로그인หลายวันต่อมา แม่ทัพหนุ่มไปขอร้องท่านย่าให้จัดงานแต่งงานให้เขากับหนิงอันได้แล้ว เพราะเวลาก็ผ่านมาเกือบจะสองเดือนเข้าไปแล้ว หนิงอันรบเร้าเขาอยู่ทุกวัน แม่ทัพหนุ่มจึงตัดสินใจไปขอท่านย่าให้จัดการหาฤกษ์ยามให้เขากับหนิงอันเสียที จะได้สิ้นเรื่องกันไป ท่านย่าไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงเช่นไรแล้ว จึงได้ถามแม่ทัพหนุ่มว่า
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยัน เพราะหากเจ้าแต่งงานกับสตรีนางนั้นไปแล้ว ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้อีกแล้ว นางจะกลายมาเป็นฮูหยินของเจ้าอย่างเต็มตัว แล้วเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ยากยิ่งนัก หลังจากผ่านงานแต่งงานนี้ไปแล้ว เจ้าจะไม่เสียใจใช่ไหมที่ตัดสินใจเช่นนี้”
ท่านย่าของเขาถามหลานชาย เพื่อให้โอกาสเขาเป็นครั้งสุดท้ายและเพื่อให้แน่ใจจริงๆ ว่าเขาต้องการเช่นนี้
“ขอรับ ข้าต้องการเช่นนี้”
ผู้อาวุโสรู้สึกว่าในหัวอกนั้นเจ็บปวดแทนจินเยว่นัก แต่แล้วก็คิดปลงเสียว่าจินเยว่กับหลานชายของตนคงจะไม่ใช่คู่กัน ถึงได้มีอันแคล้วคลาดกันไปเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่รักกันมานานตั้งหลายปีแท้ ๆ แต่พอห่างกันเพียงห้าปีทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจนแม้แต่นางเองยังทำใจได้ยากยิ่ง แล้วจินเยว่เล่า หากนางรู้เข้าจะเสียใจเพียงใด
หลังจากได้ฤกษ์ยามมาแล้ว การเตรียมจัดงานแต่งงานภายในจวนแม่ทัพเฉินมู่หยางก็เริ่มดำเนินการ ทุกคนวุ่นวายกับการตระเตรียมงาน โรงครัวก็พากันจัดเตรียมวัตถุดิบกันให้วุ่นวาย บ่าวชายก็พากันจัดเตรียมสถานที่จัดงานเลี้ยงหน้าเรือนหลัก พร้อมกับจัดเตรียมสถานที่ภายในเรือนที่จะใช้ห้องโถงใหญ่ที่หน้าเรือนหลัก เป็นสถานที่ประกอบพิธีการแต่งงานที่จะต้องเตรียมสถานที่ให้พร้อม เพราะคงจะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เพราะแม่ทัพเฉินเป็นแม่ทัพใหญ่ย่อมจะมีทั้งราชวงศ์บางพระองค์ ขุนนาง และเหล่าพี่น้องทหารของเขามาร่วมงานด้วยเป็นจำนวนมาก
พ่อบ้านเฉินนั้นวิ่งวุ่นแทบจะทุกวัน เพราะต้องออกไปสั่งข้าวของต่าง ๆ ที่จะใช้ในงาน ทั้งต้องให้บ่าวชายไปหยิบยืมข้าวของเครื่องใช้จำเป็นที่ต้องใช้ภายในงานนี้จากจวนของญาติมิตรและสหายของท่านแม่ทัพและฮูหยินผู้เฒ่าด้วย ช่างตัดเสื้อจากร้านขึ้นชื่อที่ตลาดในเมือง ก็มาวัดตัวเจ้าบ่าวและเจ้าสาวถึงที่จวนเพื่อจะตัดชุดแต่งงานที่ประณีตและดีที่สุด ให้กับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว
