวรรค์ ของดีเช่นนี้ เจ้ามิเก็บไว้เอง” นางร้องออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าด้านในคือสิ่งใด“ข้ามีสองหัวเจ้าค่ะ แบ่งให้ท่านหนึ่งหัว เพื่อขอบคุณท่านที่ดูแลข้ามาเป็นอย่างดี” ซูหนี่นางจึงเล่าเรื่องว่านางพบโสมได้อย่างไรให้ป้าชงฟัง“เด็กดี อย่างน้อยสวรรค์ก็เมตตาเจ้าแล้ว” ซูหนี่ยิ้มไม่ออกร้องไห้ก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าที่นางมาที่นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายสำหรับนางกันแน่“ข้าจะเข้าไปขายโสมที่เมืองพรุ่งนี้ ท่านป้าจะไปพร้อมข้าหรือไม่”“ไปๆ” เพราะอาหารที่เรือนของนางก็เริ่มจะหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องเดินทางเข้าเมืองอยู่ดี“ท่านป้า ทางที่ดีเรื่องโสม ท่านอย่าเพิ่งบอกผู้ใดนะเจ้าคะ” ซูหนี่นางกลัวว่าหากผู้อื่นรู้จะเข้ามาขโมยไปเสีย“ข้าเข้าใจแล้ว”เมื่อพูดคุยกันอีกเพียงไม่กี่ประโยคซูหนี่นางก็ขอตัวกลับเรือน เมื่อมาถึงเรือนนางก็เข้าไปพักในมิติทันทีรุ่งเช้าซูหนี่เก็บข้าวของที
ด้านหน้าของนาง ที่ใกล้ปากถ้ำ มีต้นโสมอยู่หลายหัว ในตอนแรกนางกลัวว่าตาจะฝาดไป จึงได้เดินเข้ามาดูใกล้ๆ“แล้วจะเก็บยังไง อะไรก็ไม่มีให้ขุด” เมื่อซูหนี่ยื่นมือออกไปที่โสมตรงหน้า ระหว่างที่นางใช้ความคิดว่าจะเอาสิ่งใดมาขุดโสม จึงไม่ได้ทันเห็นว่าโสมนับสิบหัวที่อยู่ในดินเมื่อครู่หายไปหมดแล้ว“เฮ้ยยย” นางร้องออกมาอย่างตกใจ พร้อมทั้งลุกขึ้น แล้วเดินหาว่าโสมหายไปได้อย่างไร นางขยี้ตาอยู่หลายหน พื้นดินตรงหน้าก็ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม“โสมของข้า” นางทรุดตัวลง แล้วร้องออกมาเสียงดังอย่างเสียใจแต่แล้วก็มีโสมโผล่ขึ้นมาอยู่ในมือของนางทันที เมื่อนางร้องเรียกโสมเสร็จ“เฮ้ยย” ซูหนี่โยนโสมทิ้งอย่างตกใจ นางก้มลงมองมือของนาง ก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นแหวนหยกแบบเดียวกับที่นางได้มาจากร้านขายยาอยู่ที่นิ้วของนาง“คงไม่ใช่มั้ง” นางครุ่นคิด ก่อนจะคลานไปหยิบโสมที่นางโยนทิ้งไปกลับมาอีกครั้งในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และอยากรู้ว่าสิ่งที่คิดไว้มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซูหนี่จึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เก็บ” นางเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อโสมในมือหายไปทันทีที่นางพูดจบนางทำเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้
ซูหนี่แพทย์สาว เธอทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลชื่อดังในกรุงปักกิ่ง เพราะชื่อเสียงเรื่องการผ่าตัดของเธอทำให้มีคนไข้มากมายต้องการจะรักษากับเธอ แม้จะต้องรอคิวนับเดือนก็ตาม“หมอไป๋คะ วันนี้มีคิวผ่าตัดสามคิว คุณจะให้ฉันเตรียมห้องผ่าตัดเลยไหม” พยาบาลเดินเข้ามาหาไป๋ซูหนี่ที่ห้องทำงานของเธอเธอยกยิ้มที่มุมปาก เพราะเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง กาแฟสักแก้วก็ยังไม่ได้กิน จะตามให้เธอไปผ่าตัดเลยหรือไง แต่เธอก็ต้องตอบไปว่า“ได้ค่ะ ฉันพร้อมแล้ว”ในแต่ละวันของเธอไม่มีสิ่งใด มากไปกว่าอยู่ที่ห้องผ่าตัดและกลับไปพักที่ห้องพักข้างโรงพยาบาล เหตุผลที่เธอเลือกเรียนหมอ คงเป็นเพราะแม่ของเธอป่วยหนัก เธอที่ได้แต่ยืนมองพยาบาลเข็นแม่เธอเข้าห้องผ่าตัดไปโดยทำอะไรไม่ได้ครั้งนั้นแม่ของเธอไม่ได้ออกมาจากห้องแบบมีลมหายใจ เธอเสียชีวิตเพราะช็อกจากการผ่าตัด ทำให้ซูหนี่ตั้งมั่นไว้แล้วว่าเธอจะต้องเรียนหมอ เพื่อช่วยคนที่ป่วยเหมือนแม่ของเธอนอกจากที่เธอจะเลือกเรียนแพทย์ปัจจุบันแล้ว เธอยังสนใจเรื่องสมุนไพรของแพทย์แผนจีนไม่น้อย หลังจากที่มีเวลาว่างจากเรื่องเรียน เธอจะไปช่วยงานที่ร้านขายยาแผนจีน เพื่อหาความรู้และหาเงินเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างที่