ส่วนจินเยว่ก็ลงมือช่วยงานด้วย นางฝืนยิ้มทั้งที่ในใจปวดร้าวนัก แต่นางก็มิอาจจะนั่งเฉยอยู่ที่เรือนของตนเองได้ เพราะนางเห็นแก่ฮูหยินผู้เฒ่า และการที่เฉินมู่หยางหมดรักในตัวของนางแล้ว ก็เป็นเรื่องที่นางต้องยอมรับความจริงให้ได้
แม้แต่จางเล่อถง เพื่อนสมัยเด็กของพวกเขาก็เข้ามาช่วยงานด้วย เขาตามติดจินเยว่ดังเงาตามตัวเพราะเป็นห่วงจิตใจของนาง จินเยว่ช่วยจัดดอกไม้แห้ง เขาก็พลอยไปช่วยด้วย เขาไม่ไปทำงานของบุรุษแต่เฝ้าตามช่วยจินเยว่หยิบจับงานต่าง ๆ ด้วยกันกับนาง และเขาก็มาที่นี่ทุกวันเพื่อช่วยงานในจวนแห่งนี้
ทั้งท่านย่าแม่นมหวัง และมู่หลันต่างก็พากันจับสังเกตจินเยว่เพราะเป็นห่วงจิตใจของนาง แม้จินเยว่ในใจจะปวดร้าวและเสียใจมากเพียงใด แต่นางก็เก็บมันเอาไว้แต่ภายในใจเท่านั้น
เมื่อบุรุษหมดสิ้นเยื่อใยในตัวของเราแล้ว เราก็ต้องยอมรับและพยายามตัดใจจากเขาให้ได้ และเล่อถงก็ช่วยนางได้มาก เขาพยายามยั่วเย้าและชวนจินเยว่สนทนาด้วยเรื่องราวเบาและสนุกสนาน เพื่อไม่ให้นางเศร้าสร้อยจนเกินไป เขาสังเกตเห็นแววตาที่หม่นหมองของนาง เวลาที่นางเผลอตัว ทำให้เขาพลอยเจ็บปวดไปด้วย
เขาจึงตั้งใจว่าจะเสียสละเวลาทำการค้าของเขาจนกว่าจะเสร็จสิ้นการแต่งงานของแม่ทัพเฉินมู่หยางไปเสียก่อน และจะชวนจินเยว่ไปทำงานที่ร้านของเขา และพักอยู่นั่นเลย เพื่อจะช่วยให้นางแยกตัวไปจากสกุลเฉินเสีย เพื่อที่จิตใจของนางจะได้ดีขึ้นในเร็ววัน ห่างกันไปเสีย ไม่ต้องพบเจอกันอีก ก็คงจะช่วยเยียวยาจิตใจของนางได้มาก
ส่วนเจ้าบ่าว แม้ในใจนั้นจะมีเพียงว่าที่เจ้าสาว เพราะเขานั้นทั้งรักทั้งหลง และต้องการเพียงหนิงอันเท่านั้น แต่ก็ยังไม่วายอดที่จะคอยจับจ้องมองหนุ่มสาวคู่นั้นไม่ได้ เพราะเขาเห็นจางเล่อถงคอยแต่ตามติดจินเยว่ดังเช่นเงามตามตัว
เจ้าหมอนั่นทำให้เขาอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ ม้นคงจะหลงรักจินเยว่มานานแล้ว ตอนนี้ก็คงจะเป็นโอกาสที่มันจะเข้ามาแทรกกลางระหว่างเขากับจินเยว่ เขาจึงได้คอยจ้องมองสองหนุ่มสาวนั่นอย่างไม่พอใจ และเกือบจะเดินไปลากจินเยว่ให้ออกห่างจากเจ้าจางเล่อถงนั่นเสียวันละหลาย ๆ ครั้ง
และเมื่อว่าที่เจ้าสาวสังเกตเห็นว่าเจ้าบ่าวของตนเอง เริ่มจะเอาแต่จับจ้องมองอดีตคนรักเก่าที่ช่วยเตรียมงานในจวน โดยที่นางมีก็บุรุษคนใหม่คอยตามติดไม่ห่างกาย เหอะ!! มีบุรุษอื่นไปแล้ว ยังทำท่าทางเศร้าสร้อยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากสามีคนอื่นอยู่ได้ น่าหมั่นไส้นัก
แล้วนางก็ไปรินน้ำชาชนิดพิเศษมาให้ว่าที่สามีดื่ม และเมื่อแม่ทัพหนุ่มได้ดื่มน้ำชาชนิดพิเศษของหนิงอันเข้าไป เพียงไม่นานเขาก็หลงลืมจินเยว่ไปอีกครั้ง และเอาแต่เข้ามาพัวพันกับหนิงอันไม่ห่างกาย ทำให้นางยกยิ้มอย่างสมใจ เพราะแน่ใจว่าตราบใดที่นางมีน้ำชาชนิดพิเศษนี้ นางก็จะควบคุมแม่ทัพเฉินมู่หยาง แม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกร แต่พ่ายแพ้แก่เสน่ห์รัญจวนของนาง จนโงหัวไม่ขึ้น
ส่วนจินเยว่นางเดินนำข้าวของที่เตรียมไว้ใช้ในงานพิธีไปเก็บหลังจากที่เล่อถงขอตัวกลับจวนของเขาไปแล้ว เพราะงานวันนี้คงจะพอเพียงเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาเริ่มกันใหม่ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันแต่งงานของอดีตคนรักของนางแล้ว
แม้ในอกจะเจ็บปวดเพียงใด นางก็พยายามสลัดมันออกไป โดยการปลอบใจตนเองว่าหากวันเวลาผ่านไป นางก็คงจะลืมเลือนความเจ็บปวดนี้ไปเอง และหากพวกเขาแต่งงานกันไปแล้ว นางก็จะหาทางย้ายออกไปจากจวนแม่ทัพแห่งนี้ เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที และที่นางต้องทำเช่นนี้ ก็เพื่อรักษาน้ำใจฮูหยินผู้เฒ่าที่ดีกับนางและท่านยายของนางมาเสมอ
ขณะที่นางเดินผ่านเรือนของสตรีนางนั้น นางก็พลันหันไปพบเข้ากับภาพบาดตา แม่ทัพเฉินมู่หยางกำลังจูบสตรีนางนั้นอย่างดูดดื่ม พวกเขายืนจูบกันอยู่ที่ใต้ต้นไม้ข้างเรือนของสตรีนางนั้น จินเยว่จ้องมองด้วยหัวใจที่แตกสลาย แล้วก็รีบเร่งฝีเท้าก้าวเดินกลับไปยังเรือนของตัวเองให้เร็วที่สุด เพราะน้ำตาของนางกำลังจะไหลรินลงมาอีกแล้ว
และเมื่อก้าวเข้ามาในเรือนของตนเองแล้ว จินเยว่ก็ทรุดนั่งลงที่หลังประตูเรือน แล้วก็ยกแขนเรียวขึ้นกอดเข่าแล้วก็ซบหน้าลงร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อยากจะอดกลั้นมันต่อไปอีกแล้ว นางปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ให้สาแก่ใจ ปล่อยโฮออกมาเสียงดังอย่างไม่ต้องอายผู้ใด เพราะนางอยากจะเสียใจให้พอ เผื่อว่าต่อไปจิตใจของนางดีขึ้น
จินเยว่กอดเข่าของตนเองแน่นเข้า แล้วสะอื้นฮักออกมาอย่างแรง น้ำตาหยดใส ๆ ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย แม้จะทำใจได้บ้างแล้วแต่ก็อดเสียใจไม่ได้ นางร้องไห้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มนวล และซับน้ำตาที่ดวงตาทั้งสองข้าง นางจะไม่โทษเขา เพราะเขากับสตรีนางนั้นกำลังจะแต่งงานกันแล้ว ย่อมต้องพลอดรักกันเป็นธรรมดาพวกเขารักกัน ก็ย่อมต้องมีภาพเช่นนี้
หลังจากที่อดีตคนรักเข้าพิธีแต่งงานกับสตรีนางนั้นไปเสียจริง ๆ แล้ว นางก็ควรจะต้องจากไปอยู่ดี เพราะมันคงจะเป็นโชคชะตาที่มิอาจจะครองคู่กันได้ นางจะคิดเพียงเท่านี้เพื่อความสบายใจของตนเอง และไม่ก่อปัญหาให้ฮูหยินผู้เฒ่าและท่านยายของนางต้องเป็นกังวลกับนางไปด้วย เพราะที่จวนแม่ทัพแห่งนี้กำลังจะมีงานใหญ่
ตอนแรกมู่หลันเม้มปากของนางเอาไว้แน่นไม่ยินยอมให้เจ้าคนร้ายกาจนั่น สอดลิ้นสากที่ไล้เลียริมฝีปากของนางอยู่เข้าไปในปากจิ้มลิ้มของนางอย่างเด็ดขาด แต่แล้วเพียงไม่นาน มู่หลันก็เคลิบเคลิ้มยอมเผยอริมฝีปากอิ่มของนางให้ลิ้นสากที่ร้อนรุ่มของเล่อถงเข้ามาชิมความหวานในปากของตนเอง ทั้งยังเข้าเกี่ยวพันลิ้นเล็กแสนนุ่มนิ่มของนาง จนร่างงามสั่นสะท้านไปหมด ในที่สุดก็ไร้เรี่ยวแรงเอนกายพิงอกแกร่งของเขาอย่างเต็มใจเพราะที่จริงแล้วภายในใจของมู่หลันนั้น แทบจะเต้นระบำรำฟ้อน เพราะนางหลงรักจางเล่อถงมานานแล้ว แต่เขาไม่เคยสนใจนางเลย เอาแต่ตามติดจินเยว่ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางกับพี่ใหญ่รักกัน เขาไม่เคยหันมามองมู่หลันเลยสักครั้ง จนนางเคยน้อยใจว่านางไร้ความงามจนถึงขนาดที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลยหรือ แม้นางจะรักจินเยว่มาก แต่นางก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้ ว่าเหตุใดสหายวัยเด็กที่อยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆทั้งพี่ใหญ่ ทั้งเล่อถง เอาแต่ตามติดและคอยเอกอกเอาใจแต่จินเยว่ นางเหมือนไร้ตัวตน พี่ใหญ่นั้นนางไม่ว่าอะไรเพราะนางเต็มใจที่จะได้จินเยว่เป็นพี่สะใภ้ แต่เล่อถง บุรุษไร้หัวใจผู้นั้น ไม่เคยมองมาที่นางเลย แม้นางจะเฝ้าปรุงแต่งโฉมเพ
หนิงอันเชื่อตามสัญชาตญาณของตนเองว่าสาวใช้นางนี้ไม่ได้พูดปด จึงพยักหน้าแล้วก็ตัดสินใจก้าวกลับขึ้นไปบนรถม้า แล้วบอกกับคนขับว่านางจะว่าจ้างให้ไปส่งที่เมืองใกล้ชายแดนแทน ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของนาง คนขับรถพยักหน้า แล้วหนิงอันก็ก้าวกลับเข้าไปในรถม้าตามเดิม เมื่อทรุดนั่งลงแล้ว นางก็เปิดผ้าม่านข้างรถม้าออกจ้องมองไปที่จวนแม่ทัพเฉินเป็นครั้งสุดท้าย แม้นางจะรักชายผู้นั้นมาก แต่นางเองก็รู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้รักนาง เพียงแต่นางใช้ยาเสน่หารัญจวนเพื่อชักจูงจิตใจเขาเท่านั้น แต่หากมันหมดฤทธิ์ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพบหน้ากันอีกเพราะเขาไม่ได้รักนางด้วยหัวใจที่แท้จริงของเขา แต่มันคือการบังคับเขาด้วยฤทธิ์ของยาพิษ มือบางขอหนิงอันปล่อยผ้าม่านลงให้มันปิดสนิทดังเดิม แล้วก็นั่งเอนกายพิงรถม้าแล้วก็หลับตาลงอย่างปลงกับชีวิตที่พลิกผันของตนเองแล้วตัดสินใจว่าอย่างน้อยนางก็ไม่ถูกโทษทัณฑ์ ไปจากที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่เมืองอื่น อย่างน้อยนางพอมีวิชาแพทย์และความรู้เรื่องสมุนไพรติดตัวอยู่บ้าง คงจะพอใช้มันเลี้ยงชีพได้ หนิงอันหลับตาลงน้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาอาบแก้มของนาง นางยกมือขึ้นเช็ดมันทิ้งไปอย่างรวดเร็วและสลัดความคิดค
แม่ทัพหนุ่มเหยียดยิ้ม แล้วก็เอ่ยขึ้นอย่างหน้าตาเฉยว่า“บังเอิญข้า มีความชอบไม่เหมือนผู้อื่นเสียด้วย ข้าชอบมีอะไรกับคนที่เกลียดข้า มันสะใจดี ข้าไม่ชอบคนที่ชอบข้า เกลียดกันก็มีอะไรกันได้ไม่จำเป็นต้องรักกัน อย่างที่เจ้าก็เห็นเมื่อคืนนี้ด้วยตนเองแล้ว ว่ามันสุขสมเพียงไร เจ้าก็เตรียมตัวเป็นนางบำเรอข้าเช่นนี้ หากข้าอยากนอนกับเจ้าเมื่อใดข้าก็จะมาหา แต่เจ้าอย่าหวังจะได้พบบุรุษที่ไหนอีกเลย ข้าจะให้องครักษ์เฝ้าเจ้าไว้ไม่ให้ออกนอกจวนเด็ดขาดข้าจะสั่งให้บ่าวจับตามองเจ้าทุกฝีก้าว เจ้าอยากได้อะไรก็บอกสาวใช้ก็แล้วกัน ข้าจะให้พ่อบ้านหาไว้รับใช้เจ้าสักคน แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าออกไปจากจวนเด็ดขาด ข้าจะบอกผู้อื่นว่าเจ้าเป็นเมียข้า แต่แท้จริงแล้วเจ้ามีฐานะเป็นเพียงนางบำเรอของข้าเท่านั้น พอใจเจ้าหรือยังเล่า”แม่ทัพหนุ่มบอกกับนางด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน เมื่อง้องอนดี ๆ แล้วไม่ยอมคืนดีสักที ไม่ยอมรับว่าเป็นฮูหยินของเขา เช่นนั้นก็เป็นนางบำเรอก็ได้ แต่อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเมียเหมือนกัน และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีไปมีบุรุษใดได้อีก อย่าคิดฝันว่าจะได้สมหวังกับเจ้าเล่อถงนั่นเลย ข้ารู้นะว่ามันหลงรักเจ้า มันถึงยอมทุ่มเทช่วยเจ้
แม่ทัพหนุ่มก็ทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว เพราะเขาสะกดกลั้นความต้องการของตนมานานแล้ว เพราะต้องการสั่งสอนภรรยาแสนดื้อเช่นนาง เขายกสะโพกหนาขึ้นเสยเข้าหานางแล้วเร่งความเร็ว ๆ ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นบดขยี้ ถี่ยิบและเน้นหนัก ขึ้นหานางจนกระทั่งแตกระเบิดพร่างพรายไปด้วยกันอีกครั้งแล้วพลิกร่างอวบอิ่มของนางลงด้านล่าง แล้วก็สอดอาวุธคู่กายของเขากลับเข้าไปอีกครั้ง แล้วโยกขย่มนางอย่างเร่าร้อน เร่งกระแทกกายแกร่งเข้าสุดออกสุด และบดขยี้อย่างเน้นย้ำทุกจังหวะที่โจ้นจ้วง ตอกย้ำแรง ๆ ถึงความมีตัวตนของตนเอง ดังจะย้ำเตือนกับนางว่าเขาคือสามีของนาง สามีที่ยังรักนาง โหยหาและต้องการนางสุดหัวใจ“เยว่เอ๋อ โอ้วววว โอ้ววว เยว่เอ๋อ ยอดรักของข้า เจ้าคือภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้า ข้ารักเจ้า โอ้ววว โอ้ววว”แม่ทัพหนุ่มร้องครวญครางเรียกสตรีในหัวใจด้วยเสียงแหบพร่าดุจโหยหานางเหลือเกิน บั้นเอวสอบโยกไหวรัวเร็วและถี่ยิบแต่สิ่งที่นางตอบสนองเขาก็คือ “อ๊าย อ๊ะ อ๊ะ ข้าเกลียดท่าน ข้าเกลียด อ๊าย อ๊ะ”แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ ที่นางบอกว่าเกลียดเขา เขาจึงยิ่งกระแทกเข้าออกแรงขึ้นอีก เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังก้องในห้องน้อยนั้น เตียงสี่เสาหลังใหญ่ในห้
“ อ๊าย ข้าเจ็บ อย่านะ ไม่ อย่าทำเช่นนี้ ไม่….. ” นางดิ้นรนไปมา พยายามจะดิ้นหนีออกไปให้ไกลจากการรุกรานของเขาแต่แล้วก็พบว่าข้อมือตนเองถูกมัดติดกับหัวเตียง นางกรีดร้องเสียงดังยิ่งขึ้นเพราะตกใจ ที่อยู่ ๆ ก็ตื่นมาพบว่าตนเองถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ และนอนแผ่กางแขนและขาอยู่บนเตียงในห้องที่ใดก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ห้องพักห้องเล็กที่อยู่บนร้านผ้าไหมแน่ ๆ “ ช่วยด้วย อย่านะ ท่านแม่ทัพ อย่านะ อย่า อ่่าาา อ่าาาาห์ ” เมื่อเขาสอดนิ้วเข้าไป เขาพบว่ามันแห้งสนิทและคับแน่นยิ่งนัก นิ้วแกร่งของเขาแทบจะดันเข้าไปไม่ได้ เขายกยิ้มพอใจ นางยังมิได้ถึงกับมีอะไรกับเจ้าจางเล่อถงนั่น ตอนนี้เขาสบายใจขึ้นมากเพราะลงมือพิสูจน์ด้วยตนเองแล้ว ว่านอกจากเขาแล้วยังมิมีชายใดมากล้ำกลายนาง ถ้าเช่นนั้นวันนี้จะต้องตอกย้ำความเป็นสามีของนาง เพื่อให้นางรู้ว่านางมีเจ้าของแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้นางหนีเขาไปได้อีกเป็นอันขาด เขาจะขังนางเอาไว้ที่จวนของสหายของเขาที่เมืองหนิงโจวแห่งนี้ เพราะที่นี่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครจะติดตามทั้งเขาและนางมาได้ ที่นี่เป็นจวนของสหายของเขา ที่เขาส่งจดหมายไปขอยืมเพื่อจะพำนักชั่
“แต่ข้าไปก็ได้นะ แต่เจ้าก็ต้องกลับไปกับข้าด้วย เจ้ากลับข้าก็กลับ หากเจ้าไม่กลับข้าก็จะปักหลักอยู่กับเจ้าที่นี่แหละ”แม่ทัพหนุ่มยืนกราน เพราะเขาไม่มีทางถอยแน่ ๆ เพราะดูท่าแล้ว นางกำลังจะหนีเขาไป เพราะถึงกับย้ายออกมาอยู่ที่ร้านแห่งนี้ และคงวางแผนที่จะหนีไปแต่งงานหรือไม่ก็ยอมเข้าเรือนหลังของเจ้าเล่อถงแน่ ๆ ซึ่งเขาไม่มีทางยอมหรอก หากนางจะทำเช่นนั้น เขาจะอาละวาดให้งานแต่งของนางล่มแน่ ๆ หรือก็จะตามไปอาละวาดทุกๆ ที่ ที่นางไปอยู่กับชายใดก็ตาม ให้มันรู้กันไปสิ เมียคนเดียวเขาจะพากลับไปไม่ได้“ข้าไม่กลับไปกับท่าน เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เพราะฉะนั้นท่านจะมาบังคับข้าไม่ได้ กลับไปเสีย หาไม่ ข้าจะฟ้องท่านย่าว่าท่านมาวุ่นวายรบกวนการทำงานของข้า”แม่ทัพหนุ่มยักไหล่ ฟ้องก็ฟ้องไปสิ เขาไม่ได้สนใจ เพราะเขาบอกท่านย่าแล้วว่านางเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขามาเฝ้าเมียไม่ให้คิดจะคบชู้ มันผิดตรงไหน และนางก็ไม่ใช่คนตัวเปล่า สามีก็มานั่งเฝ้าอยู่ตรงนี้ ยังคิดจะหว่านเสน่ห์ชายอื่นได้อีก ใครผิดกันแน่ ๆ ก็เห็น ๆ อยู่ อย่างไรเขาก็ไม่ยอม จะให้ไปพบเจ้าเล่อถงที่จวนเขาก็ยินดี ไปบอกมันว่าสตรีที่มันหมายปองมีสามีแล้วหลังจากนั้นแม่ทัพ







